Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 125
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 ตอนที่ 125 เรื่องเล็กน้อยก็มีค่าให้ขบคิด
บทที่ 125 เรื่องเล็กน้อยก็มีค่าให้ขบคิด
โดย
Ink Stone_Romance
ด้านหน้าโต๊ะซึ่งแสงโคมสว่างไสว หนิงอวิ๋นเจาวางหนังสือในมือลง นวดดวงตา
ค่ำคืนฤดูร้อนเงียบสงบไปหมด
ตั้งแต่กลับจากบ้านของท่านอาก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือตลอด ในที่สุดก็เข้าใจคัมภีร์ท่อนนี้ได้
เขาอยากลุกขึ้นยืนขยับตัวสักหน่อย แล้วคิดอะไรขึ้นได้จึงไปหยิบปฏิทินออกมา พลิกไปที่วันที่ยี่สิบแปดเดือนหกวันนั้น
ด้านนอกเสี่ยวติงที่หลับไปตื่นหนึ่งลุกขึ้นมาขยี้ตายื่นศีรษะมองเข้ามาก็มองเห็นนายน้อยยังคงกำลังจดจ่ออ่านหนังสือ
“นายน้อย ดึกแล้ว ควรนอนได้แล้วขอรับ” เขาเอ่ยเตือน
นายน้อยแม้ตรากตรำขยัน แต่ก็มีระเบียบยิ่งนัก ตามหลักแล้วตอนนี้ควรเตรียมนอนแล้ว
นี่ไม่ใช่อ่านอะไรอ่านจนจมเข้าไปแล้ว?
เสี่ยวติงขยี้ตาเดินเข้ามา
“เสี่ยวติง”
หนิงอวิ๋นเจาที่จดจ่อจมเข้าไปพลันเอ่ยขึ้น
เสี่ยวติงที่เดินเข้ามาตกใจจนสะดุ้ง
“เจ้าว่าเปิดร้านใหม่มอบอะไรให้ดี?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
เสี่ยวติงตอนนี้มองปฏิทินที่หนิงอวิ๋นเจาถืออยู่ในมือ
นายน้อยเที่ยงคืนไม่นอนเพราะกำลังอ่านสิ่งนี้?
“นี่มีอะไรต้องคิดขอรับ ธรรมดาล้วนส่งเงินจำนวนหนึ่งบ้าง ผลงานเขียนอักษรภาพวาดบ้าง” เขาว่า
หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ
“ธรรมดาเกินไป” เขาว่า
ธรรมดา? ก่อนหน้านี้ล้วนทำเช่นนี้นี่
“นายน้อย นี่มีอะไรธรรมดาไม่ธรรมดา เปิดกิจการไหมขอรับก็แค่ให้ครึกครื้น ครึกครื้นก็ต้องธรรมดาเข้าไว้” เสี่ยวติงเอ่ยขึ้น
ก็ถูก นางเปิดกิจการกระชั้นชิด ต่อให้เต๋อเซิ่งชางชื่อเสียงร้านแลกเงินไม่เล็ก แต่ที่นางเปิดไม่ใช่ร้านแลกเงินแต่เป็นโรงหมอ ที่ต้องการที่สุดก็คือเป็นที่นิยม
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นอย่างมากก็เตรียมของขวัญสักสองสามอย่าง แล้วส่งไปเหมือนก่อนหน้านี้” เขาว่า “ห่อให้สดใสดูเป็นการเฉลิมฉลองสักหน่อย…”
เสี่ยงติงขานรับ กลับเห็นหนิงอวิ๋นเจาหยุดพูดไปแล้วขมวดคิ้ว
“สดใสเฉลิมฉลองก็ไม่ค่อยดีนัก” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง มือเคาะผิวโต๊ะ
เปิดร้านเปิดกิจการ เฉลิมฉลองคึกคักทำไมจะไม่ค่อยดีเล่า
เสี่ยงติงได้ยินก็งุนงง มองหนิงอวิ๋นเจาคิดอะไรได้คุ้ยจดหมายหลายฉบับออกมาจากบนโต๊ะ
นั่นเป็นจดหมายเหล่านั้นที่ส่งมาจากหยางเฉิง อ่านเจ้านี่ทำอะไร? เสี่ยวติงมองอย่างไม่เข้าใจ
หนิงอวิ๋นเจาพลิกอ่านหลายฉบับ หยุดที่จุดหนึ่ง นิ้วมือไล้ผ่านไป หัวคิ้วขมวดนิดๆ
“นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ” เขาพึมพำกับตนเอง
“นายน้อย ดึกแล้ว…” เสี่ยวติงเตือนอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากันขอรับ”
หนิงอวิ๋นเจาปิดจดหมายในมือ คนก็ลุกขึ้นยืน
“ใช่ พรุ่งนี้ว่ากัน” เขาเอ่ยขึ้น ลุกขึ้นยืนไปอาบน้ำ
การกระทำฉับไวทำให้เสี่ยวติงตั้งสติไม่ทัน นายน้อยที่มีความคิดเป็นของตนเองมาตลอดถึงกับเชื่อฟังเขาเช่นนี้?
เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่งถึงรีบดับโคมไฟที่โต๊ะ ราตรีกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
…
ตอนที่ฟ้าเพิ่งสว่าง ประตูก็ถูกเคาะเสียงดังแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์ที่ได้ยินพนักงานแจ้งเดินออกมามองเห็นหนิงอวิ๋นเขาที่ยืนอยู่ด้านในเรือน สีหน้าประหลาดใจ
“เป็นท่านอีกแล้ว?” นางเอ่ยขึ้น
“ข้ามีธุระต้องพบคุณหนูจวิน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
“เมื่อวานท่านไม่ใช่พบไปแล้วหรือ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น พูดออกจากปากมาก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง
นี่นางกำลังขัดขวางคุณชายสิบหนิงหรือ?
นางถึงกับรำคาญที่คุณชายสิบหนิงมาหาคุณหนูหรือ?
เรื่องเช่นนี้มันช่าง…ไม่เคยคิดมาก่อน
แต่ก็ไม่มีอะไร คนที่คุณหนูชอบนางย่อมชอบ คนที่คุณหนูไม่ชอบไม่ต้องการ นางย่อมไม่ชอบเช่นกัน
“ข้ามีเรื่องต้องพูดกับนาง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้อ
“ธุระของท่านไม่น้อยหรือเจ้าคะ ทำไมเมื่อวานไม่พูดกันให้จบล่ะเจ้าคะ?” นางว่า คำพูดแม้พูดเช่นนี้ ก็ยังหมุนตัวไป
คุณหนูเคยบอกว่าคนเราอย่าไปตัดสินใจแทนผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อาจใช้คำว่าเจตนาดีมาตัดสินแทนคนอื่นเอาเองได้ มีคนมาหาคุณหนู พบหรือไม่พบ ก่อนหน้าคุณหนูเอ่ยปาก นางไม่อาจขัดขวางได้
“คุณชายโปรดรอสักครู่” นางว่า
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้รอนานนัก เหมือนที่เขาจินตนาการไว้ คุณหนูจวินไม่นานก็ออกมาแล้ว
“ทานอาหารมาหรือยัง?” นางยิ้มเอ่ยขึ้น “อยากทานด้วยกันหรือไม่?”
คำเปิดบทสนทนานี่ดีนัก
เขายังคิดไม่ถึง
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
“บนถนนฝั่งนี้มีร้านเต้าหูทอดร้านหนึ่งไม่เลวยิ่ง” เขาเอ่ยขึ้น “มีเพียงตอนเช้าตรู่เท่านั้นถึงจะขาย”
“ร้านแม่เฒ่าหวัง?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“ดูท่าชื่อเสียงไม่น้อยจริงๆ เจ้าเคยกินแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
เคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยกิน นั่นเป็นตอนกลับบ้าน จิ่วหรงพูดว่าอยากกิน แต่ให้คนซื้อกลับมากินไม่อร่อย ลู่อวิ๋นฉีบอกว่าเจ้านี่ต้องกินตรงนั้นถึงจะอร่อยมาก
คำพูดนี้ทำให้พวกนางพี่น้องสามคนล้วนเงียบไป
เพราะพวกนางไม่อาจเหยียบออกจากวังแห่งนี้ได้ โดยเฉพาะจิ่วหรงทั้งชีวิตนี้ล้วนไม่มีทาง
“ยังไม่เคย” นางส่ายศีรษะ “ได้ยินคนแนะนำ ยังไม่เคยไป”
หนิงอวิ๋นเจายื่นมือทำท่าเชิญ คุณหนูจวินก้าวเดิน
“ข้าน่ะคิดเรื่องหนึ่งได้” หนิงอวิ๋นเจาเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “โรงหมอของตระกูลเจ้าชื่อว่าโรงหมอจิ่วหลิง?”
คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่งขานรับ ในดวงตาฉายแววตาสงสัยบางๆแล้วยังมีความประหลาดใจอยู่บ้างแล่นผ่านไป
นางเดาได้แล้วว่าเขาน่าจะต้องการพูดอะไร แต่ก็รู้สึกว่าเขาไม่น่าจะอยากพูดเรื่องนี้
“ชื่อนี้อาจจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “ชื่อเดียวกันกับองค์หญิงจิ่วหลิงพระธิดาของอดีตองค์รัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไป”
อย่างที่คิด
คุณหนูจวินมองเขา
“เจ้าก็รู้จักองค์หญิงจิ่วหลิงเหมือนกันหรือ?” นางไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับเอ่ยถาม ในดวงตาแปลกใจมาก
เหมือนกัน?
หรือก็คือนางก็รู้จักเหมือนกัน?
นางย่อมรู้ บรรดาเด็กสาวอยู่ด้วยกันย่อมขาดการพูดถกถึงผู้หญิงคนอื่นในโลกไปไม่ได้ และองค์หญิงผู้เป็นกิ่งทองใบหยกสูงส่งอยู่เบื้องบนย่อมเป็นที่ปรารถนาของเด็กสาวทุกคน
เพียงแต่ต่อให้เป็นกิ่งทองใบหยกก็ไม่ใช่ล้วนควรค่าอิจฉา
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“แน่นอน” เขาว่า
ใช่สิ ย่อมแน่นอน พวกนางองค์หญิงชั้นจวินจู่สองคนที่เดิมทีจะได้เป็นองค์หญิงชั้นกงจู่เพราะพระบิดา ท้ายที่สุดก็ยังได้เป็นกงจู่เพราะพระบิดาจริงๆ เพียงแต่ความหมายขององค์หญิงชั้นกงจู่สองแบบนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ใครไม่รู้บ้างเล่า
“ชื่อเดียวกับองค์หญิงมีมากไป” คุณหนูจวินว่า “จะถกกันขึ้นมา โรงหมอจิ่วหลิงของตระกูลข้าเกิดขึ้นมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงชื่อต้องห้ามขององค์หญิง ข้าคิดว่าทางการราชสำนักคงไม่ลงโทษข้าเพราะเรื่องนี้”
แม่นางน้อยพูดจาท่าทางดื้อดึงอยู่บ้าง
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
แต่นี่ก็เป็นความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในตนเองที่คนอายุน้อยควรมี
“ใช่ ข้ารู้” เขาเอ่ยขึ้นทอดเสียงช้าลง “ที่ข้ากังวลไม่ใช่เรื่องนี้”
คุณหนูจวินมองเขา ดวงตาของนางกลมดิกทั้งโตทั้งสุกใส ตอนที่ตั้งใจมองคน น่ารักยิ่ง
หนิงอวิ๋นเจาเคลื่อนสายตาหลบ
“เจ้าก็รู้ว่าองค์หญิงจิ่วหลิงเป็นภรรยาคนก่อนของหัวหน้ากองพันลู่แห่งกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ” เขาว่า
“ดังนั้นแล้ว?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
“หัวหน้ากองพันลู่คนนี้นิสัยพิลึกยิ่ง ทำตัวคาดเดาไม่ได้อย่างยิ่งเช่นกัน” หนิงอวิ๋นเจามองนาง นิ่งสงบทั้งจริงใจ “ข้ากลัวว่าเขาจะหาเรื่องทั้งที่ไม่มีอะไร”
“เขาจะสนใจโรงหมอจิ่วหลิงนี่ของข้าหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
แม้พูดเช่นนี้น่ากลัวอยู่บ้าง แต่นางย่อมไม่ใช่เด็กสาวที่ถูกทำให้กลัวง่ายดายประเภทนั้น
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ใช่” เขาว่า
บางทีอาจคิดมากเกินไปแล้ว แต่ลู่อวิ๋นฉีคนเช่นนี้หาเรื่องไม่ได้จริงๆ แล้วนางก็เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง นอกจากนี้ตระกูลฟางยังถือราชโองการออกมาแล้วอีกด้วย
ราชโองการของเช่นนี้ เป็นของดีแต่ก็เป็นของไม่ดีด้วย พวกองครักษ์เสื้อแพรต้องจ้องตระกูลฟางเขม็งแน่นอน
เวลานี้เขาหวังว่าเรื่องที่นางทำจะปลอดภัยราบรื่น เลี่ยงหายนะที่ไม่คาดฝัน ดังนั้นต่อให้เป็นเรื่องที่เดิมไม่มีความเกี่ยวข้องแม้แต่นิดแต่น้อยเขาก็ใส่ใจอย่างยิ่งเหมือนกัน คิดแล้วคิดอีกซ้ำไปมา
เขามองเด็กสาวคนนี้ เด็กสาวคนนี้ไม่กลัวนัก กลับยิ้มแล้ว
“นั่นก็ไม่เลว โรงหมอจิ่วหลิงของข้าจะได้มีชื่อแล้ว” นางว่า
รู้อยู่เชียวว่านางเป็นหญิงสาวที่ไม่ถูกขู่ให้กลัวง่ายๆ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีรูปแบบการเล่นหมากที่ทรงพลังดุดันในหัวใจแบบนี้ หยิ่งทะนง เชื่อมั่นในตนเองแล้วยังหัวแข็งด้วยสินะ
หนิงอวิ๋นเจายิ้มอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง
“เจ้าอย่าโกรธแบบนี้สิ” เขาว่า
แม้ไม่เห็นด้วย หรือจะบอกว่าตำหนิ แต่น้ำคำของเขากลับมีความอ่อนโยนที่แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้สึก
เสี่ยวติงที่ตามอยู่ข้างหลังร่างอดไม่ได้มองเขาทีหนึ่ง
นายน้อยเหมือนเช่นหยก ทำให้คนทุกคนรู้สึกราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิอาบไล้ กับบรรดาหญิงสาวสุภาพมีมารยาท กับบรรดาพี่สาวน้องสาวยิ่งปกป้อง
แต่มีเรื่องหนึ่งนายน้อยไม่เคยทำมาก่อน นั่นก็คือการกล่อม เขาเพียงแค่เอ่ยคำพูดออกมาอย่างอ่อนโยนเท่านั้น ส่วนเจ้าฟังไม่ฟังทำไม่ทำ นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เขาไม่สนใจ
ตอนนี้นายน้อยนี่กำลังกล่อมคุณหนูจวินอยู่หรือ
……………………………………….