Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 58 ถอย
ท่ามกลางราตรียิ่งมองผู้คนที่มาไม่ชัด เห็นเพียงด้านหน้าทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นอาชาและทหาร มืดฟ้ามัวดินทำให้คนหายใจไม่ออก
จ้าวฮั่นชิงยืนอยู่ในกระบวนทัพ พลธงสองข้างมือชูคบไฟ
“แยก” นางเอ่ย
พลธงทั้งหลายเป่าแตรดังทันที
กระบวนทัพพริบตาขยับ บนทุ่งกว้างเสียงกีบเท้าดังประหนึ่งอสนีบาต ทหารม้าสองด้านประหนึ่งน้ำหลากซัดกระทบทำนบ
ใต้ท้องฟ้าราตรีเสียงฆ่าฟันสะเทือนนภา
…
…
บนกำแพงเมืองของเมืองหลวงทหารจินมากขึ้นทุกที ๆ ทุกหนทุกแห่งเป็นแสงเปลวเพลิง เสียงเข่นฆ่าเสียงตะโกนเต็มไปหมด
นายทหารทั้งหลายรบจนตัวตายเกือบหมดสิ้น การรบไม่มีระเบียบอีกต่อไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งชูไม้กระบองฟาดเข้าใส่ทหารจินที่วิ่งพุ่งเข้ามา
ไม้กระบองถูกฟันสวนจนปลิว อาจเป็นเพราะวิธีสู้ที่ไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นนี่ทำให้ทหารจินอดไม่ได้หัวเราะบ้าคลั่ง
ชายฉกรรจ์คนนั้นมองทหารจินที่หัวเราะบ้าคลั่งคนนี้แล้วฉับพลันโถมเข้าใส่ ถึงกับไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้นยื่นมือทิ่มสองตาของทหารจิน
ทหารจินคนนั้นคิดไม่ถึงว่จะมีคนบ้าคลั่งเช่นนี้ ไม่ทันป้องกันถูกจิ้มเข้า เขาส่งเสียงร้องบ้าคลั่งทีหนึ่ง ดาบยาวในมือสะบัดฟันแขนของชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์ส่งเสียงกรีดร้อง แต่มือที่คว้าหน้าของชาวจินไว้กลับไม่คลายออก ตรงกันข้ามคนทั้งร่างกลับต้านดาบยาวประชิดเข้าไป มือจิกดวงตาของทหารจินไว้แน่น ปากกัดที่ใบหูของทหารจินด้วย
ทหารจินร้องตะโกนกลิ้งลงไปที่พื้นกับชายฉกรรจ์ จนกระทั่งทหารจินอีกคนเร่งเข้ามาหนึ่งหอกแทงชายฉกรรจ์ตาย
แต่นาทีต่อมาก็มีชายฉกรรจ์นับไม่ถ้วนแห่เข้ามาอีก ไม่มีระเบียบสักนิดแต่ก็ไม่ถอยหลีกสักนิด ประหนึ่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
เห็นฉากนี้ คุณหนูจวินที่ถูกองครักษ์ล้อมประจันหน้ากับคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่พลันสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“พวกเจ้าไม่เห็นหรือ?” นางตวาด “เป็นเช่นนี้แล้ว พวกเจ้ายังสู้ติดพันกับคนของพวกเราเองอยู่อีก!”
คนกลุ่มนี้สีหน้านิ่งสนิทไม่มีคนตอบ พวกเขาก้าวมาข้างหน้าอีกครั้ง อาวุธในมือฟันเข้าใส่องครักษ์ด้านนี้อย่างไม่ลังเลสักนิด
“ข้าจะไปกับพวกเขา”
จิ่วหรงที่ถูกคุณหนูจวินปกป้องอยู่ด้านหลังร่างตะโกนขึ้นมา
“หลีกไปให้หมด”
คุณหนูจวินหันกลับมามองเขา
“องครักษ์ของข้า ไม่ควรตายด้วยมือคนของตัวเอง” จิ่วหรงเอ่ยเสียงดัง “ไปเถอะ พวกเจ้าไปสังหารศัตรูเหมือนเช่นผู้กล้าวีรบุรุษคนหนึ่งเถอะ”
องครักษ์ทั้งหลายหันศีรษะกลับมามองเขา สีหน้าสับสนลังเล
คุณหนูจวินนั่งยองลงมาโอบหัวไหล่ของเขา กำลังจะเอ่ยวาจาอันใด ฉับพลันเหนือประตูเมืองเสียงเอะอะดังยิ่งกว่าก็ดังขึ้น
“ชาวจินถอยแล้ว!”
“ชาวจินถอยแล้ว!”
เสียงตะโกนนี่ทำให้พวก คุณหนูจวินล้วนตะลึง องครักษ์ทั้งหลายก็หยุดโรมรันด้วย พวกเขามองไปยังกำแพงเมืองด้านนั้นอย่างประหลาดใจ
การเข่นฆ่าบนกำแพงเมืองยังดำเนินไปต่อ แต่อาศัยแสงไฟมองเห็นได้ว่าทหารจินที่เดิมทีมีอยู่ยุบยับบนบันไดยาวที่กำแพงเมืองกำลังถอยไป ไกลออกไปอีกทหารจินที่อออยู่ก็ถอยหลังไปประหนึ่งน้ำหลาก
และในเวลาเดียวกันนี้แตรเรียกทหารกลับก็ดังขึ้นท่ามกลางราตรี
ไม่ต้องพูดถึงชาวโจวด้านนี้ไม่อยากเชื่อ ทหารจินที่ต่อสู้กำลังมันก็อึ้งเช่นกัน
เวลานี้ไม่ได้พ่ายแพ้สักนิด กำลังฮึดคราวเดียวจะเอาเมืองมา ทำไมอยู่ดีๆ เรียกทหารกลับเล่า?
ถ้าเช่นนั้นพวกเขาจะสู้หรือว่าถอย? ความคิดสับสน สีหน้าตะลึงการ เคลื่อนไหวหยุดชะงัก ทหารและชายฉกรรจ์ชาวโจวที่เดิมทีตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบฉับพลันกำลังใจลุกโชน เริ่มต่อสู้อย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
ทหารจินที่ฝืนประจันศึกถูกชายหนุ่มที่รุมล้อมเข้ามาผลักล้มลงกับพื้น ทหารจินที่คิดจะถอยไปบ้างถูกฟันล้มบ้างก็พลัดตกจากกำแพง
เห็นทหารจินร่วงลงมาจากกำแพงเมืองขาด อวี้ฉือไห่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลพลันโกรธจนตาแดง
“เรียกทหารกลับไม่ได้ กำลงจะโจมตีเมืองหลวงได้อยู่แล้ว” เขาตะโกนใส่แม่ทัพข้างกาย
แม่ทัพข้างกายสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ทหารกองหนุนของชาวโจวมาแล้ว!” พวกเขาตะโกน “กำลังโจมตีค่ายใหญ่ของพวกเราอยู่”
“ไม่มีทางมีทหารกองหนุนมามากนัก!” อวี้ฉือไห่โมโหเอ่ย “กำลังพลด้านหลังของพวกเราพอต้านไว้ได้”
แม่ทัพทั้งหลายสีหน้ายังคงโกรธเกรี้ยว ในความโกรธเกรี้ยวนี้ยังมีความหวาดกลัวที่ยากปิดบังจางๆ อยู่ด้วย
“แต่นั่นเป็นกองทหารชิงซาน!” พวกเขาตะโกนเอ่ย
ตัวไร้ประโยชน์ขี้ขลาดประหนึ่งมุสิกแข็งนอกอ่อนในฝูงนี้ถูกกองทหารชิงซานทำให้กลัวเสียขวัญแล้ว อวี้ฉือไห่แทบโกรธจนจะเป็นลม
“พวกเราจะโจมตีกำแพงเมืองได้อยู่แล้ว ต่อให้กองทหารชิงซานมา ขอเพียงพวกเรายึดเมืองหลวง ครองพระราชวังได้ พวกเขาก็ทำอันใดพวกเราไม่ได้เหมือนกัน” เขากัดฟันเอ่ยทีละคำๆ
“โจมตียึดกำแพงเมืองได้เท่านั้น ไม่แน่ว่าจะโจมตียึดเมืองหลวงได้” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยอย่างโมโห ยื่นมือชี้เมืองที่แสงเปลวเพลิงท่วมฟ้าด้านหน้า “ชาวโจวเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไม่ทานทนสักการโจมตีเช่นนั้นอย่างที่เจ้าว่าสักนิด โจมตีกำแพงเมืองด้านหนึ่งยังยากเย็นเช่นนี้”
ชาวโจวเหล่านี้ก็แค่ฮึดกลั้นอยู่เท่านั้น ขอเพียงโจมตีกำแพงเมืองได้ก็ทำลายลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพวกเขาได้แล้ว เมืองหลวงก็เป็นของในกระเป๋าแล้ว
ตัวไร้ประโยชน์เหล่านี้ พวกคนเถื่อนเหล่านี้เข้าใจอะไร อวี้ฉือไห่โกรธจนจะกระอักเลือด
แต่ทำอย่างไรได้ แม่ทัพจินเหล่านี้เวลานี้ไม่มีทางฟังเขาอย่างสิ้นเชิง อวี้ฉือไห่มองทหารจินที่ถอยร่นประหนึ่งน้ำลง แล้วอดไม่ได้ชูมือแหงนมองฟ้าร้องเสียงดัง
ทหารกองหนุนที่น่าตายนี่ มาช้าแม้เพียงหนึ่งชั่วยามก็ดี
ขาดเพียงก้าวเดียว ขาดเพียงก้าวเดียวเอง
แม่ทัพจินคนหนึ่งอาจเพราะเห็นอวี้ฉือไห่ที่ชมตนเองว่าเป็นสุภาพชนมาตลอดเสียกิริยาเช่นนี้ ก็ทนไม่ได้อยู่บ้าง
“ใต้เท้าอวี้ไม่ต้องกังวล ท่านไม่ใช่บอกว่าทหารกองหนุนไม่มากหรือ ทั้งพวกเขายังระหกระเหินเดินทาไกลมาอีก ถึงกับกล้ารบกลางราตรีกับพวกเราบนทุ่งกว้าง รอพวกเรารวมกำลังรวบพวกเขาทีเดียว” เขาเอ่ยเสียงดัง “ให้คนเหล่านี้ในเมืองหลวงดูสักหน่อยว่ามีทหารกองหนุนมาก็ไร้ประโยชน์ กำลังใจของพวกเขาต้องถูกโจมตีทลายอย่างสิ้นเชิงแน่ พวกเรากลับมาอีกที เมืองหลวงก็ยังคงเป็นของในกระเป๋าของพวกเราดังเดิม”
แต่คำพูดนี้ของเขาคล้ายปลอบประโลมอวี้ฉือไห่ แล้วก็กำลังปลอบประโลมตนเอง ทว่าอวี้ฉือไห่สีหน้านิ่งสนิททั้งยังเฉยเมยเหมือนแสร้งไม่ได้ยินอยู่บ้าง
แม่ทัพจินเจอคนปฏิเสธก็แค่นเสียงเหอะสองทีท่าทางอับอายโมโหหมุนตัว
“ประจันศึก” เขาตะโกนเสียงดัง ทะยานม้าวิ่งตามกองทัพใหญ่ไป
…
…
บนกำแพงเมืองทหารจินคนสุดท้ายถูกบีบล้อมมาถึงริมกำแพง
เสียนอ๋องคำรามเสียงดังทีหนึ่ง ชูหอกยาวพุ่งเข้ามา
ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรือใต้เท้าระเกะระกะจนสะดุด หอกยาวของเสียนอ๋องจึงเฉียดผ่านหัวไหล่ทหารจินชนเข้ากับกำแพงเมือง ทว่าทหารจินก็ยังคงร้องเสียงดัง ถูกเสียนอ๋องผู้อ้วนท้วนที่พุ่งเข้ามาชนจนปลิวร่วงลงจากกำแพงเมือง
“ท่านอ๋องเกรียงไกร!” องครักษ์ทั้งหลายสองด้านตะโกนเสียงดังพร้อมเพรียง
อย่างไรก็ถูกเขาทำให้ลงจากกำแพงเมืองไป ไม่ว่าเขาใช้หอกหรือใช้ร่างกาย เขาก็สังหารโจรจินคนหนึ่งกับมือตนเอง เขาสังหารกับมือตนเองเชียวนะ!
เสียนอ๋องลบความใจหายไป สีหน้าดีใจตื่นเต้นโบกมือให้ทุกคน
“เป็นทุกคนเกรียงไกร” เขาตะโกน
ผู้โชคดีเหลือรอดทั้งหลายมองกำแพงที่ไม่มีทหารจินแห่ขึ้นมาอีกแล้ว แต่ไม่ได้โห่ร้องยินดีคึกคัก สีหน้าไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง แล้วก็ระวังอยู่บ้าง
หรือจะมีแผนร้ายอะไรกระมัง?
หรือจะหมักบ่มการโจมตีครั้งต่อไปอีก?
คุณหนูจวินโอบไหวอ๋องเดินเข้ามาหลายก้าว
“ไม่เหมือนมีอุบาย” บัณฑิตกู้มุดออกมาจากด้านข้าง แล้วมองด้านหน้า “ข้าคิดว่า ทหารกองหนุนมาแล้ว”
องครักษ์เสื้อแพรที่สั่นเทาทั้งหลายยืนอยู่หลังร่างบัณฑิตกู้อย่างยิ่งสงบอีกครั้ง คล้ายเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น พวกเขารับคำสั่งให้พาไหวอ๋องกับคุณหนูจวินจากไปยามที่เมืองรักษาไว้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้มีทหารกองหนุนมาแล้ว เมืองหลวงไม่ถูกตีแตกก็ไม่มีความจำเป็นต้องพาไปแล้วเช่นกัน
ทหารกองหนุน?
ค่ำคืนบดบังสายตา มองไม่เห็นว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ทหารกองหนุนที่ไหน?” แม่ทัพคนหนึ่งที่แขนข้างหนึ่งแทบถูกฟันขาดกัดฟันเสียงสั่น พยุงกำแพงมองไปข้างนอก แสงเปลวไฟส่องสีหน้าซีดขาวที่ไม่มีความยินดีสักนิด “สงครามกลางคืนกับทหารจิน จะสำเร็จได้หรือ?”
ทหารประจำการรอบด้านเมืองหลวงหากร้ายกาจจริง ตอนนี้เมืองหลวงก็คงไม่เป็นเช่นนี้แล้ว
ได้ยินคำนี้ผู้คนบนกำแพงสีหน้ายิ่งสิ้นหวังเพิ่มหลายส่วน
“บางทีอาจเป็นทหารกองหนุนจากแดนเหนือ” แต่ก็มีคนเอ่ยเสียงดังขึ้นอีก
หากเป็นทหารกองหนุนที่แดนเหนือ ถ้าอย่างนั้นก็มีความหวัง
ผู้คนอดไม่ได้คาดหวังอยู่บ้างอีกหน
“ไม่ว่าจะว่าอย่างไร พวกเราก็รอจนทหารกองหนุนมาได้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “เรื่องที่เดิมทีคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้เป็นไปได้แล้ว ป้องกันเมืองได้ชัยชนะ ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไมได้เช่นกัน”
หวังว่านะ มือที่ทิ้งข้างลำตัวของหนิงเหยียนผู้บนร่างมีคราบเลือดอยู่ทั่วเส้นผมยุ่งเหยิงไม่มีบรรยากาศของขุนนางฝ่ายพลเรือนผู้สุขุมอีกต่อไปกำแน่นเช่นกัน
คุณหนูจวินโอบหัวไหล่ของไหวอ๋องแน่น ยืนอยู่กับคนทั้งหมดบนกำแพงเมือง มองทิวทัศน์ประหนึ่งหมึกเบื้องหน้า
ท่ามกลางราตรีเสียงเข่นฆ่าคล้ายลอยมาจากขอบฟ้าอยู่เลือนราง
…
…
เสียงสังหารสะเทือนนภา ข้างหูเสียงกลองกังวานฉับพลันเปลี่ยน ทหารม้าด้านหน้าประหนึ่งถูกดาบผ่าออกแล้วก็ประหนึ่งแขนเสื้อยาวของนางรำสะบัดออกสองข้าง นายทหารแถวแล้วแถวเล่าที่อยู่ในกระบวนทัพชูดาบยาวและโล่ตรงไปข้างหน้า
ทหารม้าของชาวจินพุ่งเข้ามาแล้ว ดาบยาวดาบโค้งฟันเข้าใส่นายทหารขบวนนี้นายทหารทั้งหลายย่อตัวยกโล่ขึ้นพร้อมเพรียง แสงเปลวไฟแถบหนึ่งชนปะทะ ตามติดมาด้วยดาบยาวเหวี่ยงสะบัด เสียงม้ากรีดร้องระงมโถมใส่ทหารจินล้มกลิ้งร่วง
โล่บินแหวก ดาบยาวสะบัดเหวี่ยง เลือดเนื้อปลิวว่อน
กำลังพลปะทะกัน สู้รบชุลมุน
กลางคืนมองไม่ชัด แต่สถานการณ์ยิ่งโหดร้าย
“…ทำไม ทำไมรบกันเช่นนี้เล่า”
ทหารของเมืองเหรินจี้คนหนึ่งตะโกน มือที่กำหอกยาวสั่นเทาเฉกเช่นเสียงของเขา
“พวกเรากองทหารชิงซานตลอดมาล้วนรบเช่นนี้” ด้านข้างเสียงลอยมา
พร้อมกับเสียงนี้ นายทหารสามคนพลันก้าวเท้าพร้อมเพรียงชนเข้าใส่ทหารจินคนหนึ่งที่ประจันหน้ามา
ขวานหนักหน่วงของทหารจินผ่าแหวกเกราะของนายทหารคนหนึ่งร่วงลงบนหัวไหล่ของเขาตรงๆ แทบจะผ่าคนทั้งร่างออก
นายทหารเมืองเหรินจี้ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักชัดเจน แต่นายทหารคนนั้นที่คุกเข่ารอความตายกลับยังคงยกหอกยาวในมือขึ้นแทงทะลุหน้าอกของทหารจินอย่างโหดเหี้ยม ทั้งสองคนส่งเสียงกรีดร้องล้มลงพร้อมกัน
น่ากลัวเกินไปแล้ว
นายทหารของเมืองเหรินจี้แทบจะเป็นลม
พวกเขาเฝ้าอยู่ละแวกเมืองหลวงนี่ อย่างมากที่สุดก็สู้ศึกป้องกันเมืองกับชาวจินครั้งหนึ่ง กั้นด้วยกำแพงเมืองยิงธนูอะไรๆ ที่แท้ศึกปะทะซึ่งๆ หน้าเช่นนี้น่ากลัวเช่นนี้
“พวกเจ้า พวกเจ้าไม่ใช่มีรถยิงกระสุนหรือ? เร็ว เร็วระเบิดพวกเขาให้ตายสิ” เขาอดไม่ได้ตะโกนเอ่ย
ไม่มีคนตอบเรื่องนี้กับเขา แล้วก็ไม่มีรถยิงกระสุนปรากฏด้วย พลหอกยาวพลเกราะแถวแล้วแถวเล่าเบียดรุกเบียดถอย ทหารม้าสองด้านโอบล้อมพร้อมกับกลองศึก พวกเขาถูกม้วนอยู่ตรงกลาง แม้หวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่ยังรุกถอยเหวี่ยงดาบหอกตามขบวนแถวอย่างไม่รู้ตัว
ท่ามกลางขบวนแถวชั้นแล้วชั้นเล่านี่ ไม่ต้องให้พวกเขาชำนาญวิชายุทธ์มากเท่าใด ต้องการเพียงความกล้าหาญ แต่ไม่มีความกล้าหาญก็ไม่เป็นไร ขอเพียงถูกม้วนอยู่ข้างใน รุดหน้าตาม เหวี่ยงดาบแทงหอกตาม มองเมินความเป็นความตายตาม ตกตายร่วมกันตามก็ประหนึ่งรถยักษ์คันหนึ่งศิลายักษ์ก้อนหนึ่งกลิ้งบดขยี้ไปข้างหน้า
ไม่เช่นนั้นยังทำอย่างไรได้!
ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว!
ไม่เช่นนั้นยังทำอย่างไรได้!
ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว!
สังหาร สังหาร เสียงสังหารสะเทือนนภา!
…
…
ทิศตะวันออกค่อยๆ สว่าง สภาพอเนจอนาถของกำแพงเมืองที่ผ่านศึกใหญ่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ส่วนบนกำแพงมืองก็มีคนที่ประหนึ่งรูปปั้นโคลนแถวแล้วแถวเล่ายืนอยู่
ทหารและชาวบ้านที่เสื้อผ้าขาดวิ่นอยู่ปะปนกัน บาดแผลเต็มตัวคราบเลือดเป็นด่างดัว
พวกเขาคนทั้งหมดล้วนมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“ไม่มีเสียงระเบิดเลย” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงเบา
บางทีคนที่มาอาจไม่ใช่กองทหารชิงซานของแดนเหนือ ถ้าเช่นนั้นศึกปะทะกับชาวจินโอกาสชนะก็น้อยนัก
ต่อให้คนที่มาเป็นกองทหารชิงซานก็คงไม่มีรถยิงกระสุนติดตามแน่นอน ถ้าเช่นนั้นก็คือพวกเขาบรรทุกสัมภาระเบาควบเร็วรี่มา
ระหกระเหินทางไกล จำนวนคนจำกัด ศึกในที่โล่งศึกตอนกลางคืนต้องโหดร้ายอย่างยิ่งแน่นอน
คุณหนูจวินสีหน้าเศร้าสลดอยู่บ้าง ฉับพลันมือก็ถูกคนออกแรงกำไว้แน่น
นางก้มศีรษะมองเห็นจิ่วหรง
“ไม่ต้องกลัว” จิ่วหรงแหงนหน้ามองนาง “เจ้าดู พวกเรามองเห็นแสงตะวันอีกวันหนึ่งแล้ว”
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ใช่แล้ว” นางพยักหน้า “ได้มาอีกวันหนึ่งแล้ว ควรค่าเบิกบานใจ”
เพิ่งสิ้นเสียงคำของนางก็ได้ยินบนกำแพงมีคนตะโกนเสียงดังขึ้น
“มาแล้ว!”
เสียงร้องนี่ไม่ใช่ดีใจ แต่สั่นเทา
มาแล้ว ใครมาแล้ว?
คนบนกำแพงกลั้นลมหายใจเงียบเสียงมองไปทางด้านหน้า สีหน้ายังคงสั่นระริก
ทหารชาวจินโถมมาอีกหน หรือทหารกองหนุนร่วงลงมาจากฟ้า?
ท่ามกลางแสงอรุณกำลังพลแถวแล้วแถวเล่าปรากฏขึ้นในสายตา แสงสว่างพร่ามัวสายตาของผู้คน ทุกคนพยายามเบิ่งตาโต มองชุดเกราะที่ค่อยๆ กระจ่างชัด มองดูธงประหนึ่งเมฆ
เห็นชุดเกราะขาดวิ่นเปื้อนคราบเลือดเป็นด่างดวงนั่นชัดแล้ว
เห็นธงแหว่งวิ่นฉีกขาดสะบัดปลิวแล้ว
เห็นทหารบาดเจ็บทั่วตัวแล้ว เห็นรถและอาชาทรุดโทรมแล้ว
มองจนตาลายแล้ว มองจนหัวใจแหลกลาญแล้ว
เสียงตึกดังขึ้น มีคนคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้เสียงดัง
ปกป้องเมืองติดต่อกันยี่สิบกว่าวัน หัวเข่าที่ชาวจินโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ถูกตีแหลกคุกเข่าลง มีเพียงน้ำตาที่เพิ่งไหลร่วงลงมาเพราะเจ็บแผล
ดั่งเทข้าวลงในยุ้งฉาง คนนับไม่ถ้วนบนกำแพงล้มลงคุกเข่าดังตึกๆ เสียงร่ำไห้ดังขึ้นรอบด้าน
“รอจนมาถึงแล้ว”
หนิงเหยียนพึมพำ ถอนหายใจยาว
คุณหนูจวินตบหัวไหล่จิ่วหรง
“จิ่วหรง เจ้าดู นั่นก็คือกองทหารชิงซาน” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน ยื่นมือชี้กระบวนทัพที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้นอกเมือง “เจ้าเคยได้ยินไหม?”
จิ่วหรงส่ายศีรษะ
“แต่ข้าเห็นกับตาตนเองแล้ว” เขาเหยียดหลังตรง จัดอาภรณ์ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
…
…
“เจ้าวิ่งอะไร”
ฟางจิ่นซิ่วตะโกน ไล่ตามเฉินชี
“มีอะไรน่าดู!”
เฉินชีครึ่งศีรษะพันผ้าอยู่ รอยเลือดซึมออกมา ดูไปแล้วน่าอนาถและน่าขำ
เขาเบียดผ่านคนที่คุกเข่าร่ำไห้เสียงดังบนกำแพง มองไปนอกเมือง
“น่าดูจริงเชียว” เขาเอ่ยพึมพำ มองตัวอักษรคำว่ากองหทารชิงซานตัวใหญ่บนธงผืนใหญ่ ดวงตาข้างหนึ่งที่เผยออกมาทอประกายแวววาว แล้วหันศีรษะมองไปหาฟางจิ่นซิ่วอีกหน “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว”
ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว
“เจ้าเข้าใจอะไร?” นางเอ่ยถาม
“ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกนางไม่เอากองทหารชงซานมาเป็นคนคุ้มกันของตัวเอง” เฉินชีเอ่ย “คนคุ้มกันของคนผู้หนึ่งก็แค่คุ้มครองนางคนเดียว แต่ทหารพิทักษ์ของแคว้นหนึ่งปกป้องแคว้นแห่งหนึ่งได้”
หากตอนแรกกองทหารชิงซานอยู่ที่เมืองหลวงเป็นข้ารับใช้ในสังกัดของคุณหนูจวิน ตอนนี้เวลานี้ก็กลายเป็นได้แค่ส่วนหนึ่งที่สู้จนตัวตายบนกำแพง สำหรับคุณหนูจวิน สำหรับเมืองหลวง สำหรับชาวโจว สำหรับใต้หล้าอันกว้างใหญ่ เงียบเชียบไร้ชื่อเสียงประหนึ่งวัวโคลนจมลงทะเล
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่กี่คนกลายเป็นกองทัพนำทหารรวมผู้คน โจมตีชาวจินล่าถอย นี่ในฐานะความชอบใหญ่หลวงที่มีต่อแคว้น ที่มีต่อประชาชน ที่มีต่อใต้หล้า ชัดแจ้งเป็นที่ประจักษ์
“นอกจากนี้ นี่ก็ยังเป็นคนคุ้มกันของนาง” เฉินชีพึมพำ เดิมทีผู้คุ้มกันไม่กี่สิบคนกลายเป็นกองทัพเรือนหมื่น “สละน้อยได้มาก นี่ถึงเป็นกิจการใหญ่ การค้าครั้งใหญ่ ผลประโยชน์ก้อนใหญ่อย่างแท้จริง มิน่านางเปิดร้านได้ ส่วนข้าเป็นได้แค่ผู้ดูแล”