Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 63 ความคิดเห็นไม่เหมือนกัน
ขณะที่บนถนนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ การตัดสินใจของราชสำนักก็ส่งมาถึงฮ่องเต้แล้วเช่นกัน
“เจตนาของไทเฮาคือรอยามที่ชาวบ้านทั้งหลายโกรธแค้นด้วยคุณธรรมคับอก ฝ่าบาทค่อยออกมาตำหนิการกระทำของคุณหนูจวินว่าไม่เหมาะสมแล้วเพิ่มบทลงโทษตักเตือนนิดหน่อย” หยวนเป่ายิ้มตาหยีเอ่ย
เช่นนี้เหมาะสมยิ่ง
นี่ไม่ใช่พระองค์เจาะจงจัดการสตรีคนนี้ นี่เป็นนางล่วงเกินประชาชนให้โกรธ นางกล้าให้กองทหารชิงซานจากไป แล้วปล่อยชาวจินมาคุกคามทหารกับชาวบ้านในเมืองหลวงทั้งหมดไหม?
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ด้วยสีพระพักตร์พึงพอใจ
“เจ้าพูดถูกต้อง” พระองค์มองหนิงอวิ๋นเขาแล้วตรัสขึ้น “นางทำเช่นนี้คือกบฏ ผู้คนล้วนเข้าใจ ไม่มีค่าให้กลัวจริงๆ”
หนิงอวิ๋นเจาคำนับ
“เป็นฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ย “รับฟังคำพูดของกระหม่อม”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวล
“เจ้าก็เอ่ยได้ทันกาล” พระองค์ตรัส
ฮ่องเต้ยิ่งไว้วางพระทัยหนิงอวิ๋นเจาขึ้นทุกที ปลายหางตาของหยวนเป่าเห็นลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ด้านข้าง
ลู่อวิ๋นฉียิ่งเหมือนเสาต้นหนึ่งขึ้นทุกที ในห้องทุกคนล้วนไม่คิดถึงเขา
หนิงอวิ๋นเจาเป็นขุนนางพลเรือนคนหนึ่ง ส่งเสริมเขาไม่มีทางคุกคามตนเอง ตรงกันข้ามขุนนางฝ่ายพลเรือนปากเป็นดาบไม่อาจดูแคลนได้ ไม่แน่อาจร่วมมือกันกำจัดลู่อวิ๋นฉีได้
คิดถึงตรงนี้ หยวนเป่าก็ตัดสินใจแสดงความเป็นมิตร
“ใต้เท้าหนิงก็เอ่ยเช่นนี้ บอกว่าฝ่าบาทคือสายเลือดอันชอบธรรม การกระทำของคุณหนูจวินกบฏและบ้าบอ” เขาเอ่ย
หนิงเหยียนพูดเช่นนี้ได้ ฮ่องเต้กลับคิดไม่ถึงเช่นกัน
ขุนนางฝ่ายพลเรือนที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ก็เป็นเช่นนี้ ตรงไปตรงมาจนทำให้คนเกลียด แต่ก็เพราะความตรงไปตรงมานี้ ราชสำนักจึงไม่อาจขาดได้เช่นกัน
หากคำพูดนี้เปลี่ยนมาเป็นหวงเฉิงพูด ผลลัพธ์ย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน
พูดถึงหวงเฉิง ฮ่องเต้พลันขมวดคิ้ว
“ใต้เท้าหวงยังไม่มีข่าวคราวอีกหรือ?” พระองค์ตรัสพลางทอดพระเนตรไปหาลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉียังไม่ทันเอ่ยปาก หยวนเป่าก็ชิงก่อนอีกครั้ง
“ยังขอรับ” เขาเอ่ย “ครั้งสุดท้ายที่พบใต้เท้าหวงคือขึ้นเหนือไป คิดว่าน่าจะเพราะทหารจินเข้าเขตแดนจึงถูกกวาดหายไป”
ฮ่องเต้แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง
“ตัวไร้ประโยชน์คนนี้” พระองค์ตรัส
หวงเฉิงจะเป็นจะตายจะไปที่ไหนพระองค์ไม่สนพระทัยอย่างไร สิ่งที่พระองค์สนพระทัยคือการเจรจากับชาวจิน
ดูแล้วต้องหาใครคนอื่นสักคนไปเจรจากับชาวจินแล้ว
คนที่เหมาะสมที่สุดนี่ย่อมเป็น…
พระองค์มองไปทางหนิงอวิ๋นเจา
“กระหม่อมย่อมยินดีแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย ร่างกายเหยียดตรงขึ้นนิดหนึ่ง “แต่เวลานี้ไม่เหมาะ”
เวลานี้ไม่ใช่เป็นเวลาที่กำลังเหมาะหรือ?
รีบคลายวงล้อมทำให้สงบเร็วที่สุดสำคัญที่สุด
มีเพียงสงบเท่านั้นถึงกำจัดภัยคุกคามที่กองทหารชิงซานมีต่อพระองค์ได้
“ครั้งนี้ต้องตีชาวจินให้กลัว ตีจนยอมจำนน ให้ชาวจินเป็นฝ่ายขอมาก่อนถึงเหมาะสม” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย สีหน้าตรงไปตรงมา “ไม่เช่นนั้นยากจะปลอบประโลมชาวบ้านทั้งหลายที่เมืองหลวงได้”
ครั้งนี้ชาวบ้านทั้งหลายที่เมืองหลวงได้รับความตระหนกหวาดกลัว บาดเจ็บล้มตายมากมาย
ข้างนอกมีกำลังทหารชาวจินยึดครอง ด้านนั้นมีคุณหนูจวินอ้างความชอบ ตอนนี้กำลังเป็นเวลาที่จำต้องแย่งชิงหัวใจของประชาชน
“ฝ่าบาท ข่าวล่าสุดบอกว่าชิงเหอปั๋วที่แดนเหนือนำกำลังพลมาแล้ว” หยวนเป่ารีบเสริมประโยคหนึ่ง “นอกจากนี้แจ้งว่าทหารจินที่แดนเหนือล้วนถอยไปแล้วด้วย”
นี่เป็นข่าวดี
ฮ่องเต้ยินดียิ่ง
“ถ้าเช่นนั้นไม่ต้องเจรจาก่อน” พระองค์ตรัส “แก้วงล้อมที่เมืองหลวงก่อน”
รวมถึงเรื่องคุณหนูจวินอ้างความชอบกบฎก็ค่อยว่ากัน
หยวนเป่าเดินออกจากห้อง ยิ้มเป็นมิตรให้หนิงอวิ๋นเจาทีหนึ่ง
“ใต้เท้าน้อยหนิงเป็นผู้ที่จะเป็นธารน้ำใส เจรจาเรื่องเช่นนี้บ่าวคิดว่าไม่เหมาะจะไป” เขาเอ่ยเสียงเบา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจรจากับชาวจิน ภายหลังอย่างไรก็หลีกเลี่ยงถูกชาวบ้านทั้งหลายเสียดสีไม่ได้ ยามดีด่า ยามไม่ดียิ่งด่า ขุนนางผู้หนุ่มแน่นทั้งยังปณิธานแรงกล้าเช่นนี้อย่างหนิงอวิ๋นเจาย่อมต้องไม่ยินดีแปดเปื้อนเรื่องเช่นนี้แน่
เขาเป็นฝ่ายขวางงานนี้แทนหนิงอวิ๋นเจา แสดงเจตนาผูกมิตรของตนเองอย่างเต็มที่
หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มพยักหน้า
“กงกงต้องเป็นห่วงแล้ว” เขาเอ่ย
เพียงคำพูดประโยคนี้ แตะปุบก็หยุด หยวนเป่าก็ไม่ได้เอ่ยวาจาต่อยิ้มพลางพยักหน้า สายตาที่หางตาเห็นลู่อวิ๋นฉี
“ใต้เท้าลู่อา ความปลอดภัยที่สุสานหลวงนี่ท่านต้องทำให้ดีล่ะ” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกระแอมทีหนึ่ง “วันนี้ภัยภายนอกลดน้อยอยู่บ้าง แต่ภัยภายในยิ่งหนักนะ”
ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่งไม่เอ่ยวาจา
หยวนเป่าถูกสายตาของเขามองทีหนึ่งนี้ก็ตัวสั่นนิดๆ จากนั้นก็โมโหอีก
ยังเสแสร้งวางท่าทำอะไร ตอนนี้รวมถึงหลังจากนี้เขาลู่อวิ๋นฉีรวมถึงองครักษ์เสื้อแพรเบื้องหน้าฮ่องเต้ก็แค่คนเฝ้าบ้านเฝ้าประตูคนหนึ่ง ช้าเร็วย่อมต้องฟังคำสั่งของเขาหยวนเป่า
เขาแค่นเสียงทีหนึ่งหมุนกายเข้าไปแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีมายืนข้างกายหนิงอวิ๋นเจา
“นี่มีประโยชน์อันใด?” เขาเอ่ยถาม
คำถามประโยคนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย หนิงอวิ๋นเจามองไปหาเขา
“ชื่อเสียงเลวร้ายก็เป็นชื่อเสียง ขอเพียงเป็นชื่อเสียง อย่างไรก็มีประโยชน์” เขาเอ่ยแล้วยิ้มอีกหน “ใต้เท้าลู่น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ที่สุด”
นี่ลอบเสียดสีชื่อเสียงเลวร้ายฉาวโฉ่ของเขาลู่อวิ๋นฉี แต่ก็เพราะชื่อเสียงเลวร้ายนี่จึงทำให้เขาได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อย่างลึกซึ้งเช่นกันไหม?
ลู่อวิ๋นฉีมองเขาสีหน้าไม่ยินดีไม่โกรธ
ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ พลันมีขันทีรีบร้อนวิ่งเข้ามา สีหน้าลนลานอยู่บ้างนิดๆ
“หยวนกงกง… หยวนกงกง…” เขาตะโกนรีบร้อน
หยวนเป่าได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากด้านใน เห็นเขาพลันขมวดคิ้ว
“เรื่องอันใด? ไม่ใช่ให้เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงเฝ้าข้างในไว้หรือ” เขาเอ่ย
ขันทีคนนั้นคว้าหมับบนแขนเสื้อของหยวนเป่า
“กงกง ไม่ดีแล้ว เรื่องที่เมืองหลวงไม่ค่อยดีแล้ว” เขาสีหน้าซีดขาวเอ่ย
คิ้วของหยวนเป่าขมวดยิ่งแน่น
“ทำไม…” เขาจะถามก็พลันเห็นหนิงอวิ๋นเจากับลู่อวิ๋นฉีที่มองอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่ด้านนี้ เขากระแอมเบาๆ อีกหน โบกมือให้ขันที “เข้ามาคุยเถอะ”
ด้านนี้หยวนเป่ากับขันทีเพิ่งเดินเข้าไป ด้านนั้นก็มีองครักษ์เสื้อแพรเข้ามา กระซิบชิดหูลู่อวิ๋นฉีหลายประโยคเช่นกัน
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิทราบเรียบ
“เรื่องอะไร?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจาเพียงมองเขาทีหนึ่งก็เดินไปด้านนอก
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ไล่ตามปามอีก ยิ้มแล้ว
“เรื่องน่าสนุกแล้วกระมัง?” เขาเอ่ยกับตนเอง “ความคิดของประชาชนเรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่เมื่อไรก็ควบคุมได้เสมอจริงๆ”
……………………………………….
……………………………………….
“เจ้าว่าอะไรนะ? วันนี้คนในเมืองหลวงล้วนคุยกันเรื่องไหวอ๋อง?”
ฮ่องเต้ในตำหนักเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
หยวนเป่ายืนอยู่ด้านในพยักหน้าด้วยสีหน้าวิตก
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาเอ่ย “ทุกคนล้วนไม่พูดว่าคุณหนูจวินเหิมเกริมเป็นกบฏ ตรงกันข้ามล้วนพูดถึงไหวอ๋องขึ้นมา”
ฮ่องเต้สีหน้าเขียว
“พวกเขาพูดถึงไหวอ๋องว่าอย่างไร?” พระองค์ตรัสถามอย่างเย็นชา
……………………………………….
……………………………………….
“ให้ข้าพูด ไหวอ๋องเป็นรัชทายาทนี่ก็เหมาะสมสมควร”
ในโรงน้ำชาบุรุษผู้หนึ่งยกชามน้ำชาขึ้นพลางเอ่ย
ข้างกายมีคนที่ฟังเขาพูดไม่น้อยล้อมอยู่
วันนี้แม้เมืองหลวงยังคงเฝ้าระวัง แต่เพราะคนที่ไล่ตามโจมตีทหารจินอยู่นอกเมืองคือกองทหารชิงซาน ชาวบ้านทั้งหลายจึงวางใจอย่างประหลาด ชีวิตประจำวันในเมืองหลวงฟื้นกลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อย
ร้านรวงเปิดประตู ชาวบ้านทั้งหลายก็เก็บความระแวดระวังเริ่มดื่มชาดื่มสุราเช่นกัน
“ทำไมเหมาะสมสมควรเล่า?” มีคนตั้งคำถามเสียงดัง “ราชบัลลังก์นี่ก็คือพ่อส่งต่อให้ลูก มีพ่อส่งต่อให้หลานที่ไหน”
นี่ก็เป็นหลักที่ถูกต้อง คนรอบด้านพากันพยักหน้า
“โธ่ พวกเจ้าพูดผิดแล้ว” บุรุษที่ถือถ้วยชาเอ่ย “พวกเจ้าลืมแล้วรึตอนนั้นทำไมอดีตฮ่องเต้เลือกฝ่าบาท? เหตุผลก็คือพระราชนัดดาอายุน้อยเกินไป”
เด็กที่อายุน้อยเกินไปเป็นผู้ครองแคว้นทำให้ราชสำนักวุ่นวายได้ง่าย
“แต่ตอนนี้ไหวอ๋องเติบใหญ่แล้วนี่” บุรุษที่ถือชาเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ยังท่วงท่าสง่างามรู้ความกระจ่างเหตุผลทั้งยังกล้าหาญ ไม่แพ้อดีตองค์รัชทายาทครั้งกระโน้นสักนิด”
พูดถึงอดีตองค์รัชทายาทตอนนั้นขึ้นมาก็ชักนำให้คนไม่น้อยนึกย้อนไปอีก
อดีตองค์รัชทายาทแม้ร่างกายป่วยออดๆ แอดๆ แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนล้วนทำให้คนรู้สึกว่าเจิดจ้าประหนึ่งตะวันยามอรุณรุ่ง
“ก่อนหน้านี้ไหวอ๋องเป็นอย่างไร ทุกคนไม่รู้ ตอนนี้ไหวอ๋องเป็นอย่างไร ทุกคนล้วนเห็นอยู่กับตา นี่ไม่ใช่เอ่ยโม้หน้ามืดตามัว”
ใช่แล้ว คิดถึงนาทีวิกฤตนั่น เด็กน้อยคนนี้ปรากฏตัวที่ประตูเมือง
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าอยู่กับพวกเจ้า”
เสียงไร้เดียงสานั่นคำเดียวเอื้อนเอ่ยตกสู่พื้นแล้วหยั่งราก เงาร่างเล็กจ้อยนั่นนับจากนาทีนั้นยืนมั่นอยู่เหนือประตูเมืองจริงอย่างว่า ไม่เคยจากไปสักครึ่งก้าว
ข้าปกป้องเมืองเอง เมืองแตกข้าตายก่อน
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ คนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกหัวใจอ่อนยวบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทียบกับฮ่องเต้ที่เป็นแต่หนีไปสุสานหลวงเขียนหนังสือประกาศโทษตนเอง…
แทนที่จะเขียนหนังสือประกาศโทษตนเอง ยังไม่สู้ปกป้องเมืองด้วยกันกับทุกคนจะยิ่งจับต้องได้กว่า….
“ไหวอ๋องเดิมทีก็เป็นพระราชนัดดาสายตรง”
“อะไรเรียกพระราชนัดดาสายตรง? โอรสขององค์รัชทายาท เจ้าฟ้าชายทำนองนั้น”
“ไม่ถูก ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ไม่ได้แต่งตั้งไหวอ๋องเป็นว่าที่องค์รัชทายาท”
“นั่นก็ไม่แน่นา นั่นไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทจากไปกะทันหัน ยังไม่ทันทำหรือ”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้ไม่ถูก หลังองค์รัชทายาทสิ้นไป อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ได้พิจารณานะ ตั้งฉีอ๋องทันที นี่ก็คือปฏิเสธไหวอ๋องแล้ว”
“นั่นเพราะเหตุใดถึงปฏิเสธเล่า นั่นก็เพราะไหวอ๋องเล็กเกินไป ตอนนี้ไหวอ๋องเติบใหญ่แล้ว ในฐานะหน่อเนื้อเพียงหนึ่งที่เหลืออยู่ของอดีตองค์รัชทายาท ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทอีกก็ไม่ใช่ไม่ได้นี่”
ในเหลาสุราโรงน้ำชาโต้เถียงระงม เสียงยิ่งดังขึ้นทุกที สองฝ่ายต่างมีคนห้อมล้อม ทะเลาะกันไม่เลิก จนกระทั่งทหารกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
“ห้ามวิจารณ์เรื่องราชสำนักส่งเดช”
“แยกย้าย แยกย้ายให้หมด”
พร้อมกับเสียงด่าทอเสียงทุบตีในเหลาสุราโรงน้ำชายิ่งวุ่นวาย
……………………………………….
……………………………………….
“ทางการเริ่มเข้ามายุ่งแล้ว” เฉินชีกดเสียงเบาเอ่ย
“เข้ามายุ่งแล้วอย่างไร? ยิ่งเข้ามายุ่งชาวบ้านยิ่งอยากรู้ ยิ่งคุยเรื่องนี้” คุณหนูจวินเอ่ย “สิ่งที่ข้าต้องการก็คือสิ่งนี้ ข้าใช้การกระทำบ้าบอดึงให้ใต้หล้าฮือฮา แต่ในนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่การกระทำของข้าแต่เกี่ยวข้องไปถึงคนผู้นั้น คนผู้นั้นจะถูกพูดถึงไม่หยุด ประเด็นนี้จะถูกเปิด เมื่อมันถูกเปิดปุบก็จะเหมือนต้นหญ้า งอกตามสายลม แผ่ลามแน่นขนัด”
จนกระทั่งปูทั่วแผ่นดินผืนฟ้ากลายเป็นทุ่งหญ้า
เฉินชีเดินกลับไปมา มือกำเน่น
“ทางการเริ่มเข้ามายุ่งแล้ว หากราชสำนักใช้อำนาจอสนีบาตกดไว้เล่า?” เขาเอ่ย
อย่างไรนั่นก็เป็นราชสำนักนะ มีวิธีการสารพัดให้ใช้ได้
คุณหนูจวินมองไปหาเขา
“ไม่ใช่ยังมีข้าหรือ?”นางเอ่ย
เฉินชีมองนางแล้วบื้อใบ้ไร้วาจา
ใช่แล้ว ยังมีนางอยู่อีก นางทำเรื่องมากมายเช่นนี้ สั่งสมชื่อเสียงมากเช่นนี้ มีเงินแล้วยังมีทหาร นางมีความสามารถเพียงพอทำให้ชาวบ้านทั้งหลายพูดถกกันไม่หยุด นางจะให้ชื่อเสียงของไหวอ๋องยิ่งโด่งดัง จนกระทั่งเจิดจ้าจับตาบีบคั้นบังคับคน
จนกระทั่งบงการตำแหน่งรัชทายาท
หากก่อนหน้านี้ได้ยินคำนี้ เขาคงรู้สึกเพียงน่าขำ แต่ตอนนี้เฉินชีขำไม่ออก เพราะตลอดมาเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหล่านั้นนางทำได้เสมอจริงๆ
ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ ใครกล้าบอกว่านางจะทำไม่ได้เล่า?
เพราะนางคือจวินจิ่วหลิงไง