Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 113
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 ตอนที่ 113 ล้อมไล่ตาม
ฝูงชนที่โวยวายเงียบสงบไปวูบหนึ่ง สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องอยู่บนร่างของชายหนุ่มที่ยกมือขึ้น
จูจั้น พวกเขาไม่คุ้น แต่เฉิงกั๋วกงใครๆ ต่างรู้จัก
ในเมืองหลวงข่าวคราวว่องไว กลางคืนเกิดเรื่องใหม่ ฟ้าสว่างบนถนนใหญ่ก็แพร่ไปทั่วได้
เรื่องที่บุตรชายของเฉิงกั๋วกงก่อเรื่องทำร้ายคนถูกฮ่องเต้ต้องการคุมตัวเข้าเมืองหลวงแต่กลับหนีไป ทุกคนล้วนรู้นานแล้ว
ทุกคนคาดเดาว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงคงได้เฉิงกั๋วกงปกป้องไว้แล้ว ถูกเฉิงกั๋วกงโยนไปที่ชายแดนชาวจินสังหารศัตรูไปแล้ว
อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงถึงกับมาปรากฏตัวที่นี่
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้คนก็ฮือฮา
“บุตรชายของเฉิงกั๋วกง!”
“มาดูบุตรชายของเฉิงกั๋วกงเร็ว!”
“เฉิงกั๋วกงท่านต้องปกป้องความสงบสุขของพวกเรานะ!”
“บุตรชายของเฉิงกั๋วกงโตมาหล่อขนาดนี้เชียว!”
หน้าประตูเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย บรรดาทหาร บรรดาองครักษ์เสื้อแพรหวิดถูกเบียดล้ม
“เลิกคิดเล่นไม้นี้อีกรอบ” มีองครักษ์เสื้อแพรตวาดขึ้น ยื่นมือชักดาบปักวสันต์ “องครักษ์เสื้อแพรทำภารกิจ ใครขวางฆ่า”
เสียงดาบออกจากฝักโฉ้งเฉ้งแถบหนึ่ง ควบคู่มากับเสียงปึงปึงโจมตีปะทะ
และในเวลาเดียวกันนี้บรรดาทหารก็พากันชักอาวุธออกมาเช่นกัน
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเคร่งเคียดทันที บรรดาชาวบ้านไม่สนใจเรื่องสนุกอีก องค์รักษ์เสื้อแพรเคยสังหารคนกลางถนนมาก่อนจริงๆ
ตอนนั้นลู่อวิ๋นฉีได้รับคำสั่งให้ค้นบ้านของขุนนางคนหนึ่ง ขุนนางผู้นี้มีลูกศิษย์มารวมตัวปกป้องอยู่บ้าง ลูกศิษย์ไม่น้อยเข้าไปขัดขวางร้องอยุติธรรม ผลปรากฏว่าลู่อวิ๋นฉีตาไม่กะพริบออกคำสั่งถือพวกเขาเป็นกบฏสังหารไม่เว้น แม้ไม่ได้ฟันตายบนถนน แต่ทำให้ลูกศิษย์ไม่น้อยได้เลือดเสียเนื้อกันไป
บรรดาชาวบ้านพากันกุมหัวนั่งลงไป
พริบตาก็มีพียงจูจั้นยืนอยู่คนเดียวตรงกลางสะดุดตาเป็นพิเศษ
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรล้อมเข้ามา บรรดาทหารก็ล้อมเข้ามาด้วย
คุณหนูจวินนั่งยองๆ อยู่ในกลุ่มคนเงยหน้ามองข้ามไป จูจั้นยังคงไม่ได้มีท่าทีจะวิ่งหนีหรือลงมือ
เขายังคงยกสองมือขึ้นสูงเหมือนเก่า บนหน้าสีหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
“โอ หนีไม่พ้นแล้ว ถูกพวกเจ้าจับได้แล้ว” เขายังคงตะโกนเสียงดัง
สีหน้าบรรดาองครักษ์เสื้อแพรเย็นชา ปิดซ่อนความโกรธแค้นของพวกเขา
ช่วงหลายวันนี้จูจั้นทำให้พวกเขาโกรธมากเกินไปแล้ว
รอไปถึงกรมสืบสวนฝ่ายเหนือของพวกเขา มีวิธีนับไม่ถ้วนให้สงบความโกรธแค้นของพวกเขา
“จับไว้” องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
แม้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจมากเพียงใด แต่บรรดาองครักษ์เสื้อแพรหาได้มีความหวาดกลัวสักนิด ถือดาบก้าวเข้าไป
ผู้ชายคนนี้ไม่ขยับ แต่กลับมีผู้ชายกลุ่มหนึ่งยืนขวางเบื้องหน้าพวกเขา
“ช้าก่อน” ขุนนางทหารที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าอู่” องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นหัวหน้าเห็นแม่ทัพทหารด้านนี้ เอ่ยขึ้นเย็นชา “พวกท่านตั้งใจจะทำอะไร?”
“ขอบคุณหัวหน้ากองร้อยเจียงช่วยเหลือ วันนี้นักโทษจับได้แล้ว ธุระที่เหลือให้พวกเราฝ่ายทหารจัดการเองเถิด” แม่ทัพที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าอู่เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ข้าจะแจ้งเบื้องบนขอบคุณกรมสืบสวนของพวกท่าน”
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองเขาอย่างเย็นชา ไม่มีเจตนาจะถอยให้สักนิด
“ฝ่าบาทมอบคดีนี้ให้กรมสืบสวนทำ” เขาว่า “ใต้เท้าอู่จะขัดโองการรึ?
ใต้เท้าอู่สบถทีหนึ่ง
“อย่า อย่า อย่ามาใส่ความข้า นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว” เขาถลึงตาเอ่ย “พวกเจ้าคนของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือพูดจาข่มขู่คนเกินไปแล้ว อย่าเข้ามาปุบก็ใส่ความใหญ่โตสิ เรื่องนี้ต้องพูดให้ชัดก่อน คดีนี้มอบให้พวกเจ้ากรมสืบสวนได้อย่างไร? ฝ่าบาทตรัสสั่งพวกเรากรมกลาโหมค้นหาเข้มงวด พวกเราไม่หาถึงจะขัดราชโองการ”
หัวหน้ากองร้อยเจียงสีหน้ายังคงเย็นชา
“ฝ่าบาทสั่งพวกเจ้ากรมกลาโหมค้นหาเข้มงวด พวกเจ้าหาแล้วรึ? คนไม่ส่งมาที่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ดังนั้นฝ่าบาทถึงให้พวกเราไป” เขาว่า
ใต้เท้าอู่ลูบหนวดหัวเราะลั่น
“อั้ยย่ะ ข้ารู้พวกเจ้าช่วยเหลือไว้มากอยู่” เขาว่า “กลับไปให้ใต้เท้าของพวกเราลากสุราหนึ่งคันรถ พวกเราไปร่วมดื่มครั้งใหญ่กับพวกเจ้ากรมสืบสวนสักยก”
ฝั่งนี้หัวเราะลั่นสบายอารมณ์ ฝั่งนั้นชุดปลาบินดาบปักวสันต์สงบเยือกเย็น เกิดเป็นการประจันหน้าอันแปลกประหลาด ชาวบ้านที่อยู่ที่นั่นต่อให้ไม่เงยหน้าก็อดไม่ได้ตัวสั่นเหมือนกัน
จะสู้กันแล้ว จะสู้กันแล้ว
ทหารถ่อยกลุ่มนี้ของกรมกลาโหมกับองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้ของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือจะสู้กันแล้ว
นี่ถ้าสู้กันขึ้นมา พวกเขาก็ซวยแล้วน่ะสิ
แต่ดันไม่มีใครกล้าผลีผลามขยับเช่นกัน
ที่แท้หากเข้าเมืองก็มีคนปกป้องเขาจริงๆ คุณหนูจวินมองการประจันหน้าฝั่งนี้ เห็นอยู่ว่าอยู่ใต้หนังตาพวกองครักษ์เสื้อแพรชัดๆ แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงกล้าปกป้องเขา คิดดูก็รู้ว่าหากคืนวานเขาไปหาคนเหล่านี้ พวกองครักษ์เสื้อแพรน่ากลัวว่าคงไม่ได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังคงออกจากเมืองไป เพื่อไปมอบดอกไม้ดอกนั้นหน้าสุสานของตนเองงั้นหรือ?
เป็นเฉิงกั๋วกงฝากเขาให้ทำสัญญาให้สำเร็จรึ?
คุณหนูจวินมองจูจั้น
“อั้ยยะ พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันสิ” จูจั้นตะโกน สะบัดมือทีหนึ่ง “พวกเจ้าสองฝั่งข้าไม่ไปทั้งนั้น ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เข้าเฝ้าฝ่าบาท?
องครักษ์เสื้อแพรรวมไปถึงบรรดาทหารล้วนหันไปมองเขา
“ท่านชายคิดว่าฝ่าบาทจะว่างเหมือนท่านหรือ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยขึ้นเย็นชา
จูจั้นมองเขาแล้วยิ้ม
“เจ้าพูดจาช่างไม่น่าฟังเสียจริง” เขาเอ่ย “เสียงก็ไม่น่าฟังเหมือนกัน น่าจะไปเรียนกับหัวหน้ากองพันของพวกเจ้าเสียบ้าง ดูสิคนอื่นพูดจาเสียงอ่อนโยนขนาดไหน”
เสียงของลู่อวิ๋นฉีเป็นเรื่องต้องห้าม โดยเฉพาะถูกหยิบมาล้อเลียน บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ที่นั่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ในดวงตาไม่ปิดบังความโกรธแค้นอีกต่อไป
“ใต้เท้าอู่ หลีกทาง” หัวหน้ากองร้อยเจียงตวาด ดาบในมือตวัดไปข้างหน้า
เสียงพรึบดังขึ้น บรรดาองครักษ์เสื้อแพรตวัดดาบไปข้างหน้า
บรรดานายทหารก็ยกอาวุธขึ้นมาในเวลาเดียวกันชี้ไปที่พวกเขา
“หัวหน้ากองร้อยเจียง พวกเราสู้กันบนถนนขึ้นมาคงไม่น่าดู” ใต้เท้าอู่เอ่ยขึ้น สีหน้าค่อยๆ จริงจัง
หัวหน้ากองร้อยเจียงไม่พูดสักคำ เพียงแค่ก้าวมาข้างหน้าทีละก้าว
สีหน้าใต้เท้าอู่ก็เคร่งเครียดเช่นกัน ยืนอยู่ที่เก่านิ่งไม่ขยับ
ด้านหน้าประตูเมืองราวกับก่อนหน้าลมพายุฝนมาเยือน
จูจั้นพลันสะบัดมือก้าวยาวๆ วิ่งไปในเมือง
“พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไป ข้าเข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อนล่ะ” เขาตะโกน
พร้อมกับสิ้นเสียงนี้ คนก็ราวกับลมพายุพุ่งเข้าไปในเมือง
สองฝ่ายที่ประจันหน้ากันรีบร้อนวุ่นวายทันที
“รีบตามไป” สองฝ่ายตะโกนขึ้น
หนึ่งไล่ตามต้องการจับ หนึ่งไล่ตามต้องการปกป้อง รีบร้อนลนลานแย่งชิงกันแห่เข้าไปด้านในเมือง
พริบตาหน้าประตูเมืองก็เหลือเพียงชาวบ้านที่นั่งยองๆ กุมหัวอยู่บนพื้น
ลุกขึ้นได้แล้วรึ?
บรรดาชาวบ้านล้วนนั่งซื่อบื้ออยู่บนพื้น จนกระทั่งมองเห็นเด็กสาวคนหนึ่งลุกขึ้นวิ่งตึงๆ เข้าไปในเมือง ผู้คนถึงแยกย้ายไปทันที
บนถนนคนหงายม้าล้ม
จูจั้นวิ่งตัดตรงกลาง วิ่งตรงไปยังที่ซึ่งวังหลวงตั้งอยู่ สลัดองครักษ์เสื้อแพร ทหารไว้ข้างหลัง
ทว่าเลี้ยวผ่านถนนเส้นหนึ่ง บนถนนด้านหน้ากลับไม่มีชาวบ้านเดินผ่าน ราวกับถูกกันสถานที่ไว้กะทันหัน
ก็พูดไม่ได้ว่าไม่มีคน บนถนนตรงหน้าคนม้ายืนเรียงแถวยู่ ใต้แสงอรุณสีครามเสื้อผ้าปักลายซับซ้อนสีแดงดำเคียงคู่งดงามทิ่มแทงตาเป็นพิเศษ
จูจั้นหยุดฝีเท้า มองคนม้าด้านหน้ามุมปากผุดรอยยิ้มบางขึ้น
ด้านหลังร่างเขาบรรดาองครักษ์เสื้อแพรและเหล่าทหารที่รุกไล่ตามก็ผ่อนฝีเท้าช้าลงเช่นกัน บรรดาองครักษ์เสื้อแพรกลับกันถอยหลังไปหลายก้าว ตั้งกระบวนทัพปิดกั้นด้านนี้ไว้ กั้นขวางประสานกับบรรดาองครักษ์เสื้อแพรฝั่งนั้น
บรรดานายทหารก้าวต่อไปข้างหน้ายืนอยู่ด้านหลังร่างจูจั้น
แม้หวาดกลัวอยู่มาก แต่ชาวบ้านที่ตามมาดูเรื่องสนุกก็ไม่น้อย มองเห็นภาพนี้ทุกคนล้วนหยุดเท้าเช่นกัน เคร่งเครียดทั้งตื่นเต้น
“ล้อมไว้แล้ว”
“ใครมารึ?”
พวกเขาสอบถามกันเสียงเบา
“นั่นไม่ใช่พุทราน้อยลู่รึ!
เสียงของจูจั้นดังขึ้นบนถนนใหญ่อันเงียบสงบ
“ไม่เจอกันนานเลยจริงๆ”
พุทราน้อยลู่?
พุทราน้อยลู่เป็นใคร?
บรรดาชาวบ้านสบตาเอ่ยถามกันด้วยความสงสัย
คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนสีหน้าเฉยชา ไม่มีคำถามหรือสงสัยอันใด
‘ข้ามีชื่อเล่นชื่อหนึ่ง ชื่อพุทราน้อย’
‘น่าขำจริง ทำไมชื่อนี้?’
‘เพราะตอนยังเล็กข้าทั้งดำทั้งตัวน้อย เหมือนกับพุทราแห้ง’
‘ดูไม่ออกเลยจริงๆ’
มาเมืองหลวงก็ดีนะ คนเหล่านั้นที่คิดว่าไม่มีทางได้พบอีกแล้ว อยู่ดีๆ ก็พบเข้าบนถนนเช่นนี้
คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ มือที่ทิ้งอยู่ด้านหน้าลำตัวกำเข้ามา
คนม้าแหวกออก คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลัง ต่อให้หันหน้าเข้าหาดวงตะวันยามอรุณรุ่งก็ไม่อาจแต่งแต้มความอบอุ่นสักกระผีกบนร่างของเขาได้ ใบหน้าขาวดุจกระเบื้อง สีหน้าไร้อารมณ์ดั่งเทียนแกะสลัก
“ใต้เท้าหัวหน้ากองพัน” บรรดาองครักษ์เสื้อแพรข้างหน้าข้างหลังคำนับขานเรียกพร้อมเพรียง ทำคนที่ล้อมชมอยู่สะท้านอดไม่ได้หัวใจเต้นแรงทีสองที