Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 74 ความเป็นความตายและอนิจจัง
เสียงร้องไห้ใต้เนินเขาคล้ายชั่วพริบตาก็หยุดลง มีเพียงเสียงปี่ที่ฉีกทึ้งท้องฟ้าใส
นี่ไม่ใช่เพราะลูกกตัญญูภรรยากตัญญูเหล่านี้ใช้เงินจ้างมา นี่เป็นเพราะโลงศพจะลงดิน
คนลงดินสงบแล้ว คนบนโลกอย่ารั้งพวกเขาไว้อีก พวกเขาก็อย่าได้อาลัยอาวรณ์โลกมนุษย์อีกต่อไป ชีวิตหนึ่งสิ้นสุดลงตรงนี้ รอคอยก้าวเข้าสู่ชาติต่อไป
“เจ้าจะไปเมื่อไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“รอวิญญาณข้ากลับไปเยี่ยมบ้านวันที่เจ็ดเสร็จ” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักเอ่ย
คุณหนูจวินถลึงตาใส่เขา
“อย่าพูดคำที่ทำให้ท่านยายกับท่านป้าได้ยินแล้วไม่เบิกบานใจ” นางเอ่ยแล้วยื่นมือลูบศีรษะของฟางเฉิงอวี่อีก
ฟางเฉิงอวี่ไม่ปฏิเสธ ขานรับอย่างว่าง่าย
“จิ่วหลิง ไม่รั้งเจ้าแล้ว เจ้ารีบกลับเมืองหลวงเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น
“เรื่องเมืองหลวงก็ไม่ใช่ชั่วครู่ชั่วยามจะคลี่คลายได้” คุณหนูจวินเอ่ย “นอกจากนี้ก็มีใต้เท้าน้อยหนิงอยู่”
ฟางเฉิงอวี่ขานอ้อทีหนึ่งก็เบ้ปาก เขาก้มหน้าบีบนิ้วมือ
“พี่ชายหนิงร้ายกาจจริง” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะ
“เฉิงอวี่ก็ร้ายกาจเหมือนกัน” นางปลอบ “พวกเจ้าล้วนร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่งกว่าข้า ได้รู้จักพวกเจ้า ข้าโชคดีจริงๆ”
นางบอกอย่างจริงจังและจริงใจ
ฟางเฉิงอวี่เงยศีรษะขึ้นมองนางจากนั้นก็ยิ้ม
“มีคนเคยบอกว่าแรงส่งผลถึงกัน” เขาเอ่ย
นี่คือสิ่งที่นางบอกกับเขา และคำนี้ก็เป็นคำที่อาจารย์บอกกับนาง
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม
“ดังนั้น?” นางเอ่ยถาม
“เจ้าคิดว่ารู้จักพวกเราคือโชคดี ถ้าเช่นนั้นพวกเราไยไม่ใช่รู้จักเจ้าถึงโชคดี?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “เจ้าคิดว่าพวกเราร้ายกาจ บางทีอาจเพราะรู้จักเจ้า พวกเราถึงกลายเป็นร้ายกาจ”
นี่ตรระกะเพี้ยนไหม? คุณหนูจวินยิ้มแต่ไม่พูด
“จะเป็นตรรกะเพี้ยนได้อย่างไร!” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยพลางยื่นมือชี้ตนเอง “หากไม่ใช่เจ้าร้ายกาจรักษาโรคของข้าหายดี ข้าจะมีโอกาสกลายมาร้ายกาจเช่นนี้หรือ?”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า จากนั้นก็หุบยิ้ม
“เจ้าพูดถูกต้อง” นางพยักหน้าเอ่ยอย่างตั้งใจอีกครั้ง
ฟางเฉิงอวี่ก็ยิ้มพลางมองคุณหนูจวินด้วย
“ยังไม่ต้องเทียบว่าใครร้ายกาจ” เขาเอ่ย “ข้าก็รู้สึกว่าข้าโชคดีกว่าอยู่บ้าง”
คุณหนูจวินขานอ้อแล้วมองเขา
“ข้าไม่ตาย กลับได้ชีวิตใหม่” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น “แต่บางคนตายไปแล้วกลับยังไม่ได้ชีวิตใหม่”
คุณหนูจวินมองเขา ไม่พูดไม่จา
บางคน หมายถึงฉู่จิ่วหลิงสินะ
ฉู่จิ่วหลิงตายไปแล้ว ใช้ชื่อใหม่ตัวตนใหม่มีชีวิตอยู่แล้ว ทว่านางก็ยังคงเป็นฉู่จิ่วหลิง แบกความแค้นของฉู่จิ่วหลิง แบกความรับผิดชอบไม่หมดไม่สิ้นของฉู๋จิ่วหลิง ใช้ชีวิตของฉู่จิ่วหลิง
“ข้าหวังว่าไม่ว่าจะเป็นคนอย่างไร ล้วนใช้ชีวิตแบบใหม่ได้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยอย่างตั้งใจ
คุณหนูจวินมองเขาแล้วพยักหน้า
“ได้แน่นอน” นางยิ้มนิดหน่อยจากนั้นพยักหน้าอย่างตั้งใจอีก “จำเป็นต้อง”
นางไม่ได้ถามเขาว่าทำไมเอ่ยเช่นนี้ ยิ่งไม่ถามว่าฟางเฉิงอวี่มองตัวตนของนางออกหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพูด
……………………………………….
……………………………………….
สายลมต้นฤดูร้อนพัดฝุ่นดินขึ้นมา จากนั้นกลับคืนความเงียบสงบ
บนถนนไม่มีคนไปมา ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางไม่มีเพิงน้ำชาแล้วก็ไม่มีคนพักหลบร่มเงา
ฟ้าดินเงียบสงบไปหมด จนกระทั่งผู้คุ้มกันสองสามคนขี่ม้าคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งแล่นมา ฝุ่นดินฟุ้งปลิวกระจาย
“นายท่าน ด้านหน้ามีหมู่บ้านแห่งหนึ่งขอรับ” ข้ารับใช้คนหนึ่งบนม้าเอ่ยเสียงดัง
ในรถม้าเสียงไอหยุดลงชั่วคราว
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปขอน้ำสักชามดื่มเถอะ” ในรถมีเสียงแก่ชราเอ่ยขึ้น
หมู่บ้านแห่งนี้เดิมทีควรจะรุ่งเรืองยิ่ง จากท้องนาชอุ่มที่อยู่ทั่วรอบทิศมองออกได้ เวลานี้พืชในท้องนางอกเต็ม แต่กลับเอียงซ้ายเอนขวา งอกสะเปะสะปะเหมือนไร้คนดูแล
ทอดสายตามองไปในท้องนาไม่มีคนทำงาน หมู่บ้านด้านหน้าก็เงียบสงบประหนึ่งสถานที่ร้างไร้คน
ทว่ารถม้าของพวกเขาเพิ่งเดินทางเข้ามาในถนนสายน้อยที่มุ่งไปยังหมู่บ้าน ฉับพลันก็มีคนสองคนกระโดดออกมาจากทุ่งนา ในมือกำจอบ
“ทำอะไร?” พวกเขาตะคอก
ขบวนด้านนี้ตกใจสะดุ้งโหยง รอเห็นเครื่องแต่งกายของชาวบ้านสองคนนี้ชัดถึงโล่งอก
“พวกเราผ่านทางมา ขอน้ำดื่มสักถ้วย” พวกเขารีบเอ่ย
ชาวบ้านสองคนนั้นพินิจมองพวกเขา ไม่ได้วางจอบในมือลงแล้วก็ไม่มีเจตนาจะปล่อยพวกเขาไป
“พวกเจ้าไม่ได้สำเนียงท้องถิ่นที่นี่ของเรา” ชาวหมู่บ้านคนหนึ่งเอ่ยอย่างระแวง
“สหายร่วมบ้านเกิด พวกเราเป็นคนหลูโจว” ข้ารับใช้รีบเอ่ย “นี่ไม่ใช่เจอภัยจากโจรจินหนีออกมาหรือ”
หลูโจวอยู่ใกล้เมืองหลวง ชาวบ้านเก็บความระแวง
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ดวงแข็งเอาการ หนีมาถึงซานตงที่นี่ของพวกเราแล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“หนีเปะปะๆ ก็ไม่รู้ว่าหนีไปที่ไหน ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นโจรจิน” ข้ารับใช้ถอนหายใจเอ่ย บนหน้าปรากฏความหวาดผวา เห็นได้ว่าตลอดทางมาตระหนกหวาดกลัว “พวกเรามาถึงที่นี่ไม่ง่ายจริงๆ”
คนที่พามาไม่หนีกระจัดกระจายไปก็ถูกชาวจินทำร้ายตายไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงพวกเขาคนเหล่านี้
“แต่หมู่บ้านของพวกเราไม่ให้คนนอกเข้า” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งขัดการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของพวกเขา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระโชกโฮกฮาก
รถม้าเลิกเปิด ผู้เฒ่าคนหนึ่งมือหนึ่งปิดปากจมูกไว้ มือหนึ่งยื่นถุงเงินถุงหนึ่งออกมา
“สหายร่วมบ้านเกิด มอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเจ้า ช่วยหน่อยเถอะ แค่ดื่มน้ำร้อนสะอาดสักถ้วย พักเท้านิดหนึ่งก็ไปแล้ว” เขาเอ่ย พลางไอติดๆ กัน
ชาวบ้านสองคนมองมา ผู้เฒ่าคนนั้นคล้ายกลัวถูกคนเห็นหันหน้าหนีไปอีกด้าน เสียงไอยิ่งรุนแรง
อาจจะป่วยแล้วกระมัง?
“เวลานี้ ใครยังสนเงินเล่า…” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้ เจ้ารออยู่ที่นี่” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งอดไม่ได้มองสภาพผู้เฒ่าที่ไอแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไปเอาน้ำในหมู่บ้านมาให้”
พูดพลางก็โบกมือ
“ไม่ต้องการเงินของเจ้า เงินหามีค่าเท่าชีวิตไม่”
เขาพูดพลางหมุนตัววิ่งไปในหมู่บ้าน
ผู้เฒ่าก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป เก็บถุงเงินกลับไปทันที
“นายท่าน พักครั้งนี้ พวกเราก็ไปถึงบ้านได้แล้วขอรับ“ ข้ารับใช้เอ่ยเสียงเบา แทนที่จะบอกว่าปลอบผู้เฒ่าคนนี้ ไม่สู้บอกว่าปลอบตัวเขาเอง
ตลอดทางนี่ยากทานทนเกินไปแล้ว เกินกว่าจินตนาการของเขา
คิดไม่ถึงว่าชาวจินจะโหดร้ายปานนั้น คิดไม่ถึงว่ากำลังพลของชาวจินจะประหนึ่งตั๊กแตนมีอยู่ทั่ว คิดไม่ถึงว่ากำลังพลที่พวกเขาคิดว่ามากมายอยู่เมื่อต่อหน้าเสือดาวหมาป่ากระหายเลือดเหล่านี้กลับอ่อนแอไม่ทานทนสักการโจมตี
น่ากลัวจริงๆ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคืออยู่ต่อหน้าชาวจินเช่นนี้หลายปีปานนี้เฉิงกั๋วกงกลับไม่ตาย
“ถึงบ้านก็เรียบร้อยแล้ว รอชีวิตสงบสุข พวกเราค่อยกลับไปเมืองหลวง”
ข้างหูเสียงของผู้เฒ่าดังขึ้น
แต่ เมืองหลวงยังกลับไปได้หรือ? ข้ารับใช้สีหน้าวิตก อย่างไรพวกเขาก็หลอกฝ่าบาทหนีมา…
“ขอเพียงฝ่าบาทยังอยู่ก็กลับไปได้” ผู้เฒ่าปิดปากจมูกเอ่ย แม้ใบหน้าซูบเซียว แต่แววตามั่นใจ
พวกเขาสนทนากันเสียงเบา ชาวบ้านด้านข้างอดระแวงไม่ได้ เงี่ยหูฟังได้ยินคำว่าฝ่าบาทสองคำ
“เมืองหลวงมีฝ่าบาทอยู่ ต้องตีพ่ายโจรจินได้แน่” ชาวบ้านเอ่ยเสียงดัง
สิ้นเสียงพลันได้ยินเสียงร้องแหลมดังขึ้นในหมู่บ้าน ตามติดมาด้วยเสียงกีบเท้าม้ารีบร้อนดังขึ้น
“โจรจินมาแล้ว โจรจินมาแล้ว”
เสียงนี่ทำให้ขบวนข้างทางนี่ตระหนกยิ่ง
“ที่นี่มีโจรจินด้วยได้อย่างไร?” ข้ารับใช้เสียงหลงตะโกน
ในสายตาปรากฏทหารจินสิบกว่าคนควบอาชาเร็วรี่แล้ว พวกเขามาจากในหมู่บ้าน หลังร่างฝุ่นดินตลบ คนตะโกนม้ากรีดร้อง
“รีบหนี” ข้ารับใช้ทั้งหลายคุ้มกันรถม้าหันหลังกลับทันที
แต่ชาวบ้านด้านนั้นกระโดดผลุงเข้าไปในท้องนาวิ่งลึกไปในดงต้นพืชหนาทึบ
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัวเป็นทหารจินที่ถูกไล่ล่าหนีมา รีบหลีกทาง หนีไปสองข้างก็ไม่เป็นไรแล้ว…” เขาไม่ลืมหันหลังไปตะโกนบอก
แต่ข้ารับใช้ไม่กี่คนนั้นไม่สนใจคำพูดของเขาสักนิด คุ้มกันรถม้ารีบร้อนวิ่งรี่บนถนนใหญ่
รถม้าของพวกเขาไหนเลยจะหนีพ้นทหารจิน ถูกไล่ตามทันอย่างรวดเร็วยิ่ง
ข้ารับใช้หลายคนประหนึ่งถูกน้ำหลากกลืนหาย พริบตาล้มคว่ำลงบนพื้น รถม้าก็ไม่โชคดีหนีพ้น พลิกหงายบนพื้นเช่นกัน
ฟ้าดินพลิกกลับทำให้ผู้เฒ่ามึนงง เห็นเหนือศีรษะคล้ายฟ้าถูกบดบังอยู่ เขาพลันยื่นมืออกไปโดยสัญชาติญาณ
“ข้าคือหวงเฉิง ข้ารู้จักใต้เท้าอวี่ของพวกเจ้า…” เขาตะโกน
คำที่เขาพูดเป็นภาษาหู แต่ก็ยังสายไปก้าวหนึ่ง ดาบโค้งยาวร่วงลงมาแล้ว ทั้งร่างของเขาถูกงัดลอยขึ้นมา ลอยเป็นเส้นโค้งเส้นหนึ่งร่วงลงข้างทาง ข้ารับใช้ทั้งหลายของเขาก็เป็นเช่นนี้ดุจเดียวกัน สองสามทีก็ถูกแทงงัดลอยสะบัดออก
“ข้าเหมือนได้ยินคนผู้นี้พูดภาษาของเรา…” ทหารจินคนหนึ่งเอ่ย มองผู้เฒ่าที่ถูกโยนทิ้งด้านข้าง สีหน้าลังเลอยู่บ้าง
“ไม่ต้องสนแล้ว รีบหนีเอาชีวิตรอดสำคัญ” ทหารจินอีกคนหนึ่งตะโกน เร่งอาชาควบเร็วรี่ไปด้านข้าง
ทหารจินคนนั้นไม่ลังเลอีกต่อไป เมื่อหันหน้ากลับไปมองทีหนึ่ง ความโหดเหี้ยมยามใช้ดาบโค้งฟันคนตาไม่กะพริบก่อนหน้านี้พลันถดถอยไป ใบหน้าถูกความกลัวชั้นหนึ่งเข้าปกคลุม
กำลังพลกลุ่มหนึ่งวิ่งไปด้านหน้าพร้อมความตื่นตระหนก
ชั่วครู่หนึ่งให้หลัง ท่ามกลางฝุ่นดินฟุ้งตลบและเสียงคนตะโกนเสียงอาชากรีดร้อง กำลังพลสวมชุดเกราะเต็มยศอีกกองหนึ่งก็มาถึง ทว่าเมื่อเห็นกำลังพลเหล่านี้ ชาวบ้านที่หลบอยู่ในท้องนาไม่ได้หนีต่อแต่วิ่งกลับมาอย่างดีอกดีใจ
“สหายร่วมบ้านเกิด เจ้าได้รับความตระหนกแล้ว” แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าตะโกนเอ่ย
“พวกเราน่ะยังปลอดภัย” ชาวบ้านคนนั้นตะโกน สีหน้าเศร้าสลดชี้ไปข้างทาง “แต่คนผ่านทางไม่กี่คนนี้…”
ทหารโจวมองไปตามที่เขาชี้ เห็นคนสี่ห้าคนที่นอนอยู่ข้างทาง คนหนึ่งยังชักกระตุกอยู่ คนที่เหลือแน่นิ่ง ใต้ร่างล้วนเป็นคราบเลือดเจิ่งนอง
“บอกว่าหนีภัยมา” ชาวบ้านส่ายศีรษะอย่างเศร้าสลด “คิดไม่ถึง…”
“เห็นไหม” แม่ทัพสีหน้าเคร่งขรึมใส่นายทหารด้านหลังร่าง “ว่าพวกเราทำไมต้องยืนหยัดไล่โจตีทหารจินเหล่านี้ ไม่เลิกรา ก็เพื่อไม่ให้พวกเขาทำร้ายประชาชน หากไม่กวาดล้างพวกที่เหลือเหล่านี้ ไม่รู้จะมีประชาชนเท่าไรต้องเคราะห์ร้าย”
นายทหารทั้งหลายขานรับเสียงพร้อมเพรียง
แม่ทัพพลิกกายลงจากม้าตรวจดูคนที่ตาย ฉับพลันด้านหน้าก็เอะอะพักหนึ่ง ทุกคนเงยสายตามองไป เห็นเพียงขอบฟ้ามีธงประหนึ่งเมฆ
“ใต้เท้า ท่านดู ทหารกองหนุนของแดนเหนือมาถึงแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งตะโกนอย่างตกตะลึงระคนยินดี
“ใต้เท้า เป็นกำลังพลของเฉิงกั๋วกง” อีกคนหนึ่งเห็นธงที่แห่แห่นมาก็ตะโกนขึ้น
ได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงสามคำ ไม่ต้องพูดถึงทหารทั้งหลายตื่นเต้น ทั้งหมู่บ้านก็เดือดพล่านขึ้น ในหมู่บ้านที่เดิมทีว่างเปล่าไม่มีคนพริบตาบุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยนับไม่ถ้วนแห่ออกมา
“เฉิงกั๋วกงมาแล้ว!”
“พวกเราไม่ต้องกลัวแล้ว!”
“รีบไปต้อนรับเฉิงกั๋วกง!”
ทหารทั้งหลายมองชาวบ้านที่ลิงโลด แล้วก็ไม่รั้งอยู่อีก
“คลุมศพนี่ไว้ก่อน” แม่ทัพขึ้นม้า ไม่ลืมเอ่ยบอก มองคนตายที่เห็นหน้าไม่ชัดซึ่งนอนคว่ำอยู่บนพื้นทีหนึ่ง “อายุปานนี้แล้ว พวกเจ้าถึงเวลาก็ฝังดีๆ สักหน่อยเถอะ”
ชาวบ้านย่อมไม่เห็นต่าง มีคนดึงม่านมาคลุมคนไม่กี่คนนี้ทันที ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จถึงเข้าไปต้อนรับทิศทางที่เฉิงกั๋วกงมา
เสียงเอะอะไกลออกไป ข้างถนนศพไม่กี่ร่างนอนทอดกายดูไปแล้วอ้างว้างอย่างยิ่ง
มีชาวบ้านเดินเชื่องช้าผ่านด้านข้างไปแล้วอดไม่ได้ถอนหายใจ
“บาปกรรมหนอ” เขาเอ่ย พร้อมท่าทางชิงชัง “นี่ล้วนเป็นบาปกรรมของโจรจิน”
……………………………………….
……………………………………….
ประชาชนและขุนนางตามทางที่ได้ยินชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงล้วนยินดีอย่างยิ่ง แต่ประชาชนของเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางในราชสำนักนอกจากความยินดีแล้วยังมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้างด้วย
อย่างไรเฉิงกั๋วกงจากไปอย่างไรทุกคนยังไม่ลืม
ก่อกบฏโจรกบฏหลบหนี
นี่ย่อมไม่ใช่โทษเบา จำเป็นต้องมีคำอธิบายสักประการ
มีขุนนางเสนอคำอธิบายเช่นสร้างความชอบชดใช้ความผิดเช่นนี้ออกมา แต่ถูกเฉิงกั๋วกงปฏิเสธ
“ข้าไม่ได้สร้างความชอบชดใช้ความผิด”
ไม่พบหน้าเนิ่นนาน แต่เฉิงกั๋วกงยังคงท่วงท่าสง่างามหยุดยืนหน้าท้องพระโรงช้าๆ สายตามองไปยังบรรดาขุนนางตรงหน้า
“นี่เป็นแผนการลึกล้ำความคิดกว้างไกลของฝ่าบาท”
อะไรนะ?
นี่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทอย่างไรอีก?
นี่กลายเป็นแผนการลึกล้ำความคิดกว้างไกลได้อย่างไร?
แผนการลึกล้ำอันใด? ความคิดกว้างไกลอันใด?
ขุนนางทั้งหลายขมวดคิ้วมองไปหาเฉิงกั๋วกง
เรื่องที่เกิดขึ้นพักนี้ฟังแล้วยิ่งแปลกประหลาดพิกลน่าเหลือเชื่อขึ้นทุกที ทุกคนล้วนตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง
……………………………………….