Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 118
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 ตอนที่ 118 ครุ่นคิดถี่ถ้วน
ครั้งนี้หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้เข้ามาอีก แต่บอกลากับนางที่ประตูร้านอาหารจากไปแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์ลูบหน้าอกโอดครวญตลอดทางกลับจนถึงด้านในโรงเตี๊ยม เดินไปเดินมาในห้อง คุณหนูจวินรู้สึกทั้งน่าขันทั้งน่าโมโหนัก
“เจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนุกเจ้าไปทำได้ แต่เงื่อนไขก่อนหน้าคือเรื่องน่าสนุกนี้ต้องไม่ทำร้ายตัวเอง” นางว่า
หลิ่วเอ๋อร์อิ่มแปล้ทรมานสุดจะเอ่ย ความย่ามใจและดีใจก่อนหน้านี้ไม่เหลือนานแล้ว ได้ฟังก็พยักหน้าติดกันหลายที
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”นางหน้าเศร้าเอ่ยขึ้น “แต่ คุณหนู ท่านพบเข้ากับคุณชายสิบหนิงได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“ก็อยู่บนถนนเดินไปเดินมาก็พบเข้า” คุณหนูจวินว่า
“บังเอิญขนาดนี้?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม “เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ เดินตามใจก็พบเข้าแล้ว? เป็นเขาตั้งใจหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่ใช่” คุณหนูจวินหัวเราะเอ่ยขึ้น
คิดถึงบรรดาสหายที่ตามมาด้านหลังร่างของหนิงอวิ๋นเจา นี่ต้องไม่ใช่สิ่งที่จัดการไว้ก่อนอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ หนึ่งคืนนี้เรื่องมากมายขนาดนั้นเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่หนิงอวิ๋นเจาจะจัดการได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เบิงเอิญเกินไปแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์เดินกลับไปมาเอ่ยขึ้น “เขารู้หรือไม่ว่าพวกเราเข้าเมืองหลวงแล้ว? รู้ว่าพวกเราเข้าเมืองหลวงแล้วได้อย่างไร?”
คุณหนูจวินหาวทีหนึ่ง
“นี่ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ” นางเอ่ยขึ้น
เรื่องนี้ไม่สำคัญ? สำหรับคุณหนูแล้วเรื่องของคุณชายสิบหนิงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในใต้หล้าหรือ?
ตอนนี้ถึงกับไม่สำคัญแล้วหรือ?
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องอะไรสำคัญเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม
คุณหนูจวินล้มตัวลงนอนบนเตียง
“นอน” นางเอ่ยขึ้น หลับตาลง
…
และในเวลาเดียวกันนี้หนิงอวิ๋นเจาที่เดินทางอย่างว่องไวก็หยุดฝีเท้าลง
เขาคิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“เรื่องอะไรขอรับ?” เสี่ยวติงรีบเอ่ยถาม
“ข้าลืมถามนางว่ามาเมืองหลวงทำอะไร” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
นี่นับเป็นเรื่องสำคัญอันใด เรื่องสำคัญไม่ใช่นางมาแล้วหรือ?
เสี่ยวติงไม่เข้าใจ
นั่นก็ใช่ หนิงอวิ๋นเจาเข้าใจได้เช่นกัน รั้งเท้าที่กำลังจะเลี้ยวหมุนกลับมา
นอกจากนี้กลับไปถามนางก็ไม่ดี หากเป็นเรื่องส่วนตัวเล่า ตนเองบุ่มบามถามเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ใช่คุ้นเคยกันนัก เลี่ยงไม่ให้นางคิดมาก
นางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เรื่องที่ต้องการทำอย่างไรก็คงได้รู้
หนิงอวิ๋นเจามุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เดินหน้าต่อไป เดินไปได้สองก้าวก็หยุดอีกครั้ง
“เสี่ยวติง ข้าเหมือนจะไม่ได้บอกคุณหนูจวินว่าข้าอยู่ที่ไหน” เขาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
หากมีเรื่อง นางหาตนเองไม่พบ…
“แต่พวกเรารู้ว่านางอยู่ที่ไหนนะขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ยตอบพูดไม่ออกอยู่บ้าง
คิ้วของหนิงอวิ๋นเจาไม่คลายออก
“นางจะอยู่ที่โรงเตี๊ยมตลอดได้อย่างไรเล่า หรือเจ้าไม่ได้ยินนางพูดว่า เมื่อวานนางเพิ่งมาถึง ที่นี่ควรเป็นเพียงที่พักชั่วคราว และโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังใกล้กับร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชาง คิดว่าร้านแลกเงินต้องจัดการที่พักให้นางอย่างรวดเร็วแน่” เขาว่า
เสี่ยวติงมองเขา
“คุณชายท่านคิดมากจริงๆ” เขาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
คิดมาก?
หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้ว ไม่ชอบฟังคำนี้
นี่จะเรียกว่าคิดมากได้อย่างไรเล่า? นี่เดิมเป็นเรื่องที่ทุกคนควรคิดแล้วก็คิดไปถึงได้ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ทุกคนคิดได้ ยังเรียกว่าคิดมากกระไรอีก
“คุณชายพวกเรารู้ว่าร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางอยู่ที่ใด หากคุณหนูจวินย้ายไปยังสถานที่อื่นที่จัดไว้ พวกเขาก็ต้องรู้ ท่านไปถามสักหน่อยไม่ใช่รู้แล้วรึ”
เสี่ยวติงเอ่ยขึ้น
ใช่สิ ถามสักหน่อยก็รู้แล้ว
ก็ไม่มีอะไรถามไม่ได้
ที่หยางเฉิงดึกดื่นเที่ยงคืนเขายังเข้าประตูตระกูลฟางไปถามนางเลยหนิ นับประสาอะไรกับตอนนี้
นอกจากนี้ ตอนนี้นางก็ไม่ใช่นายหญิงน้อยของตระกูลฟางแล้ว
หนิงอวิ๋นเจาลำบากใจเล็กน้อย
เรื่องง่ายดายเช่นนี้ทำไมเขาคิดไม่ถึง ดูแล้วเขาคงคิดน้อยเกินไปแล้วจริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาเดินหน้าต่อ ก้าวเท้าเร็วไว มุมปากยกเชิด รู้สึกเพียงความร้อนรนหงุดหงิดเมื่อคืนวานกวาดหายไปเกลี้ยง อารมณ์ดีเช่นนี้ยังคงอยู่จนกระทั่งเขาก้าวเข้าไปในที่พัก
ในห้องสหายกลุ่มหนึ่งนั่งกระจัดกระจายอยู่ แต่ละคนๆ สีหน้าไม่เป็นมิตรจ้องเขาเขม็ง
หนิงอวิ๋นเจางงไปนิดหนึ่ง
“เวลานี้แล้ว พวกเจ้าทำไมไม่ไปอ่านหนังสืออีก?” เขาเอ่ยขึ้น ไม่รอคนเหล่านี้เอ่ยตอบ “ปล่อยเวลาดีๆ ให้เสียเปล่าได้อย่างไร?”
บรรดาสหายรุมเข้ามา
“เจ้าไปมีเวลาดีๆ สินะ”
“คืนเงิน!”
“ต้องทบเพิ่มคืน! ชดเชยค่าที่ขายหน้าคนมาด้วย!”
“รีบบอกว่าคนบ้านเดียวกันคนนั้นเป็นอะไรกับเจ้า”
ในห้องเสียงโวยวายสับสนดังขึ้น หนิงอวิ๋นเจาย่ำแย่อยู่บ้างถูกคนหลายคนหยิกไว้จับไว้
“ข้าลืมไปเลย”
“ข้าจ่ายเงินให้”
“จ่ายเพิ่มให้เท่าหนึ่ง”
“เป็นคนบ้านเดียวกัน”
เขาหัวเราะเสียงดังเอ่ยตอบคำถามของพวกเขา
“หลอกคนให้มันน้อยๆ หน่อย คนบ้านเดียวกับเจ้าที่เมืองหลวงมากมายไป ไม่เห็นเจ้าท่าทางเช่นนี้”
“รีบพูด ที่แท้เป็นใคร”
“รู้จักกันตอนไหน?”
บรรดาชายหนุ่มไหนเลยจะปล่อยผ่านไปดีๆ เช่นนี้ ยังคงต่างคนต่างถามวุ่นวาย
สำหรับสถานที่ซึ่งนักเรียนมารวมตัวกันอันเงียบสงบแห่งนี้ เสียงเอะอะในห้องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
มีคนดึงประตูห้องเปิด มองภาพนี้อย่างประหลาดใจ
“พวกเจ้า นี่ทำอะไรกัน?” เขาเอ่ยถาม
ผู้คนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่กรอบประตู ชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหนิงอวิ๋นเจา
น้องชายฝ่ายบิดาของหนิงอวิ๋นเจา ลูกชายคนรองของหนิงเหยียน อันดับสิบเอ็ดของตระกูลหนิงนั่นเอง
เขาเรียนหนังสือสู้บรรดาพี่ชายไม่ได้ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มุ่งสอบขุนนาง มุ่งเป็นขุนนางสืบทอดตามสายเลือด ตอนนี้ติดตามบิดาเป็นผู้ช่วย เรียนรู้กิจการงานในสนามขุนนาง ประการที่หนึ่งเพราะยุ่ง ประการที่สองเพื่อไม่รบกวนหนิงอวิ๋นเจาอ่านหนังสือน้อยนักจะมาที่แห่งนี้
คิดไม่ถึงเพิ่งมาถึงก็ทำให้เขาได้เห็นภาพนี้
“พวกเจ้าเดี๋ยวนี้ตั้งใจอ่านหนังสือแบบนี้แล้วหรือ?” หนิงสืออีเอ่ยถามประหลาดใจ
“สืออี เจ้ามาพอดี พี่ชายของเจ้าหน้าไม่อายจริงๆ เชิญพวกเรารับประทานอาหาร ผลสุดท้ายตัวเองไม่จ่ายเงินหนีไป” มีคนรีบทักทายเขาเอ่ยขึ้น
หนิงสืออีอึ้งไป
“อย่าไปฟังเขาพูดส่งเดช ข้าแค่ลืม” หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะเอ่ยขึ้น
“เจ้าพูดสิ เจ้าพูด เจ้าลืมเพราะเรื่องสำคัญอันใด?” บรรดาสหายพูดเอะอะขึ้นมาทันที
ในห้องวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง หนิงสืออีร้องเฮ้ติดกันหลายที
“เรื่องสำคัญอะไร เรื่องสำคัญอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่ข้าจะเล่า” เขาเอ่ยขึ้น ก้าวเข้ามานั่งลง “พวกเจ้ารู้ไหม? บุตรชายของเฉิงกั๋วกงถูกจับแล้ว”
คนในห้องมองไปทางเขาครู่หนึ่งนิ่งสงบ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่ พวกเรารู้แล้ว”
“พวกเราไม่เพียงรู้ ยังเห็นกับตาอีกด้วย”
“เจ้ารอพวกเราเสร็จเรื่องกับพี่ชายเจ้า ค่อยเล่าละอียดให้เจ้าฟัง”
ทุกคนหัวเราะเอ่ยเอะอะวุ่นวาย
หนิงสืออีผิดคาดไปบ้าง
“พวกเจ้าเห็นกับตาแล้ว?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่เพียงเห็นกับตาว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงถูกจับ ยังเห็นหนิงอวิ๋นเจาได้หญิงทิ้งเพื่อนวิ่งตามสาวบ้านเดียวกันคนหนึ่งไปด้วย” บรรดาชายหนุ่มเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง
“สาวบ้านเดียวกันอะไร?” หนิงสืออีไม่เข้าใจเอ่ยถาม
“อย่าไปฟังพวกเขาพูดเหลวไหล” หนิงอวิ๋นเจายิ้มตอบ
“คุณหนูจวินที่มาจากหยางเฉิงผู้หนึ่ง…” สหายคนหนึ่งเอ่ยตอบขึ้นมาก่อนแล้ว
หลังจากนั้นทุกคนก็มองเห็นสีหน้าตะลึงของหนิงสืออี
“คุณหนูจวินที่มาจากหยางเฉิง?” เขาเอ่ยซ้ำอีกรอบ ราวกับกำลังคิดว่าคนผู้นี้เป็นใคร จากนั้นก็เหมือนเสี่ยวติงเบิกตาโต สีหน้าไม่อยากเชื่อ “คู่หมั้นคนนั้นของเจ้า? !”
ประโยคนี้ออกมาจากปากก็ผลัดไปถึงผู้อื่นสีหน้าตะลึงบ้างแล้ว
คู่หมั้น?
คู่หมั้น!
“อวิ๋นเจาถึงกับมีคู่หมั้นแล้ว?”
“หมั้นตั้งแต่เมื่อไร?”
“หมั้นแล้ว! ทำไมไม่พูดสักคำ!”
“ที่แท้บ้านเดียวกันคำนี้ก็หมายถึงคู่หมั้นได้!”
ในห้องตกเข้าสู่ความโกลาหลอีกครั้ง
…
“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ตอนนี้ขอให้ข้าย่อเรื่องยาวเล่าสั้นๆ”
หนิงอวิ๋นเจาแย่งผู้คนเอ่ยขึ้นเสียงดัง
คนในห้องตอนนี้ล้วนหยุดมองเขา
“พูดสิ” พวกเขาเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง
“สัญญาหมั้นน่ะมี แต่เพราะสาเหตุหลายประการยกเลิกไปแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
ยกเลิกแล้ว?
บรรดาสหายตะลึงไป จากนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึง
หนิงอวิ๋นเจามองพวกเขาทันใดนั้นก็คำนับจริงจัง
“อวิ๋นเจาไม่พูดหลอกลวง” เขาเอ่ย “เรื่องนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ และสาเหตุนานานัปการในเรื่องนี้ก็ไม่เหมาะบอกเล่าแก่คนนอก ยังหวังให้ทุกท่านให้อภัย จะล้อเลียนข้าอย่างไรล้วนไม่เป็นไร”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปนิดหนึ่ง
“เพียงแต่พูดถึงคุณหนูจวินโปรดรักษาน้ำใจด้วย”
เขาพูดจบก็คำนับอีกครั้ง