Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 79 ภายหลังของภายหลัง (จบ)
ค่ำคืนฤดูหนาว ทั้งแผ่นดินปกคลุมด้วยแสงสีขาวชั้นหนึ่ง
นี่คือหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อไม่กี่วันก่อน
ผืนดินขาวโพลนขับเน้นดวงดาวดารดาษกลางท้องนภาราตรีให้ยิ่งสุกสกาวกระจ่างชัด
คล้ายยื่นมือทีหนึ่งก็คว้าดวงหนึ่งมาได้
มือข้างหนึ่งชูขึ้นสูง คว้ากำอากาศ
ทว่ารั้งมือกลับมาไว้ตรงหน้าคลายออก หาได้มีดวงดาราระยับระยับ มีเพียงหมอกสีขาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลอยล่อง
นี่คือไอร้อนที่หายใจออกมาจากปากและจมูก พบความเย็นจึงกลายเป็นหมอกสีขาว หมอกสีขาวลอยขึ้น ชั่วครู่ก็จับตัวแข็งบนขนคิ้วและหนวด ดุจภูเขาแสงดาวสว่างวิบวับ
“ดวงดาวเต็มฟ้านี้สวยจริงๆ หนอ”
เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น มือยื่นออกไปหนุนหลังศีรษะ หิมะที่ทับถมอยู่ใต้ร่างส่งเสียงดังแสกสาก
ใต้แสงดาวคนผู้นี้สวมเสื้อขนสัตว์สีขาว คนทั้งร่างนอนอยู่กลางผืนหิมะกลืนเป็นร่างเดียวกับผืนแผ่นดิน หากไม่ใช่ดวงตาที่สุกสกาวประหนึ่งดวงดาราคู่นั้น ชั่วขณะก็คงไม่สังเกตเห็น
“ใช่แล้ว”
ข้างกายเขาเสียงพูดดังขึ้น ผืนหิมะนูนๆ ยุบๆ ปรากฏเงาร่างเจ็ดแปดคน
“ยากนักจะเห็นดวงดาราเต็มฟ้าเช่นนี้”
“ที่แท้ดวงดาวสวยปานนี้”
“ยามนี้สมควรครวญบทกวีสักบท”
“เจ้าครวญสิ”
“หากมีสุราก็ดี”
“แล้วก็เนื้อย่างอีกสักชิ้น”
เสียงพูดคุยหัวเราะวุ่นวายดังขึ้น ทำให้ค่ำคืนหนาวเหน็บเย็นยะเยือกนี่มีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง เหมือนเช่นเหยียบใบไม้ผลิชมหิมะ อาศัยค่ำคืนหน้าหนาวชมดวงดาวไยไม่ใช่เรื่องสง่างามเรื่องหนึ่งเช่นกัน
ฉับพลันมือข้างนั้นเมื่อครู่ก็ยกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการเคลื่อนไหวนี้ เสียงพูดคุยฉับพลันหยุดลง ฟ้าดินพริบตาจมสู่ความเงียบกริบ
ท่ามกลางความเงียบกริบนี้ฉับพลันเสียงตึกๆ พักหนึ่งดังขึ้นอีก คล้ายกับปรากฏขึ้นจากกลางอากาศ พริบตาเข้ามาใกล้
กีบเท้าม้าตะกุยหิมะที่ทับถมขึ้น แล้วเผยให้เห็นหนังสัตว์ที่หุ้มมันอยู่
เป็นหนังสัตว์นี่เองที่ลดเสียงกีบเท้าม้า จนกระทั่งเข้ามาใกล้ถึงรู้สึกตัว
นี่เป็นกำลังพลสิบกว่าคนขบวนหนึ่ง ใต้แสงดาวชุดเกราะหมวกเกราะ ดาบทวนกระบี่หอกคันศรสะพายหลังทอประกายเย็นเยียบ แม้ในค่ำคืนที่หิมะตก ความเร็วของม้าก็ไม่ลดทอนลงสักนิด ฉับพลันม้าตรงกลางก็กรีดเสียงร้องทีหนึ่ง ดาบยาวเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นฟันกีบเท้าม้าขาด
ม้ากรีดเสียงร้องล้มลง คนบนนั้นพลันกลิ้งร่วงลงมา ไม่รอคนผู้นั้นได้ทันลุกขึ้น ดาบยาวเล่มหนึ่งก็ฟันศีรษะกับร่างเขาแยกไปคนละที่
เลือดพุ่งทะลักออกมา ชั่วพริบตาย้อมผืนหิมะจนแดงฉาน
ทั้งขบวนกลายเป็นสับสนอลหม่าน เพราะบนพื้นหิมะมีคนกระโดดลุกขึ้นมาตามติดๆ กัน ดาบยาวขวานสั้นฟันเข้าใส่ทหารม้าเหล่านี้
เสียงร้องตะโกนภาษาหู เสียงคำรามเจ็บปวด เสียงอาชากรีดร้อง แผ่นดินที่เดิมทีเงียบเหงากลายเป็นครึกครื้น แต่ความครึกครื้นนี่กลับมาพร้อมเลือดเนื้อปลิวว่อน
หอกยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุทหารม้าคนหนึ่ง ดึงคนทั้งร่างลงมาจากบนม้า หอกยาวสะบัดทหารม้าทิ้งไปพร้อมกัน บุรุษที่โจมตีชั่วพริบตาฉวยดาบใบกว้างเล่มหนึ่งที่ร่วงอยู่ด้านข้างขึ้นมา เสียงชิ้งทีหนึ่งหมุนโค้งปะทะกับดาบโค้งที่จู่โจมมาด้านหลังร่าง
แต่ท้ายที่สุดกลับเพราะใต้เท้าลื่นนิดหนึ่งจึงถูกขวานบินที่เหวี่ยงออกมาของทหารม้าคนหนึ่งอีกด้านฟันเข้าตรงคอ เขาตะโกนเสียงดังทีหนึ่งโถมลงบนพื้นแน่นิ่ง เลือดย้อมพื้นกับเสื้อสีขาวของเขาแดงฉาน กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นดินอีกหน
การต่อสู้โหดร้ายและสั้นกระชับ ทุกสิ่งคล้ายเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แล้วก็จบสิ้นลงท่ามกลางความน่าเวทนาในชั่วพริบตาด้วย ม้าบ้างถูกฆ่าบ้างหนีกระเจิงไป ดาบยาวเล่มหนึ่งแทงลงบนหน้าอกของผู้บาดเจ็บอย่างไม่ลังเลสักนิด เสียงครวญครางพริบตาหายไป ฟ้าดินฟื้นกลับมาสงบเงียบอีกหน
แสงดาวยังคงเดิม เพียงแต่บนพื้นไม่ขาวโพลนเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเลือดและศพ
มีของทหารจินแล้วก็มีบุรุษที่สวมเสื้อสีขาวด้วย
บุรุษหนวดเฟิ้มนั่งยองตรงหน้าร่างบุรุษชุดขาวคนหนึ่ง ยื่นมือลูบสองตาที่ยังลืมอยู่ของเขา
“พี่ใหญ่”
เสียงเอ่ยเตือนดังขึ้นหลังร่าง
บุรุษหนวดเฟิ้มหันศีรษะกลับมา
“ตอนนนี้ข้ายิ่งอารมณ์อ่อนไหวขึ้นทุกทีแล้วใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
บุรุษทั้งหลายหลังร่างไม่มีใครสนใจเขา บ้างกระชากอาวุธ เสื้อผ้ากับแส้ออกมาจากบนศพของทหารจิน บ้างหมอบอยู่บนร่างของอาชาที่ตายไปดื่มเลือดคำโตๆ
“พี่ใหญ่ รีบดื่มเถอะ ดื่มสองสามคำแล้วไป” มีคนเอ่ยงึมงำขึ้น
บุรุษหยวดเฟิ้มส่ายศีรษะ
“ความหมายของชีวิตคนไม่ใช่แค่กินดื่มนะ” เขาเอ่ยพลางใช้ดาบในมือสะบัดทีหนึ่ง ตัดเนื้อม้าชิ้นหนึ่งออกมา ยัดเข้าไปในเสื้อทั้งที่เลือดชุ่มโชก “ยังมีบทกวีและแดนไกลด้วย”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็เอียงศีรษะคิดนิดหนึ่ง
“นางน่าจะพูดเช่นนี้กระมัง เวลานานเกินไปแล้ว ข้าจะลืมหมดสิ้นแล้ว”
บุรุษทั้งหลายที่เหลือลุกขึ้นยืน เช็ดคราบเลือดที่มุมปากส่งๆ
“พี่ใหญ่ ท่านอารมณ์อ่อนไหวขึ้นหรือไม่ยังไม่ต้องพูดถึง แต่ท่านพูดมากกว่าก่อนหน้านี้แล้ว” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย
“เจ้าจะบอกว่าข้าขี้บ่นหรือ?” บุรุษหนวดเฟิ้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ข้านี่จะเป็นการบ่นได้อย่างไร พวกเรายิ่งมายิ่งขึ้นเหนือ กระทั่งเส้นขนคนสักเส้นก็ไม่เจอ ลำบากนักกว่าจะเจอเข้า ยังพูดแต่ภาษาหู ข้าก็กลัวเวลานานเข้าข้าคงพูดภาษาเราไม่ได้แล้ว”
บุรุษทั้งหลายล้วนหัวเราะขึ้นมา
“พี่ใหญ่ท่านแผนการลึกล้ำความคิดกว้างไกลจริงๆ” พวกเขาเอ่ย
บุรุษหนวดเฟิ้มในดวงตาปรากฏรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“นั่นแน่นอน” เขาตอบ พูดจบก็โบกมือทีหนึ่ง “คืนนี้เจอฟืนดีกองหนึ่งกินข้าวอิ้มมื้อหนึ่งแล้ว พวกเราไป”
ผู้คนไม่รั้งรอ ใต้แสงดาวท่ามกลางผืนหิมะวิ่งเร็วรี่ไปทางเหนือ เงาร่างค่อยๆ กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดินหายไปไม่เห็น
เมื่อแสงตะวันส่องสว่างแผ่นดิน ด้านนี้ก็เอะอะใหม่อีกหนเพราะกำลังพลมากกว่าเดิมควบอาชามา
พวกเขาหมวกเกราะดำขลับ พู่สีแดงสด บนร่างเป็นชุดเกราะสีปรอทคล้ายหิมะ แต่ละคนๆ หน้าตาเต็มไปปด้วยความยโสโหดร้าย ทหารม้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองหลวงนั่นเอง
เห็นศพคนตายที่ร่วงกระจ่ายจับตัวแข็งอยู่ด้วยกันกับหิมะเหล่านี้ พวกเขาพลันคำรามโกรธเกรี้ยว
“คนตัดฟืนพวกนี้อีกแล้ว”
“ปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จอีกได้อย่างไร!”
“ทหารกล้าของพวกเราไร้ประโยชน์เช่นนี้เชียวหรือ?”
“ใต้เท้า พวกเขาเหลือไม่เท่าไรแล้ว ดินแดนหิมะขุนเขาปิดตาย พวกเขากระทั่งคบไฟก็ไม่มีแล้ว ตายแน่ไม่ต้องสงสัย”
“ตายเช่นนั้นยกประโยชน์ให้พวกเขาเกินไปแล้ว พวกเขาต้องตายในมือของพวกเรา ถลกหนังหักกระดูก ล้างแค้นให้ฮ่องเต้”
“ทหารกล้าทั้งหลาย สังหารคนตัดฟืนคนหนึ่ง พระราชทานตำแหน่งเพิ่มยศ”
พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ ทหารจินทั้งหลายคำรามมุ่งไปด้านหน้า บนแผ่นดินหิมะปลิวกระจายว่อน
……………………………………….
……………………………………….
คล้ายทุกสิ่งในโลกล้วนถูกหิมะปกคลุม กระทั่งหินภูเขาต้นไม้ในป่าก็ไม่เว้น ทั้งโลกล้วนเย็นยะเยือกเฉกเช่นเดียวกัน
แต่ดอกบัวสีขาวโพลนดอกหนึ่งดันแย้มบานท่ามกลางความหนาวยะเยือกนี้ คล้ายนี่เป็นทะเลสาบผืนหนึ่ง
แต่ความจริง นี่เป็นหน้าผาชัน
มือข้างหนึ่งยื่นมาเด็ดบัวหิมะนี้
ภายใต้การขับเน้นของบัวหิมะนี่ มือข้างนี้ยิ่งดูบวมแดง บนนั้นแผลน้ำแข็งกัดกระจายทั่ว ทำให้คนทนดูไม่ได้
การเคลื่อนไหวเด็ดบัวหิมะครั้งหนึ่งนี่สำหรับมือที่น้ำแข็งกัดเช่นนี้แล้วยากเย็นนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใช้มือขุดหิมะที่ปกคลุมก้อนหิน
บุรุษคนนี้แนบอยู่บนหน้าผาโล้นลื่น ร่างกายเกร็งเครียด อารมณ์ผ่อนคลาย แล้วยังค่อยๆ วางบัวหิมะไว้ตรงปากและจมูกสูดดมอีก บนใบหน้าซีดเซียวเผยความพอใจอยู่บ้าง
“หอมจริงเชียว” เขาเอ่ยขึ้น
พูดจบประโยคนี้ คนทั้งร่างพลันร่วงลงไปเบื้องล่าง เหมือนกับว่ายันไม่ไหวอีกต่อไปจึงหล่นลงไป แต่ความจริงเขาเกาะบนหน้าผาอย่างคล่องแคล่ว ท้ายที่สุดไถลร่วงลงมาใต้หน้าผาอย่างปลอดภัย
“พวกเจ้าดู” เขาชูบัวหิมะใส่บุรุษห้าคนที่นั่งกระจายอยู่รอบด้านพลางเอ่ยเรียก “สวยไหม”
บุรุษห้าคนมองมา แม้แต่ละคนสีหน้าซีดเซียวริมฝีปากแห้งแตก แต่กลับล้วนเผยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่ ท่านทำไมสนใจดอกไม้ใบหญ้าแล้วเล่า ท่านคงจะไม่กลายเป็นแม่นางน้อยจริงๆ หรอกนะ?” พวกเขายิ้มเย้า
“พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร นี่เป็นสมุนไพร” บุรุษหนวดเฟิ้มโต้ จากนั้นใส่บัวหิมะลงในถุงหนังติดตัวอย่างระวัง “มีใครคนหนึ่งกำลังต้องการสิ่งนี้ รอกลับไปเอาให้นาง หนี้ที่ข้าติดค้างก็คืนได้หมดแล้ว”
เขาพึมพำเรื่องคืนหนี้อันใด คนอื่นไม่ได้สนใจ ได้ยินเพียงคำว่า ‘กลับไป’ สองคำ ในดวงตาความเศร้าหมองสายหนึ่งก็แล่นผ่าน
ยัง กลับไปได้หรือ?
แม้ล้วนมาอย่างเตรียมใจตาย แต่ก็ยังอยากกลับไปได้กระมัง
สายตาของคนทั้งหลายมองมาทางบุรุษหนวดเฟิ้ม มองเขาพินิจปากถุงหนังที่ใส่บัวหิมะอย่างระมัดระวังและเบิกบานใจ ที่จริงไม่มีความจำเป็นต้องไปเด็ดดอกไม้บนหน้าผา สิ้นเปลืองแรงกายที่เดิมก็ไม่มากอยู่แล้วสักนิด แต่เพราะบัวหิมะจึงนึกถึงคนที่คิดถึงก็นำการปลอบประโลมทางใจมาได้กระมัง
นึกถึง คิดถึงทุกเมื่อเชื่อยามก็เหมือนคนผู้นี้อยู่ข้างกาย
รอยยิ้มของพวกเขากลายเป็นขมขื่นอยู่บ้าง แต่นาทีต่อมาสีหน้าก็พลันเคร่งขรึม
“โจรจินไล่ตามมาแล้ว” พวกเขาเอ่ยขึ้น คนก็กระโดดลุกขึ้นจากบนพื้นด้วย
ในมือไม่มีดาบขวานแล้ว มีเพียงกิ่งไม้ที่หักลงมาเป็นไม้กระบอง
แต่สีหน้าของพวกเขาไม่มีความหวาดกลัวสักนิด คล้ายสิ่งที่กำอยู่ในมือเป็นอาวุธชั้นยอด
“ถ้าเช่นนั้นก็หาคนตายแทนอีกสักหลายคน” บุรุษหนวดเฟิ้มเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ อยู่บ้าง ขยับเคลื่อนมือเท้าเล็กน้อยจนดังกรอบแกรบ “ทำงานเถอะ”
พร้อมกับคำพูดของเขา ทั้งห้าคนพลันแยกย้ายกันไปหลบซ่อนอยู่หลังหินภูเขา
บุรุษหนวดเฟิ้มยืนเดียวดายอยู่ที่เดิม สีหน้าความเศร้าสร้อยจางๆ แล่นผ่านไป ก้มศีรษะมองถุงหนังที่เอวนิดหนึ่ง
“น่าเสียดาย เจ้าสตรีไร้โชคคนนี้ ของดีเช่นนี้ตกไม่ถึงมือเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา ชั่วครู่ต่อมาก็เงยศีรษะขึ้น สีหน้าพลันฟื้นคืนความพยศ สะบัดไม้กระบองยาวในมือทีหนึ่ง รอคอยทหารม้าที่จะพุ่งมาจากช่องเขา
เสียงด้านนอกยิ่งดังขึ้นทุกที แต่ทหารม้ากลับชักช้าไม่พุ่งเข้ามา นี่ทำให้คนไม่กี่คนที่ซุ่มรอคอยอยู่ที่นั่นสีหน้าไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“หรือว่าไม่คิดจะมาสู้ต่อ เพียงรอล้อมพวกเราให้ตาย?” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย
“เจ้าหนูพวกนี้ขี้ขลาดปานนี้หรือ?” อีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย
บุรุษหนวดเงี่ยหูฟัง ฉับพลันสีหน้าเปลี่ยนไป
“ไม่ถูก เหมือนมีภาษาโจว” เขาเอ่ยบอก
แต่มีภาษาโจวก็ไม่แลปก ทหารจินเหล่านี้เคยใช้ภาษาโจวหลอกล่อพวกเขามาก่อนเช่นกัน
“ไม่ ครั้งนี้ ของจริง นอกจากนี้คนมากนัก” บุรุษหนวดเฟิ้มเอ่ย เสียงของเขาสั่นอยู่บ้างเล็กน้อย
ที่สั่นนี่ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะคาดเดาบางอย่าง
การคาดเดาที่เป็นไปไม่ได้บางอย่าง
คนที่เหลือก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นปั้นยาก คล้ายอยากยินดีแต่ก็กลัวเพราะความยินดีนี่จะทำลายสติปัญญา
พวกเขาไม่เคยให้ความหวังตนเอง เพราะหากมีความหวังปุบ ยามความหวังถูกทำลายก็จะเสียความแน่วแน่ไปอย่างสิ้นเชิง ไร้ทางช่วยแล้ว
พวกเขารักษาความระแวดระวังซ่อนอยู่หลังก้อนหิน จนกระทั่งหูพลันได้ยินเสียงบึ้มทีหนึ่ง ตามติดหลังจากนั้นแผ่นดินสะเทือนขุนเขาสั่นคลอน
“คุณพระ นี่ไม่ใช่ของกองทหารชิงซาน…” บุรุษหนวดเฟิ้มร้อง
แต่ขณะที่เขากำลังจะกระโดดขึ้นมาก็ได้ยินเหนือศีรษะเสียงครืนครางดังขึ้น ตามติดมาด้วยหิมะกองโตแทรกด้วยหินภูเขากลิ้งร่วงลงมา
คนที่เหลือที่หลบอยู่หลังหินภูเขายิ่งเคลื่อนไหวไม่ทัน หิมะที่กลิ้งร่วงลงมาพริบตากลบฝังคนเหล่านี้ไว้
เสียงครืนทีหนึ่งหุบเขาก็ตกสู่ความเงียบสงบ
เสียงโหวกเหวกเสียงเข่นฆ่าด้านนอกหุบเขายิ่งดังกังวาน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความเงียบ ตามติดมาด้วยเสียงกีบเท้ามาจากไกลมาใกล้ ทีละนิดๆ ทีละแถบๆ เต็มทั้งหุบเขา
“ไม่มีคนนะ” มีเสียงบุรุษเอ่ยขึ้นพร้อมกับประหลาดใจอยู่บ้าง “หรือทนไม่ไหวตายไปแล้ว?”
ทว่านาทีต่อมา มือข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากใต้หิมะ ต่อจากนั้นศีรษะศีรษะหนึ่งก็สะบัดหิมะมุดออกมา
“คุณพระคุณเจ้า!”
เสียงแหบสากทั้งยังโกรธเกรี้ยวกลบเสียงกีบเท้าม้า ดังก้องหุบเขา
“พวกเราไม่ตายในมือชาวจิน ดันถูกหิมะทับตาย นี่เป็นเรื่องตลกเรื่องเด็ดจริงๆ แล้ว!”
พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา ตรงที่อื่นก็มีคนดิ้นรนออกมา ถุยถ่มหิมะส่ายศีรษะ แต่สีหน้าของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความยินดีเป็นบ้าเป็นหลังที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดได้
ทว่าบุรุษหนวดเฟิ้มคนก่อนหน้านั้นยังคงมองไปทางกำลังคนที่ล้อมเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยว
“ข้าว่าพวกเจ้าใครลงมือฮะ? โง่ปานนี้ได้อย่างไร?”
เขาเงยศีรษะขึ้น สะบัดหิมะบนหน้าออก แล้วเมื่อมองกำลังพลที่อยู่ใกล้ตรงหน้าชัด หลังจากนั้นเสียงของเขาพลันหยุดชะงัก
กำลังพลตรงหน้าแหวกออก สตรีคนหนึ่งปรากฏในสายตา
นางไม่ได้สวมชุดเกราะ แต่คลุมผ้าคลุมสีแดงหนา หมวกสีขาวปุกปุยแทบจะปิดดวงหน้าน้อยของนางมิด
นางก็กำลังมองบุรุษหนวดเฟิ้มที่ครึ่งร่างยังฝังอยู่ในหิมะเช่นกัน นางมองอย่างตั้งใจยิ่ง ทีละชุ่นๆ ทีละนิดๆ กวาดผ่านใบหน้าของเขาหลังจากนั้นคิ้วพลันขมวดเล็กน้อย
“จูจั้น” นางเอ่ยขึ้น “ท่านทำไมกลายมาน่าเกลียดเช่นนี้เล่า?”
จูจั้นโกรธจัด ฉับพลันกระโดดออกมาจากหิมะทันที
“เจ้าสตรีคนนี้สายตามีปัญหา” เขาตะโกน “บนโลกนี้ไหนเลยมีคนที่หล่อเหล่ากว่าข้า”
เขากระโดดออกมา ยื่นมือตบหิมะบนร่างแล้วแล้วเช็ดหน้าเปะปะ
“มาๆ เจ้าดูให้ดีๆ ข้าสง่างามเช่นนี้…”
คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินก็กระโดดลงจากม้าโถมเข้ามา กางแขนออกกระโจนทีหนึ่งกอดคอของเขาไว้แล้ว
การเคลื่อนไหวของนางกะทันหันเหลือเกิน จูจั้นถูกโถมเข้าใส่โซเซทีหนึ่งหวิดจะล้มลง
“นี่ เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าทำเช่นนี้ คำพูดเมื่อครู่จะแล้วกันไปนะ” เขาตะโกน “เจ้าลุกขึ้นมาดูให้ดีๆ ข้าน่าเกลียดตรงไหน?”
คำพูดแม้เอ่ยเช่นนี้ แต่สักนิดก็ไม่ได้ผลักคนหน้าร่างออก แต่ยื่นมือกอดไว้
“เจ้าดูให้ดีๆ” เขาเอ่ยอีกครั้ง
คุณหนูจวินกอดคอของเขาแน่น พยักหน้าหนักๆ บนหัวไหล่ของเขา
“ข้าดูดีๆ อยู่” นางเอ่ย
จูจั้นไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงออกแรงกอดนางไว้แน่น ไม่รู้ว่าเพราะร่างกายแข็งทื่อจากความหนาว หรือไม่คุ้นเคย การเคลื่อนไหวจึงแข็งทื่ออยู่บ้าง
ตอนนั้นก็น่าจะกอดมากขึ้นสักหลายหน ฝึกฝนไว้สักหน่อย ในใจเขาคิด
……………………………………….
……………………………………….
ยามฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นบุปผาแย้มบาน ในหุบเขาแห่งนี้กลายเป็นยิ่งงดงาม แต่เวลานี้บรรยากาศกลับตึงเครียดอยู่บ้าง
บุรุษกลุ่มหนึ่งสีหน้าเศร้าสลดทั้งยังกังวลมองเด็กสาวตรงหน้า
เด็กสาวคนนี้กำลังถูกสตรีคนหนึ่งพามาถึงหน้าสุสานแห่งหนึ่ง
เด็กสาวคล้ายถูกทำให้ตกใจเข้าแล้ว ยืนอยู่ที่นั่นนิ่งไม่ขยับ
“ฮั่นชิง” น้าเซียวลูบหัวไหล่ของนาง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เรื่องบิดาของเจ้า ข้าให้จิ่วหลิงปิดบังเจ้าไว้เอง เจ้า…”
จ้าวฮั่นชิงยกมือกุมมือของน้าเซียวไว้
“แม่ ข้าอยากอยู่ที่นี่ตามลำพังสักครู๋”
น้าเซียวสีหน้าลังเลนิดหนึ่ง แต่ก็ยังพยักหน้าตกลง
นางหมุนตัวโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนล้วนออกไป
“พี่สะใภ้ใหญ่ เช่นนี้ไหวหรือ?” เซี่ยหย่งเอ่ยเสียงเบาอย่างกังวลใจอยู่บ้าง “นิวหนิ่วตลอดทางดีใจลิงโลดรอพบพี่ใหญ่ ผลปรากฏว่า…”
น้าเซียวถอนหายใจแผ่วเบา
“ข้าเชื่อว่านางจะเข้าใจ” นางเอ่ย
ฉับพลันน้าเซี่ยก็อุทานเบาๆ
“อั้ยย่ะ นิวหนิ่วถือดาบขึ้นมาแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
คำนี้ทำให้ทุกคนตกใจสะดุ้งโหยง ทุกคนหยุดเท้ามองไป เห็นจ้าวฮั่นชิงชูดาบยาวเล่มหนึ่งขึ้นหน้าสุสานจริงๆ
ทุกคนยังไม่ทันตอบสนองก็เห็นนางสะบัดดาบยาวร่ายรำจนเกิดแสงดาบแถบหนึ่ง
ทุกคนตะลึง นี่…เหมือนจะไม่ใช่ต้องการทำร้ายตนเอง แต่…
จ้าวฮั่นชิงเก็บดาบอย่างรวดเร็วยิ่ง แล้วคว้าคันศรด้านข้างขึ้นมาอีก สักคำก็ไม่เอ่ยศรสิบดอกต่อเนื่องยิงลงบนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ไม่ไกล
นี่ยังไม่จบ ท่ามกลางสายตาจับจ้องตะลึงของทุกคน นางผลัดเปลี่ยนแสดงหอกยาว ดาบโค้ง
“ที่แท้นางอยากให้พ่อของนางดูว่านางร้ายกาจเพียงไร” ในดวงตาน้าเซียวน้ำตาคลอแวววาว
ทุกคนก็ล้วนถอนหายใจโล่งอก ส่วนจ้าวฮั่นชิงเบื้องหน้าสุสานก็พรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง โยนโล่กับหอกยาวไปด้านข้าง คุกเข่าข้างหนึ่งลงหน้าสุสาน มองอักษรจ้าวจื้ออี๋สามคำบนป้ายสุสาน
“นี่ พ่อ ท่านเห็นแล้วไหม ข้าไม่ได้ทำท่านขายหน้าใช่ไหม?” นางเอ่ยพลางเลิกคิ้วท่าทางกระตือรือร้นนิดๆ มีความเสียใจสักน้อยที่ตรงไหน “ข้าร้ายกาจพอตัวเลยใช่ไหม? สีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าต้นครามใช่หรือไม่”
อักษรบนป้ายสุสานไม่อาจตอบนางได้ นางมองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอาของที่คล้ายกับธูปสามดอกที่มีกระดาษห่อในอกเสื้อออกมา
“สิ่งนี้ พี่สาวจิ่วหลิงให้ข้าจุดให้ท่าน” นางมองของในมือแล้วใช้คบไฟจุด
ควันสายหนึ่งลอยขึ้นมา นอกจากนี้กลิ่นหอมประหลาดก็กำจาย
จ้าวฮั่นชิงสีหน้าพิกลพินิจมองธูปสั้นๆ สามดอกในมือ แสดงชัดว่านางก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งเช่นกัน
“พี่สาวจิ่วหลิงบอกว่า นี่เป็นควันอะไรที่ท่านเอ่ยถึงในจดหมาย” นางเอ่ย “นางบอกว่าท่านไม่ได้เขียนละเอียดนัก นางลองทำแล้ว ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่”
นางยิ่งดมยิ่งสงสัยใคร่รู้ จึงทดลองวางไว้ตรงมุมปาก ออกแรงสูดทีหนึ่งเสียเลย ฉับพลันก็สำลักจนไอติดกันหลายที นั่งยองลงบนพื้น แลบลิ้นออกมาน้ำตาก็ไหลพรากออกมาด้วย
“น่ากลัวจริงๆ” นางเอ่ย “มิน่าท่านถึงบอกว่าสูดอีกทีหนึ่งก็ตายได้”
นางพูดพลางปักธูปสั้นสามดอกนี้ไว้หน้าสุสาน มองอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง
“พ่อ ท่านร้ายกาจมาก แต่พี่สาวจิ่วหลิงร้ายกาจยิ่งกว่าท่าน” นางพลันเอ่ยขึ้น
พูดประโยคนี้ออกมาปุบก็คล้ายกลัวถูกคนตรงหน้าตีจึงลุกขึ้นถอยไปข้างหลังประหนึ่งกระโดด
ในดวงตานางมีความอิ่มอกอิ่มใจอยู่นิดๆ นางถอยออกมาทีละก้าวๆ อย่างเชื่องช้า ท้ายที่สุดจึงหมุนตัวใบหน้ายิ้มแย้มวิ่งไปหาน้าเซียว
เบื้องหลังร่างนาง ธูปสั้นสามดอกหน้าสุสานควันลอยวนเวียน ส่ายไหวไปตามลม
………………………………………(จบบริบูรณ์) ………………………………………