Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 46 เขาปกป้องเอง
เมืองหลวงยามราตรีแสงเปลวเพลิงย้อมท้องนภาประหนึ่งกลางวัน
บนถนนใหญ่คนหงายม้าล้ม ตระกูลใหญ่โตมากมายก็ตกสู่ความโกลาหลด้วย
ในจวนบ่าวรับใช้วิ่งวุ่นวาย สืบถามข่าว เก็บข้าวของ กำไม้กระบองมีดผ่าฟืนเฝ้าประตูบ้านไว้
แม้ไม่ได้เสียงร่ำไห้ตะโกนดังระงมเช่นนั้นอย่างบนถนนใหญ่ แต่คนทั้งหมดก็ล้วนสีหน้าหวาดหวั่น
หนีหรือว่าซ่อน? ข่าวล่าสุดคืออะไร?
หนิงเหยียนก้าวยาวเดินไปด้านนอก หลังร่างนายหญิงรองหนิงรีบร้อนตามมา
“ท่านพี่ ท่านพี่…” นางเอ่ยเรียกน้ำเสียงร้อนรน ในน้ำเสียงสั่นเครือ
หนิงเหยียนหยุดเท้า ขมวดคิ้วมองนาง
“ร้องห่มร้องไห้ทำอะไรเล่า?” เขาเอ่ย “เจ้าอย่าได้โทษอวิ๋นเจาที่ไม่ได้ส่งข่าวมาเร็วหน่อย เขารักษาตนเองก็ไม่ง่ายอย่างที่สุดแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักอีก
“เขาหนีตามฮ่องเต้ไป ไม่มีทางเพราะกลัวตาย แต่ข้างกายฝ่าบาทอย่างไรก็ต้องมีคน”
ความหมายของการมีคนอยู่เห็นชัดยิ่งว่าไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องฮ่องเต้
นายหญิงรองหนิงยกมือเช็ดน้ำตา
“ข้าย่อมรู้ ข้าเห็นอวิ๋นเจามาแต่เล็กจนโต เขานิสัยอย่างไรข้ายังไม่รู้หรือ?” นางสะอื้นเอ่ย “แต่ท่านพี่ ท่าน….”
“ข้าย่อมต้องออกไป” หนิงเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขัดคำพูดของนายหญิงรองหนิง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ออกไป เป็นเพราะกินเงินหลวง ภักดีเจ้าแผ่นดิน ข้ากราบทูลเจ้าแผ่นดินไม่ฟัง ข้าย่อมต้องยืนหยัดปกป้องไม่ถอย”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าแผ่นดินก็หนีไปแล้ว” นายหญิงรองหนิงร่ำไห้เอ่ย
“ก็เพราะตอนนี้เจ้าแผ่นดินหนีไปแล้ว” หนิงเอ่ยเอ่ย “ข้าถึงต้องก้าวออกมา เพื่อวิถีแห่งปราชญ์ เพื่อชะตาแห่งฟ้าดิน เพื่อชีวิตของประชาชน”
นายหญิงรองหนิงยกมือเช็ดน้ำตา
“เจ้ากับลูกๆ ซ่อนอยู่ในบ้านให้ดี อย่าวิ่งส่งเดช ตอนนี้เวลานี้เมืองหลวงไม่อาจวุ่นวายได้เด็ดขาด” หนิงเหยียนน้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
นายหญิงรองหนิงร่ำไห้พลางพยักหน้า
“ท่านพี่…” นางเอ่ยพลางดึงแขนเสื้อหนิงเหยียนไว้
หนิงเหยียนขมวดคิ้ว
“อย่าร้องห่มร้องไห้ไม่จบไม่สิ้น…” เขาเอ่ย
คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ นายหญิงรองหนิงพลันเอากระบี่เล่มหนึ่งส่งมา
“ท่านพี่ ท่านลืมหยิบกระบี่ของท่านแล้ว” นางเอ่ย “แม้เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ในเมื่อจะปกป้องเมือง อาวุธก็ยังต้องถือไว้นะเจ้าคะ”
หนิงเหยียนยิ้ม
“ข้าลืมไปแล้วจริงๆ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือมารับไป “ถ้าเช่นนั้นข้าไปแล้ว”
นายหญิงรองหนิงน้ำตาคลอพยักหน้า
“ท่านไปเถอะ” นางเอ่ย
หนิงเหยียนหิ้วกระบี่หมุนตัวก้าวยาวไปทางข้างนอก เมื่อเดินมาถึงประตูกลับเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ นี่คือพวกบ่าวรับใช้ในจวนของตระกูล แต่ละคนๆ ในมือหิ้วไม้กระบองดาบหอก
หนิงเหยียนกับภรรยาอดไม่ได้ตะลึงนิดหนึ่ง
“ท่านพ่อ” หนิงสืออีก้าวออกมาเอ่ย “พวกเราไปกันเถอะ”
หลังร่างเขายังมีลูกชายอีกสองคน เจ้าสิบสี่คนนั้นผู้อายุน้อยที่สุดเพิ่งอายุแปดปีก็อยู่ในนั้นด้วย
“ท่านพ่อพวกเราไปกันเถอะ” เขาก็ตะโกนตามด้วย ในมือจับไม้กระบองแท่งหนึ่งที่สูงยิ่งกว่าเขา
“สืออี พวกเจ้าทำอะไร” นายหญิงรองหนิงเอ่ยพลางรีบก้าวเข้ามาดึงลูกคนเล็กเข้ามา แย่งไม้กระบองในมือเขา
“ท่านแม่ พวกเราย่อมต้องไปปกป้องเมือง” หนิงสืออีเอ่ย “ปกป้องประเทศก็คือปกป้องครอบครัว หน้าที่ของบุรุษ”
หนิงเหยียนพยักหน้า
“ดี” เขาเอ่ย “ไปเถอะ”
พวกหนิงสืออีสีหน้าเคร่งขรึมขานรับ เจ้าสิบสี่ก็จะตามไปด้วยแต่ถูกนายหญิงรองหนิงดึงไว้ เขาอดไม่ได้เริ่มโวยวาย
“สิบสี่เอ๋ย ข้ากับพี่ชายทั้งหลายล้วนไปแล้ว ในบ้านเหลือเพียงมารดากับพี่สาวของเจ้าสตรีทั้งหลาย เจ้าต้องรั้งอยู่ในบ้านปกป้องพวกนาง” หนิงเหยียนมองเขาพลางเอ่ยขึ้น
หนิงสือซื่อหลางพยักหน้า ยืดอก
“ท่านพ่อท่านวางใจเถอะ ในบ้านมีข้าอยู่” เขาเอ่ยเสียงดัง
หนิงเหยียนอมยิ้มลูบศีรษะเขา ประตูใหญ่เปิดกว้าง เสียงเอะอะร่ำไห้ตะโกนบนถนนฉับพลันโถมเข้ามาประหนึ่งน้ำหลาก แม้มองไม่เห็นสถานการณ์โดยละเอียด แต่กลางราตรีได้ยินเข้าก็เพียงพอทำให้คนสีหน้าซีดขาวหัวใจหวาดหวั่นขวัญสะท้าน
จากนั้นประตูก็ถูกปิดลง ข้ารับใช้ทั้งหลายที่เหลืออยู่พาดดาลประตูท่อนแล้วท่อนเล่าบนประตูใหญ่ แล้วยันไม้กระบองไว้อีก ให้บานประตูแข็งแกร่งปกป้องผู้คนข้างใน
แต่ประตูที่แข็งแกร่ง ปกป้องคนข้างในนี้ก็ขวางครอบครัวที่อยู่ข้างนอกเช่นกัน
นายหญิงรองหนิงกอดลูกชายคนเล็กไว้ในอ้อมแขนแน่น มองดูประตูใหญ่ น้ำตาดั่งสายฝน
สวรรค์คุ้มครองด้วย
บนถนนใหญ่เสียงเอะอะแห่ไปยังประตูเมือง ผู้คนทั้งหลายที่เดิมแห่เข้ามาในเมืองหลวงล้วนอยากพุ่งไปที่ประตูเมือง
ยกครอบครัวมา ดันรถ ควบอาชา เจ้าร้องไห้ข้าตะโกน เบียดกันจนน้ำไม่อาจลอดผ่าน
ประตูเมืองปิดสนิทแล้ว นี่ทำให้ความหวาดหวั่นยิ่งรุนแรง เสียงเอ็ดตะโรยิ่งดัง แทบจะท่วมทับประตูเมือง
กำลังพลทั้งหมดของกองทหารม้าห้าเมืองเคลื่อนพลยกดาบหอกแส้ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชาวบ้านทั้งหลายที่ถาโถมมาล้วนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นชิง ชาวบ้านที่หวาดกลัวความตายไหนเลยยังหวาดกลัวสิ่งนี้ ความหวาดหวั่นตื่นตระหนกที่อัดแน่นเข้าด้วยกันประหนึ่งลูกบอลหิมะยิ่งกลิ้งยิ่งโต บดขยี้ทุกสิ่ง
“ใต้เท้าหนิงมาแล้ว!”
“ใต้เท้าหนิงมาแล้ว!”
ท่ามกลางฝูงชนเสียงตะโกนดังขึ้น เสียงตะโกนยิ่งนานยิ่งดัง บรรดาทหารรักษาเมืองตะเบ็งเสียงสุดกำลังกดเสียงเอ็ดตะโรรอบด้าน
ใต้เท้าหนิงชื่อนี้ยังดึงดูดผู้คนได้อย่างยิ่ง ผู้คนค่อยๆ หันศีรษะกลับมามอง ท่ามกลางแสงคบไฟสาดส่องกลางราตรีฝูงชนหลีกเป็นทางเส้นหนึ่ง บุรุษร่างสูงผอมหิ้วกระบี่เดินออกมา
หนิงเหยียนไม่ได้ปรากฏตัวตรงหน้าผู้คนมานานนักแล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะลืมเลือนเขา ถึงขั้นมีชื่อเสียงกว่าตอนเป็นขุนนางก่อนหน้านี้อีก
นี่ย่อมเพราะเขาคัดค้านฮ่องเต้จึงถูกปลด
ชาวบ้านทั้งหลายอาจไม่เข้าใจเรืองราชสำนัก เวลามากมายนักก็ไม่สนถูกผิด สำหรับพวกเขาแล้วคนที่กล้ายันกับฮ่องเต้ ไม่เสียดายหากสูญเสียตำแหน่งขุนนางสูญเสียบรรดาศักดิ์ก็คือคนที่คุณธรรมสูงส่ง คนที่ในหัวใจไร้ความเห็นแก่ตัวฟ้าดินย่อมเปิดกว้าง คนเช่นนี้ควรค่าเชื่อถือนับถือ
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมผู้ตรวจการทั้งหลายชอบกล่าวโทษขุนนางอย่างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางที่ชื่อเสียงตำแหน่งยิ่งสูง พวกเขายิ่งชอบตามจี้กล่าวโทษ เพราะนั่นสร้างชื่อเสียงได้
การปรากฏตัวของหนิงเหยียนทำให้ชาวบ้านทั้งหลายสงบลงชั่วคราว
“ใต้เท้า ใต้เท้า”
“ชาวจินบุกมาแล้วใช่หรือไม่?”
พวกเขาร้องไห้เอ่ยถามวิงวอนวุ่นวาย
หนิงเหยียนมองพวกเขา สีหน้าจริงจัง
“ชาวจินบุกมาหรือไม่ ยังไม่มีข่าวแน่ชัด” เขาเอ่ย “แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าชาวจินอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล ก่อนหน้านี้ปรากฏตัวที่มณฑลจิงตง ดังนั้นทุกคนต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเลวร้ายที่สุด”
ขุนนางของกรมทหารม้าห้าเมืองด้านข้างที่โล่งอกเล็กน้อยเพราะการมาถึงของเขาฉับพลันเคร่งเครียดขึ้นมา แต่ชาวบ้านทั้งหลายไม่ได้ถูกคำเตือนถึงอันตรายเช่นนี้ทำให้หวาดกลัวจนยิ่งตื่นตระหนกอย่างที่คาดคิดไว้ ตรงกันข้ามได้ยินประโยคนี้คล้ายทำให้คนสงบใจยิ่งกว่าที่ก่อนหน้านี้ขุนนางบอกว่าไม่มีเรื่อง แสร้งทำเป็นว่าสงบสุข บอกว่าชาวจินไม่มีทางบุกมามาตลอดเสียอีก
“ถ้าเช่นนั้นรีบให้พวกเราออกจากเมืองเถอะ” ชาวบ้านทั้งหลายพากันร่ำไห้ตะโกน “ให้พวกเราหนีเอาชีวิตรอดเถอะ”
“เพราะอันตรายจริงๆ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่อาจเปิดประตูเมือง ทุกคนก็อย่าออกจากเมืองเลย” หนิงเหยียนเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเจ้าลองคิดดู หากพวกเจ้าออกจากเมืองไป พบชาวจินบนทุ่งกว้าง จะปลอดภัยกว่าที่นี่หรือ?”
เขาพูดพลางชี้ประตูเมืองด้านหลังร่าง
“ที่นี่อย่างน้อยก็มีประตูเมืองกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งหนาหนักสูงใหญ่ล้อมปกป้องอยู่”
ผู้คนมองไปตามที่เขาชี้
กำแพงเมืองของเมืองหลวงท่ามกลางราตรียิ่งแลดูสูงใหญ่แข็งแกร่ง
แล้วหนิงเหยียนก็ชูกระบี่ในมือขึ้นอีกครั้ง ชี้นายทหารและขุนนางของกรมทหารม้าห้าเมืองรอบด้าน จากนั้นชี้ทหารรักษาเมืองที่สวมเกราะเต็มยศบนกำแพงเมืองอีกหน
“ที่นี่ยังมีแม่ทัพทหารดาบกระบี่”
นี่ก็ใช่ ไม่ใช่ทุกคนไม่รู้เหตุผลนี้ เพียงแต่ชั่วขณะตื่นตระหนกคิดแต่จะหนีเท่านั้น
“ทุกคนใจเย็นอย่าตระหนก มีเมืองอยู่ มีพวกเราอยู่ ต่อให้ชาวจินบุกมาก็ปกป้องทุกคนให้ปลอดภัยได้”
ชาวบ้านทั้งหลายเงียบลง คนที่ล้อมขวางพุ่งชนประตูเมืองก็ค่อยๆ ถอยหลังมาเช่นกัน
“ทุกคนโปรดฟังการจัดการของทางการ อย่าได้ล้อมอยู่ที่ประตูเมือง” หนิงเหยียนเอ่ยพลางสะพายกระบี่ไว้หลังร่าง “ข้าจะเฝ้าประตูเมืองแทนทุกคน”
พูดจบพลันก้าวยาวมุ่งไปทางประตูเมือง ด้านหลังร่างหนิงสืออีพาข้ารับใช้ในตระกูลติดตามมา
เห็นหนิงเหยียนเดินมา ชาวบ้านทั้งหลายที่ล้อมขวางประตูเมืองอยู่ในที่สุดก็หลีกทาง สีหน้าสงบลงบ้าง
“ใต้เท้าหนิงยังอยู่นะ”
“ถูกต้องแล้ว ราชสำนักย่อมมีแผนการ”
“ฮ่องเต้ยังอยู่แน่ะ จะให้ชาวจินบุกมาได้อย่างไร”
เสียงพูดคุยดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ ทำให้หน้าประตูเมืองเปลี่ยนกลายเป็นเอะอะอีกหน แต่เสียงเอะอะนี่ไม่เหมือนกับความหวาดหวั่นก่อนหน้านี้ กลับทำให้ผู้คนสงบใจ
ขุนนางทั้งหลายของกรมทหารม้าห้าเมืองได้สติกลับมา สีหน้าผ่อนคลายลงเช่นกัน เริ่มสั่งการจัดการชาวบ้านทั้งหลายให้แยกย้าย ให้พวกเขาถอยกลับไปในถนนต่างๆ กัน ไปพักผ่อน
ความวุ่นวายหน้าประตูเมืองถดถอยไป ทหารบนล่างประตูเมืองล้วนผ่อนลมหายใจ
“ยังดีใต้เท้าหนิงท่านมาแล้ว” ขุนนางที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่สีหน้าหวาดกลัวตามหลังเอ่ยขึ้น ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ “ไม่เช่นนั้นประตูเมืองนี่คงถูกชาวบ้านทะลวงล้มแล้ว”
หนิงเหยียนพยักหน้าให้เขา
“ไม่จำเป็นต้องมากวาจา” เขาเอ่ย “เฝ้ารอบทิศให้เคร่งครัดเถอะ”
ขุนนางขานรับ ทหารรักษาการณ์บนประตูเมืองรับคำสั่งแยกย้ายกันไป พวกเขากำอาวุธในมือแน่นประจันหน้ากับราตรีมืดสนิทนอกกำแพงเมือง เพราะเคร่งเครียดเกินไปจึงไม่ได้สังเกตเห็นความกังวลในดวงตาของหนิงเหยียน
การปรากฏตัวของเขาปลอบขวัญชาวบ้านได้ชั่วคราว แต่ถ้าหาก….
……
……
ในวังหลวงเวลานี้ ได้ยินเสียงร้องตกใจลอยมาจากในห้องบรรทมของฮ่องเต้ เพราะความวุ่นวายบนถนน ขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งจึงรีบร้อนเร่งเดินทางมายังวังหลวงเพื่อกราบทูลปรึกษารออีกไม่ได้แล้ว
พวกเขาถูกขวางอยู่ที่หน้าประตูวังพักหนึ่ง ลำบากลำบนกว่าจะขนกรณีพิเศษก่อนหน้านี้ออกมา แล้วยังมีขุนนางเฒ่าชูเครื่องประดับที่เคยได้รับพระราชทานทำนองนั้นออกมาอีก องครักษ์ถึงเปิดประตูวังปล่อยให้เข้ามาอย่างเสียไม่ได้ หลังจากนั้นก็ถูกขันทีใหญ่ทั้งหลายขวางไว้นอกห้องบรรทมอีก วุ่นวายหมดนี่ทิศตะวันออกก็สว่างแล้ว
นี่ก็เข้าประชุมเช้าได้แล้ว
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ไม่ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพวกเขาตะโกนพุ่งเข้ามา เสียงคำฉับพลันกลับหยุดชะงัก มองในตำหนักอย่างไม่อยากเชื่อ
ม่านหน้าแท่นบรรทมถูกขันทีที่เข้ามาเลิกเปิดแล้ว โคมไฟก็จุดสว่างส่องแท่นบรรทมที่ว่างเปล่า บนแท่นบรรทมเรียบร้อยไม่มีร่องรอยเคยบรรทมสักนิด
ฝ่าบาทเล่า?
“ฝ่าบาท หายไปแล้ว…” มีขุนนางใหญ่เอ่ยพึมพำ