Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 49 ข้าอยู่ด้วย
เสียงเอะอะในเมืองหลวงทะลุผ่านตำหนักชั้นแล้วชั้นเล่ามาถึงในวังหลวง
สนมกลุ่มหนึ่งสีหน้าซีดขาวส่งเสียงร้องตกใจ
“ชาวจินบุกมาแล้วหรือ?”
คำนี้ทำให้พระสนมไม่น้อยเริ่มร่ำไห้
ไทเฮาที่นั่งอยู่หน้าสุดสีหน้าก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน เพียงแต่ไม่ร่ำไห้เหมือนพวกนางเท่านั้น
“ร้องไห้อะไร!” นางตวาด มองพระสนมทั้งหลายเหล่านี้ “หากชาวจินบุกเข้ามา พวกเจ้าจงฆ่าตัวตายเสีย”
สายตาของพระสนมทั้งหลายอดไม่ได้มองไปในตำหนัก
บนโต๊ะในตำหนักวางกริชกับจอกสุราไว้ ในมือของขันทีนางกำนัลที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่ด้านข้างก็ถือผ้าแพรขาว
เห็นสิ่งเหล่านี้พระสนมทั้งหลายเหล่านี้ยิ่งร้องไห้หนักหนากว่าเดิม
“พวกเราจะเหมือนสนมเหล่านั้นในวังหลังของฮ่องเต้เหรินเซี่ยวไม่ได้” ไทเฮาเอ่ย คิดถึงสนมในวังหลังของฮ่องเต้เหรินเซี่ยว ใบหน้าของนางยิ่งซีดขาวขึ้นหลายส่วน
แม้ไม่ได้เห็นกับตาตน แต่หลังจากนางติดตามอดีตฮ่องเต้หนีมาถึงที่นี่ก่อตั้งเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวที่แพร่มาจากฝั่งของชาวจินด้านนั้น สนมเหล่านั้นตกอยู่ในมือของชาวจินล้วนประหนึ่งนางคณิกา
ตอนนั้นในใจนางไร้ความสงสาร มีเพียงเยาะหยันและรังเกียจ สตรีเหล่านี้ทำไมไม่รีบตาย เหลือชีวิตไว้ถูกชาวจินเหยียบย่ำ เสียหน้าต้าโจวหมดสิ้นแล้ว
ดังนั้นครั้งนั้นที่อดีตฮ่องเต้ต้องการไถ่ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมา นางคัดค้านเป็นคนแรก ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องความกระอักกระอ่วนของตำแหน่งของอดีตฮ่องเต้หลังฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมา ยังมีสตรีทั้งหลายเหล่านั้นอีก ให้สตรีทั้งหลายเหล่านั้นเหยียบเข้ามาในต้าโจวอีกหน นางเองก็อับอาย
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางก็มีวันนี้แล้ว
ชาวจินจะบุกมาแล้วเช่นกัน ลูกชายของนางหนีไปแล้ว ทิ้งนางกับสตรีทั้งหลายในวังหลังหนีไปแล้ว
ไทเฮายื่นมือกำอาภรณ์แน่น รู้สึกเพียงหายใจลำบาก
เดรัจฉานคนนี้
“ด้านนอกสรุปว่าเป็นอย่างไรแล้ว?” นางตวาด
มีขันทีล้มลุกคลุกคลานพุ่งเข้ามา
“ไทเฮา ไทเฮา ใต้เท้าหนิงหนิงเหยียนเรียกให้คนในเมืองเตรียมปกป้องเมืองอยู่พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยอย่างยินดี “ประชาชนทั้งหมดล้วนจะปกป้องเมืองหลวงสู้กับชาวจินด้วยกัน”
ประชาชน?
ประชาชนทั้งหลายทำอันใดได้?
ไทเฮาสีหน้าไม่น่าดู
ก็ดี ให้พวกเขาอยู่หน้าชาวจินอุดไว้ขวางไว้ ไม่แน่ทหารกองหนุนรอบด้านอาจเร่งมาถึงก่อนชาวจินบุกเข้ามาในวังหลวง
“ดังนั้น” ขันทีเงยศีรษะขึ้นอย่างสั่นเทา “ทหารองครักษ์ก็ถูกโยกย้ายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาทะลึ่งลุกขึ้นยืน
“ทหารองครักษ์!” นางตวาด “ทหารองครักษ์ทำไมถูกย้ายไป? ใครย้ายทหารองครักษ์ได้! ย้ายทหารองครักษ์ไป วังหลวงทำอย่างไร?”
วังหลวงทำอย่างไร?
หากเมืองหลวงป้องกันไว้ไม่ได้ วังหลวงจะป้องกันได้อย่างไรอีก ความจริงแทนที่จะบอกว่าทหารองครักษ์ถูกย้ายไป ไม่สู้บอกว่าทหารองครักษ์ไปเองดีกว่า ตอนที่พวกเขาก้าวเข้าไปขวาง ทหารองครักษ์ทั้งหลายก็โยนประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมา
“อำมาตย์ทั้งหลายหารือกันพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยแล้วคิดถึงอะไรได้รีบเบี่ยงประเด็น “วันนี้ขุนนางทั้งหมดของหกกรมล้วนเริ่มป้องกันเมืองแล้ว ทุกคนต่างแบ่งกันทำงาน ใต้เท้าทั้งหลายบอกว่าขอให้พระสนมทั้งหลายวางพระทัย ต้องป้องกันจนทหารกองหนุนมาถึงได้แน่นอน”
วันนี้ฮ่องเต้หนีไปแล้ว สำหรับขุนนางราชสำนักเหล่านี้ นางก็ไม่มีความมั่นใจเท่าใดไปต่อว่าคัดค้านเช่นกัน อย่างไรก็หวังให้พวกเขาป้องกันเมืองไว้ได้
ไทเฮากัดฟันนั่งลงไป มือที่วางไว้หน้าร่างกำแน่น
“ดีที่สุดพวกเขาอย่าทำให้ข้าผิดหวัง” นางเอ่ย
พูดจบก็มองพระสนมทั้งหลายในตำหนักที่หยุดร้องไห้
“พวกเจ้าอย่าอาลัยอาวรณ์ตายไม่ลง ถึงเวลาข้าจะมองพวกเจ้าออกเดินทางด้วยตนเอง ไม่มีทางให้พวกเจ้าทำราชวงศ์ขายหน้าเด็ดขาด” นางตวาด มองไปทางขันที “ปิดประตูตำหนัก ใครก็ห้ามเข้าออก”
พูดถึงตรงนี้บนหน้าก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม
“หากชาวจินบุกเข้ามาปุบ พวกเจ้าจงจุดไฟ เผาพวกเราให้ตายอยู่ข้างในนี้”
คำนี้เอ่ยออกมา ในตำหนักใหญ่เสียงร่ำไห้โหยหวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เทียบกับความเศร้าโศกของสตรีทั้งหลายในวังหลวง วังเสียนอ๋องที่สตรีไม่น้อยกว่าวังหลวงกลับแลดูเงียบสงบกว่ามาก
“อันนี้ต้องเอาไป” สตรีคนหนึ่งวางรัดเกล้าไข่มุกชิ้นหนึ่งลงในกล่อง “นี่เป็นของที่ท่านอ๋องเสียงเงินก้อนโตซื้อมาให้ข้าเชียวนะ”
“ของพวกนี้ของข้าใส่ไม่ลงแล้ว” สตรีอีกด้านหนึ่งกระทืบเท้าคล้ายประท้วงเอ่ยขึ้น ร้องเรียสาวใช้อายุน้อย “ไป หาหีบใบใหญ่สักใบมาอีก”
“โธ่ พระชายาทั้งหลายของข้า” ขันทีคนหนึ่งเช็ดเหงื่อคำนับ “ในห้องใต้ดินนั่นซ่อนของมากเช่นนี้ไม่ไหวหรอกพ่ะย่ะค่ะ ซ่อนคนได้ก็ไม่เลวแล้ว ของพวกนี้พวกท่านนำเข้าไปไม่ได้หรอก”
ในห้องฉับพลันร้องโศกเศร้าแง่งอน
“พระชายาทั้งหลาย พวกเรานี่หลบภัยไหมพ่ะย่ะย่ะค่ะ ชาวจินจะบุกเข้ามาแล้ว ชีวิตสำคัญที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรีบร้อนเอ่ย
เขาพูดพลามองไปทางเสียนอ๋องที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ท่านก็รีบกล่อมพระชายาทั้งหลายเถอะ”
เสียนอ๋องคล้ายสติไปท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก ถูกเขาเรียกติดๆ กันหลายทีถึงมองมาหาเขา
“อะไรหรือ?” เขาเอ่ยถาม
ท่านอ๋องกลัวจนเอ๋อไปแล้วหรือ? ขันทีเช็ดเหงื่ออีกหน นี่ก็เข้าใจได้ ฮ่องเต้ยังหนีไปแล้ว สำหรับลูกหลานเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ ท่านปู่ของเขาถูกชาวจินจับตัวไปตายอยู่ในมือชาวจิน ฝันร้ายนี่ยังไม่ทันจากไปไกลเลย
“ท่านอ๋องท่านไม่ใช่ให้ทุกคนไปซ่อนในห้องใต้ดินหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่าเอาสมบัติไปด้วยเลย อาหารน้ำนำไปให้พอก็พอแล้ว” ขันทีเอ่ยขึ้น “ท่านว่านี่มีเหตุผลหรือไม่”
เสียนอ๋องส่ายศีรษะ
“ข้าไม่รู้” เขาเอ่ย
หา? ขันทีอึ้ง อะไรคือไม่รู้?
“หลบอยู่ในห้องใต้ดิน อาหารน้ำเอาไปพอก็พอแล้วหรือ?” เสียนอ๋องมองเขาแล้วเอ่ยถาม
ไม่เช่นนั้นอย่างไร? ขันทีตะลึง เป็นห่วงว่าห้องใต้ดินยังไม่ปลอดภัยหรือ?
“ถ้าเช่นนั้นฉวยจังหวะที่ยังไม่บุกมา พวกเราขุดให้ลึกลงไปอีกหน่อยไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอ่ยถาม
เสียนอ๋องมองเขาแล้วยิ้ม
“ขุดลงไปอีกนิด หลบเสีย มีแค่วิธีนี้หรือ?” เขาเอ่ยขึ้นท่าทางเย้ยหยันตนเองอยู่บ้าง
ถ้าอย่างนั้นยังมีวิธีอะไรอีก? ขันทียิ่งงุนงงแล้ว
ยังมีวิธีอะไรอีก?
เสียนอ๋องกำพนักแขนแน่น สายตามองไปด้านข้าง สตรีคนหนึ่งกำลังกางภาพวาดภาพหนึ่งออก คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าจะนำไปหรือไม่นำไป
“นี่เป็นภาพที่อดีตฮ่องเต้ทรงวาดพระราชทานแก่ท่านอ๋อง” นางเอ่ยพึมพำ
ใช่แล้วนี่เป็นสิ่งที่อดีตฮ่องเต้พระราชทาน สิ่งที่วาดคือภาพแม่ทัพภาพหนึ่ง
เวลานั้นเขายังเด็ก ได้ฟังอาจารย์เล่าความแค้นครั้งเก่าที่ไคเฟิงก็โกรธแค้นให้คนตีชุดเกราะชุดหนึ่งมาสวม วิ่งไปบอกกับอดีตฮ่องเต้ว่าตนเองจะฝึกยุทธ์ทำสงคราม แก้แค้นให้พระอัยกา ล้างแค้นให้ต้าโจว
ความคิดแล่นผ่าน เสียนอ๋องพลันแสบจมูก อยากหลั่งน้ำตาอย่างไร้สาเหตุ
เขาก้มศีรษะลงมองเนื้อบนท้องโตๆ ของตนที่เบียดรวมกลายเป็นก้อนบนเก้าอี้
ดูสิหลายปีนี้เขาใช้ชีวิตจนกลายเป็นอย่างไรแล้ว
แค่เพื่อมีชีวิตอยู่ แค่เพื่อมีชีวิตอยู่ มีความหมายไหม?
“ไม่มีความหมาย” เขาเอ่ย
ขันทีได้ยินไม่ชัด
“ท่านอ๋องท่านเอ่ยว่าอันใดพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอ่ยถาม
เสียนอ๋องมองไปหาเขา
“ข้าบอกว่า ไม่มีความหมาย” เขาเอ่ย ยันร่างลุกขึ้นยืน “อยู่เช่นนี้ไม่มีความหมาย”
อยู่เช่นนี้ไม่มีความหมาย? ถ้าเช่นนั้นอยู่แบบไหนถึงมีความหมาย? ขันทีงุนงง
เสียนอ๋องตบท้องทีหนึ่ง
“ใครมานี่ซิ เอาเกราะของข้ามา” เขาตวาดเอ่ย
คำพูดนี้เอ่ยออกมาในตำหนักพลันเงียบ คนทั้งหมดมองมาทางเขา
เสียนอ๋องชะงักด้วย
“ช่างเถอะ ข้าก็ไม่มีชุดเกราะ คิดว่าก็คงไม่มีเกราะที่ข้าใส่ได้ด้วย” เขาเอ่ยพลางตบท้องอีกทีหนึ่ง “เอาชุดพิธีการของข้ามา!”
คนในตำหนักในที่สุดก็ได้สติกลับมา
“ท่านอ๋อง ท่านจะไปทำอันใด?” ทุกคนเอ่ยถาม
ดวงตาที่ถูกไขมันเบียดจนลืมไม่ขึ้นของเสียนอ๋องเปล่งประกาย
“ข้า จะไปปกป้องเมือง สังหารโจรจิน” เขาเอ่ยทีละคำๆ
ในตำหนักเงียบสงบลงครู่หนึ่งจากนั้นก็เอะอะขึ้น
“ใครรีบมานี่เร็ว ท่านอ๋องกลัวจนบ้าไปแล้ว”
“รีบเชิญหมอเร็ว!”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
……
……
“เพ้ยเพ้ย ข้าไม่ได้บ้า แล้วก็ไม่ได้เลอะเลือนด้วย”
ลำบากนักกว่าจะตวาดให้กลุ่มคนที่วุ่นวายหยุด จากนั้นเสียนอ๋องก็ตวาดขึ้น
“ข้าไม่คิดจะหลบแล้ว ข้าจะปกป้อเมืองด้วยกันกับประชาชน”
เขาพูดพลางชี้ไปด้านนอก
“ประชาชนทั้งหลายยังไม่กลัว กล้าอยู่ร่วมกับเมือง ข้าในฐานะชิงอ๋องแห่งต้าโตว ทำไมต้องหลบ? มีหน้าอะไรให้หลบ? ข้ายังสู้ประชาชนชาวบ้านไม่ได้หรือ?”
แต่นั่นคือชาวจินนะ
คนมากมายในตำหนักไม่ได้เห็นค่าประชาชนเหล่านี้นัก สำหรับพวกเขาแล้ว เมืองแห่งนี้ปกป้องไว้ไม่ได้สักนิด
สตรีไม่น้อยเริ่มร่ำไห้กระซิกๆ
แต่ขุนนนางวังอ๋องคนหนึ่งกลับดวงตาเป็นประกาย
“ท่านอ๋อง พูดจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอ่ยถาม
เสียนอ๋องมองไปหาเขา
“ข้าเอ่ยคำโกหกมาหลายปีนักแล้ว” เขาเอ่ย “ตอนนี้ฮ่องเต้หนีไปแล้ว ข้าอยากพูดความจริงสักหน”
ความหมายของถ้อยคำนี้ทำให้คนที่อยู่ที่นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แต่แววตาของขุนนางวังอ๋องผู้นั้นยิ่งเปล่งประกาย
เสียนอ๋องไม่สนใจเขา
“ใครมานี่ซิ เรียกรวมองครักษ์ทั้งหมดของวังอ๋อง ไปกำแพงเมืองปกป้องเมืองกับข้า” เขาเอ่ย แม้ใบหน้าอ้วนตุ๊ต๊ะแลดูน่าขันนัก แต่สีหน้ารวมถึงน้ำเสียงของเขาไม่หัวเราะร่าอย่างวันวานอีกต่อไป
“พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์คนหนึ่งฉับพลันขานรับ
พร้อมกับเสียงขานรับนี่ วังอ๋องทั้งหลังก็เคร่งเครียดขึ้นมา องครักษ์นับไม่ถ้วนรื้อเสื้อเกราะที่ไม่ได้สวมเนิ่นนานแล้วออกมา พกอาวุธที่หลุดกระจายไม่ครบส่วน ไม่ใช่แค่พวกเขากระทั่งขันทีจำนวนหนึ่งก็ขยับตามมาด้วย
“แม้พวกเราไม่มีพวงสวรรค์ แต่ก็กล้าสู้กับชาวจินสักตั้งเหมือนกัน” ขันทีที่นำหน้าชูกไม้กระบองท่อนหนึ่งตะโกน
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง พวกเราก็จะไปด้วย”
สตรีท่วงท่างดงามกลุ่มหนึ่งรุมเข้ามาด้วย
“ท่านอ๋องไม่กลัว พวกเราก็ไม่กลัว!”
นี่ทำให้สถานการณ์ที่เดิมทีเคร่งเครียดเคร่งขรึมกลายเป็นน่าขันอยู่บ้าง เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว แต่ไม่ได้เอ็ดพวกผู้หญิงเหล่านี้ แต่กอดไว้ซ้ายขวา
“ข้ารู้อยู่แล้ว ผู้หญิงของข้าไม่มีทางขี้ขลาด” เขาเอ่ย “ข้าเป็นวีรบุรุษ พวกเจ้าก็เป็นวีรสตรี”
พวกผู้หญิงพากันหัวเราะเสียงหวาน
จะพาสตรีกลุ่มนี้ไปด้วยจริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นภาพคงน่าขันอยู่บ้างแล้ว คนที่อยู่ที่นั่นอดไม่ได้เหงื่อผุดพราย
เสียนอ๋องคนนี้ที่แท้คิดอย่างไรกันแน่? กลัวจนเป็นบ้าไปแล้วจริงหรือ?
“แต่ ข้าเป็นบุรุษ ข้าอยู่ด้านหน้า พวกเจ้าอยู่ด้านหลัง” เสียนอ๋องเอ่ย “รอข้ารบตายไป ก็ดูพวกเจ้าแล้ว ถึงเวลาพวกเจ้าต้องล้างแค้นให้ข้า”
พูดจบพลันบีบก้นของพวกผู้หญิงหนักๆ ทีหนึ่ง
นี่ทำให้สตรีทั้งหลายที่เดิมทีจะโศกสลดเพราะได้ยินคำว่ารบตายก็กลายเป็นแง่งอน บรรยากาศยิ่งสุขสันต์
ท่ามกลางเสียงแง่งอนไพเราะรื่นหูนี่ เสียนอ๋องพลิกกายขึ้นม้า เหวี่ยงกระบี่ในมือ
คล้ายกลับไปยังช่วงวัยเยาว์ที่ฝึกทหารในลานประลองอีกหน ส่วนฝั่งตรงข้ามก็คือลูกหลานชนชั้นสูงที่ดูแคลนเขากลุ่มนั้นอย่างจูจั้น
“ติดตามข้า สังหาร!” เขาตวาดเสียงดัง
ครั้งนั้นเขาถูกพวกจูจั้นกลุ่มนั้นอัดจนเป็นหัวหมู ครั้งนี้เขาจะอัดชาวจินให้กลายเป็นหัวหมู
……
……
ประตูวังอ๋องเปิดกว้าง เสียนอ๋องหนึ่งอาชานำหน้า หลังร่างเหล่าองครักษ์กับขันทีสง่าผ่าเผย
ส่วนขุนนางทั้งหลายของวังอ๋องตามอยู่ด้านหลังสุด เทียบกับเสียนอ๋องที่จิตใจฮึกเหิม สีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยน่าดูนัก
“ทำไมไม่กล่อมสักหน่อย?” ขุนนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “นี่ไม่ใช่ก่อเรื่องวุ่นวายหรือ?”
แต่ขุนนางอีกคนหนึ่งยิ้ม
“ก่อเรื่องวุ่นวาย? ไม่แน่หรอก” เขาเอ่ยพลางลูบเครา ในดวงตาเป็นประกายแวววาว “นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง”
โอกาส?
ขุนนางคนก่อนหน้านี้ตะลึงนิดหนึ่ง หลังจากนั้นมองไปยังถนนใหญ่ บนถนนมีคนไม่น้อยเดินอยู่ เห็นเสียนอ๋องปรากฏตัว ทุกคนล้วนเผยสีหน้าตกตะลึง แต่จากนั้นก็เข้าใจอะไรบางอย่าง สีหน้าตะลึงและนับถือ
ชื่อเสียง
ขุนนางพลันเข้าใจแล้ว
เวลาเช่นนี้ ฮ่องเต้ยังหนีไปแล้ว เสียนอ๋องกลับยืดอกก้าวออกมา ถ้าเช่นนั้นชื่อเสียงในหมู่ประชาชนและขุนนางคิดดูก็รู้
เสียนอ๋องแสร้งโง่แกล้งทึ่มอยู่เสมอ เวลานี้ฉับพลันทำเช่นนี้ หรือว่า….
“ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเสียนอ๋องไม่ใช่ตัวไร้ประโยชน์คนหนึ่ง” ขุนนางคนนั้นเอ่ยเสียงเบา “ยามยังเล็กก็ไม่ธรรมดา หลายปีนี้เก็บงำประกายอยู่ในความมืดจริงๆ…”
พูดถึงตรงนี้ พวกเขาพลันสบตากันทีหนึ่ง ล้วนมองเห็นดอกไม้ไฟในดวงตาของอีกฝ่าย
ในฐานะขุนนางของวังอ๋องโชคชะตาทั้งชีวิตถูกกำหนดไว้แล้ว มีเพียงโชคชะตาของท่านอ๋องถึงเปลี่ยนโชคชะตาของพวกเขาได้
ลองถามดูใครบ้างไม่อยากก้าวหน้าขึ้นไปอีก ต้องการโชคชะตาที่ดีขึ้นไปอีก?
เพียงแต่โชคชะตายากเปลี่ยน โอกาสริบหรี่ ยามปกติพวกเขาคิดก็ไม่กล้าคิด
หรือเวลานี้ โอกาสมาแล้วหรือ?
ขณะที่กำลังคิดวุ่นวายอยู่ ขบวนด้านหน้าที่เคลื่อนอยู่ก็พลันหยุด
“อะไร? ท่านอ๋องนึกเสียใจอีกแล้วหรือ?” ขุนนางรีบเอ่ยถาม
เสียนอ๋องรั้งม้าหยุดยืน สีหน้าเหมือนคิดบางอย่าง
“นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง” เขาพลันเอ่ยพึมพำ หลังจากนั้นก็หันหัวม้า ควบม้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
นี่คือจะไปที่ไหน?
องครักษ์กับขันทีทั้งหลายด้านหลังร่างมองหน้ากัน รีบแห่แหนติดตาม
เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนี้ คุณหนูจวินหารู้ไม่
นางทำให้ประชาชนสงบ ส่วนหนิงเหยียนทำให้ทางการสงบ ด้านในเมืองที่เดิมทีวุ่นวายค่อยๆ ฟื้นกลับมาเป็นระเบียบ แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรก
ที่สำคัญที่สุดคือต่อไปจะป้องกันเมืองให้ดีอย่างไร
“ศึกป้องกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือป้องกันอย่างเหมาะสม สิ่งที่หวั่นเกรงที่สุดคือยามฉุกละหุกผิดพลาด” คุณหนูจวินเอ่ย
หนิงเหยียนพยักหน้า มองทหารองครักษ์กับแม่ทัพทั้งหลายของกรมทหารม้าห้าเมืองที่อยู่ที่นั่น
“ดังนั้นพวกเราต้องจัดแบ่งกำลังพลให้ดี ระดมคนทั้งหมดให้เต็มที่ ใช้สิ่งของให้ได้ประโยชน์สูงสุด” เขาอ่ย
“กองทหารชิงซานจะแบ่งไปอยู่ในหมู่นายทหารของพวกท่าน ให้พวกเขาเป็นผู้สั่งการตั้งทัพป้องกัน” คุณหนูจวินเอ่ย “การวางกำลังป้องกันโดยละเอียดพวกท่านรู้ชัดยิ่งกว่า ให้พวกท่านจัดการ”
แม่ทัพทั้งหลายขานรับพร้อมเพรียง
“หลังจากนั้นตอนนี้ก็คือเลือกทหารกล้าในเมืองออกมา เสริมกำลังคนบนกำแพงเมืองสี่ด้าน” หนิงเหยียนเอ่ย
พูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจแผ่วเบาอีกหน มองลงไปจากบนประตูเมือง
“หัวใจของผู้คนยังไม่มั่นคงพอ”
คุณหนูจวินก็มองไปด้วย ฝูงชนบนถนนใหญ่ไม่สับสนวุ่นว่ายเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านไม่น้อยขนย้ายถุงดินก้อนหินท่อนไม้ที่จำเป็นในการป้องกันเมืองมาตามที่ได้รับคำสั่ง แต่พวกเขาก็ยังรวมตัวกัน ถกเถียงอะไรบางอย่างอยู่เป็นระยะ ระหว่างที่มองรอบด้านสีหน้าก็วิตกอยู่บ้างตลอด
“…ข้าว่า ข้ารู้สึกว่าในใจก็ยังวิตกอยู่” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบากับคนไม่กี่คนข้างกาย ในมืออุ้มก้อนหินวางไปพลาง
“วิตกอย่างไร? คุณหนูจวิน ใต้เท้าหนิงไม่ใช่อยู่กันหมดรึ” มีคนเอ่ย
ชายหนุ่มคนนั้นส่ายศีรษะ
“ข้าไม่ใช่ไม่เชื่อคุณหนูจวินกับใต้เท้าหนิง” เขาเอ่ย “ข้าแค่รู้สึกว่าขุนนางตำแหน่งใหญ่กับชนชั้นสูงเหล่านั้นล้วนไม่โผล่ออกมาเลย ใช่ให้พวกเราเป็นคนรับเคราะห์หรือเปล่า”
คำพูดของเขาทำให้ผู้คนรอบด้านเพิ่มความวิตกยิ่งขึ้น
“ข้าว่า ทุกคนอย่างไรก็ฉลาดหน่อยเถอะ อย่าหัวร้อนสู้เอาเป็นเอาตายจริงๆ…” มีคนอดไม่ได้เอ่ยขึ้นบ้าง
คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ บนถนนด้านหลังพลันมีเสียงวุ่นวายดังขึ้น คล้ายมีใครมา
“เกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาอดไม่ได้มองไป
คนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมด้านนั้น คล้ายแย่งกันดูอะไร แล้วยังมีเสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาด
พวกคุณหนูจวินบนกำแพงเมืองก็สังเกตแล้ว บนประตูเมืองก้มมองลงมาจากที่สูงมองเห็นขบวนคนขบวนหนึ่งมา ไม่เหมือนกับผู้คุ้มกันของทางการรวมถึงครอบครัวขุนนางจำนวนหนึ่ง นี่เห็นชัดว่าเป็นเครื่องแบบองครักษ์ของเชื้อพระวงศ์
“เสียนอ๋องมาแล้วขอรับ” มีทหารรีบร้อนวิ่งมารายงานด้วยสีหน้ายินดี “เสียนอ๋องพาคนมาปกป้องเมืองแล้ว”
เสียนอ๋องนี่เอง
หนิงเหยียนพยักหน้า สีหน้าคลายกังวลลงอยู่บ้าง ส่วนคุณหนูจวินยิ่งยินดี ทั้งทอดถอนใจ ทั้งภาคภูมิใจ
นางรู้อยู่แล้วว่าท่านอาคนนี้ไม่ใช่คนขี้ขลาด นางรู้อยู่แล้วว่าลูกหลานตระกูลฉู่ที่แท้จริงไม่รักตัวกลัวตาย
“ข้าจะไปดูสักหน่อย” นางเอ่ยพลางรีบร้อนลงจากกำแพงเมือง เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฮือฮาบนถนนยิ่งดังขึ้น
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว” เสียงผู้คนเอะอะร้องตะโกน
คุณหนูจวินหยุดเท้ามองไป เห็นรถม้าคันนั้นเคลื่อนมาถึงท่ามกลางฝูงชนแล้วหยุดลง จากนั้นก็มีคนเลิกผ้าม่านเดินออกมา แต่ไม่ใช่ร่างอ้วนพลุ้ยนั่นของเสียนอ๋อง เป็นเงาร่างเล็กจ้อยร่างหนึ่ง
เงาร่างนี้ฝ่าเข้ามาในสายตาปุบ คุณหนูจวินฉับพลันแข็งทื่อ
ชาวบ้านรอบด้านก็ตะลึงด้วย เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลง นี่ทำให้เสียงของคนที่เดินออกมาจากรถม้ากลายเป็นฟังได้ยินชัดเจน
“พวกเจ้า อย่าได้กลัว”
เสียงเยาว์วัยใสกังวานสะท้อนบนถนน มีความเป็นเด็กอยู่บ้าง
“ข้า อยู่กับพวกเจ้า”
ใต้แสงตะวัน บนรถม้า เด็กน้อยที่สวมอาภรณ์ลวดลายของชินอ๋องศีรษะสวมรัดเกล้าทองยืนมือไพล่หลัง
น้ำตาของคุณหนูจวินพริบตาพร่ามัวดวงตาทั้งสองข้าง
จิ่วหรงของนาง ยืนอยู่ใต้แสงตะวันแล้ว
จิ่วหรงของนาง เดินมาถึงเบื้องหน้าผู้คนแล้ว
จิ่วหรงของนางออกมาแล้ว