Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 138
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 ตอนที่ 138 บังเอิญพบกันอีกครั้งในตรอกแคบ
บทที่ 138 บังเอิญพบกันอีกครั้งในตรอกแคบ
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตามมา คุณหนูจวินก็พาหลิ่วเอ๋อร์เดินวนไปพักหนึ่งแล้ว
อำนาจของหวังเฉาซื่อเห็นชัดนัก ที่ๆ ไปถึงไม่ใช่สายตาระแวงอย่างก่อนหน้าแล้ว แต่เป็นเสียงหัวเราะเยาะและความไม่พอใจ
“คนนี้แหละบอกว่าไม่รักษาคนจนไม่มีเงิน”
“บอกว่าไม่ใช่ใครก็เชิญนางได้”
“ถึงกับพูดเช่นนี้? แม่นางน้อยแบบนี้ นางมีความสามารถอะไรรึ?”
หมอเร่ที่เป็นหมอเร่ ประการแรกก็เพื่อรักษาคนที่อยู่ห่างไกลไม่สะดวกพบหมอเหล่านั้น ประการที่สองเดินทางรักษาชาวบ้านที่ไม่มีเงินหาหมอเหล่านั้น ถือยาถูกเหล่านี้ รับเงินค่าตรวจไม่กี่อีแปะ ตนเองเก็บเล็กผสมน้อยเลี้ยงปากท้อง ส่วนผู้อื่นก็ซื้อความหวังที่จะมีชีวิต
แต่คุณหนูจวินตอนนี้ไม่เพียงไม่ฟังคำแนะนำไปเป็นหมอที่ชนบทนอกเมืองหลวง ตรงกันข้ามกลับปฏิเสธการรักษาคนที่มาขอตรวจ นี่นับว่าทำลายชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“จะลองดูสิใครกันคู่ควรให้นางรักษา”
“อายุน้อยทำไมจิตใจเป็นเช่นนี้เล่า”
“พูดประโยคนั้นออกมาได้อย่างไร ยังมีหน้าบอกว่าตนเองเป็นหมออีก”
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้าน รู้สึกถึงสายตาโกรธแค้นชิงชัง ต่อให้เป็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผู้ได้รับและส่งสายตาเหยียดหยามเย็นชาสารพัดแบบมาครึ่งชีวิตก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แต่มองเด็กสาวสองคนด้านนี้ไม่มีไม่สบายสักนิด
คุณหนูจวินใจไม่มีวอกแวก คนรอบด้านมองนางอย่างไรล้วนไม่สนใจ และเมื่อคุณหนูจวินไม่สนใจ หลิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่สนใจด้วยถึงขั้นถือเป็นความภาคภูมิใจ
พวกเจ้าคนเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติให้คุณหนูของข้ารักษา สมควรอิจฉาริษยา
จุดนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนับถือพวกคุณหนูจวินนายบ่าวยิ่งนัก
คุณหนูจวินนายบ่าวเดินผ่านตรอกเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง กระดิ่งในมือไม่เคยหยุด เขย่าเป็นจังหวะอยู่เสมอ เสียงเดียวซ้ำซากอยู่มาก แต่ฟังแล้วกลับไม่ทำให้คนรู้สึกรำคาญ
เมื่อเข้าไปในตรอกแคบแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนก็เดินออกมาจากด้านในประตูเรือนหลังหนึ่ง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันส่งเสียงหัวเราะครื้นเครง
เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้น ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็เห็นคุณหนูจวินที่เดินเอื่อยอยู่ด้านหน้าหยุดยืนกะทันหัน
คงจะหลบเลี่ยงคนพวกนี้สินะ
ตรอกนี้ไม่ใหญ่ ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนนี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ออกันออกมาเหมือนจะยึดเต็มตรอก
คนเหล่านี้หันหลังให้ฝั่งนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วจำใครไม่ได้ เพียงแต่มองแผ่นหลังบรรยากาศล้วนไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาก็หยุดยืนด้วย แต่ตอนที่เขาเพิ่งหยุดยืนนี่เอง คุณหนูจวินพลันยกเท้าพุ่งไล่ตามคนเหล่านั้นไป
“จูจั้น” นางร้องเรียก
จูจั้น?
ชื่อนี้เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ในใจผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดขึ้น หลังจากนั้นก็มองเห็นบรรดาชายหนุ่มด้านหน้าหยุดฝีเท้าหันกลับมา
แต่มีคนหนึ่งไม่หันกลับมา ยังคงก้าวยาวเดินส่ายไปข้างหน้า
“จูจั้น!” คุณหนูจวินร้องเรียกอีกครั้ง ไม่กี่ก้าวก็ไล่ไปทันคนเหล่านี้ด้านหน้า
ชายหนุ่มคนนั้นยังคงไม่หันกลับมา ตรงกันข้ามกลับเพิ่มฝีเท้าเร็วขึ้น
บรรดาชายหนุ่มที่หยุดฝีเท้ามองแม่นางน้อยคนนี้แล้วก็มองดูชายหนุ่มด้านหน้า สีหน้าต่างกันไป บางคนหัวเราะขึ้นมา
คุณหนูจวินไม่ได้หวาดกลัวสายตาสำรวจของพวกเขา ตัดตรงดิ่งผ่านระหว่างพวกเขาไป คว้าแขนชายหนุ่มที่เดินไปข้างหน้าไว้
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มราวกับแมวแตะโดนน้ำสะดุ้งโหยง สะบัดแขนของนางออก ในที่สุดก็หันกลับมา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองเห็นหน้าของชายหนุ่มคนนี้แล้ว หน้าตาหล่อเหลาใต้แสงตะวันของฤดูร้อนแจ่มชัดเป็นพิเศษ แล้วก็ทำให้ทั้งตัวทั้งใจของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเย็นวูบในพริบตา ขับไล่ความอบอ้าวออกไป
แม้ชายหนุ่มคนนี้น้อยครั้งจะปรากฏตัวที่เมืองหลวง แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวล้วนจุดเรื่องครึกโครมให้เมืองหลวงพักหนึ่ง ไม่ว่าอายุสิบสองหรืออายุยี่สิบสอง
ดังนั้นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรู้จักเขา
บุตรชายของเฉิงกั๋วกง จูจั้น
แต่ที่ทั้งร่างทั้งหัวใจเย็นวูบนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงที่นี่
บุตรชายเฉิงกั๋วกงถูกสามกรมสอบสวน คำตัดสินสุดท้ายของฮ่องเต้ยังไม่ตัดสินลงมา ตามหลักแล้วเวลานี้ท่านชายควรถูกกักตัวอยู่ที่ศาลต้าหลี่หรือคุกขององครักษ์เสื้อแพร แต่นั่นก็แค่ตามหลักเท่านั้น ผู้ใดเห็นเขาเตร็ดเตร่บนถนนก็คงไม่ประหลาดใจ
มีอะไรน่าประหลาดใจเล่า เขาเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงนะ ทำเรื่องอะไรก็ไม่ประหลาด
ที่ทำให้เขาทั้งตัวทั้งใจเย็นวูบก็คือคุณหนูจวินถึงกับรู้จักกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง
ผิด นี่ไม่ใช่เพียงคุณหนูจวินรู้จักบุตรชายเฉิงกั๋วกง ก็เหมือนกับตนเอง เหมือนกันคนมากมายในเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้จักเขา แต่เขาไม่ได้รู้จักทุกคน
พวกเขารู้จักกัน คุณหนูจวินจำบุตรชายเฉิงกั๋วกงได้ บุตรชายเฉิงกั๋วกงก็จำคุณหนูจวินได้
แม้บุตรชายเฉิงกั๋วกงก้าวยาวไปข้างหน้าไม่สนใจคุณหนูจวิน แต่นี่ในสายตาของคนอายุเช่นนี้อย่างผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น ตรงกันข้ามยิ่งพิสูจน์ว่าสองคนนี้จำกันได้ ไม่เช่นนั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงคงไม่จงใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเช่นนี้
เจ้าดูสิ คุณหนูจวิน คว้าแขนของบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้ว!
การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เด็กสาวคนใดจะกล้าทำกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง!
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเบิกตาโต
ดู บุตรชายเฉิงกั๋วกงสลัดมือของคุณหนูจวิน แต่ไม่ได้โกรธ
“เจ้าทำอะไร! อย่ามาจับนู่นจับนี่ผู้อื่น” จูจั้นถลึงตาตวาดขึ้น แล้วกดเสียงลงอีก “ที่นี่ไม่ใช่หรู่หนาน”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น
พวกเขาพูดกัน ชายหนุ่มคนอื่นก็เดินเข้ามาพกพาความสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างประเมินคุณหนูจวิน มีชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดคิ้วเรียวดวงตายาวคนหนึ่งกอดไหล่จูจั้น ยิ้มให้คุณหนูจวิน
“ใครกันล่ะนี่?” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “แนะนำหน่อยสิ”
หัวไหล่จูจั้นเคลื่อนหลุดจากเขา
“ไม่รู้จัก” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่รู้จัก คนเรียกชื่อเจ้าอยู่” ชายหนุ่มยิ้มเอ่ยขึ้น
จูจั้นแค่นเสียง
“ช่วยไม่ได้ ก็ข้าดึงดูดสายตาคนปานนี้” เขาว่า
บรรดาชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา
แม้หัวเราะอยู่ สายตาก็สังเกตคุณหนูจวิน เห็นบนหน้าของนางไม่มีความหวาดกลัววิตกสักนิด แม้กระทั่งเขินอายก็ไม่มี ถึงขนาดยังหัวเราะไปด้วยกันกับพวกเขาอีก
นี่คนคุ้นเคยนี่
นอกจากนี้เด็กสาวคนนี้ช่างเป็นตัวของตัวเอง
ไม่อย่างนั้นจะถึงขั้นเฉยๆ สบายๆ ต่อหน้าจูจั้นได้อย่างไร
“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์อุ้มธงตามเข้ามา ร้องเรียก
สายตาของเหล่าชายหนุ่มจับบนธงสีสดที่หลิ่วเอ๋อร์ยกอยู่
“รักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ได้ยาโรคหาย ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดอ่านออกมา สีหน้าประหลาดใจมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง มองหีบยาที่นางสะพายหลังอยู่ รวมถึงกระดิ่งที่ถืออยู่ในมือ “เจ้า เป็นหมอ?”
คุณหนูจวินขานรับ
“หมอเร่” นางยิ้มเอ่ยออกมา ย่อเข่าคำนับ
หมอเร่?
บรรดาชายหนุ่มเหล่านี้ย่อมรู้จักว่าหมอเร่คืออะไร สีหน้ายิ่งประหลาดใจ
“คุณหนูเป็นหมอจริงๆ รึ”
“เจ้ารักษาโรคอะไรได้”
พวกเขาแย่งกันเอ่ยถาม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเวลานี้ในใจพ่นลมหายใจ เข้าใจอยู่บ้างแล้วก็ประหลาดใจอยู่บ้าง
พูดเช่นนี้ คุณหนูจวินจะตามหาบุตรชายเฉิงกั๋วกงที่ช่วยนางสร้างชื่อได้สินะ
หลายวันมานี้วนไปเวียนมาก็เพื่อพบเขาสินะ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอดไม่ได้พยักหน้า
เทียบกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้ว อาการป่วยของหวังเฉาซื่อไม่คู่ควรให้พูดถึงจริงๆ
แต่บุตรชายเฉิงกั๋วกงจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือเหมือนคุณชายสิบหนิงหรือ?
ได้ยินคำถามของบรรดาชายหนุ่ม คุณหนูจวินก็ยิ้มแย้มตอบทีละคำถาม
“ข้าเป็นหมอสิ”
“ข้ารักษาโรคได้มากมาย”
บรรดาชายหนุ่มมองประเมินนางด้วยสีหน้าคลางแคลง
“เจ้าอายุเท่าไร? เป็นหมอไม่ใช่อายุมากถึงรักษาได้มากมายหรือ?” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดยิ้มตาหยีเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
“ถึงข้าจะอายุน้อย แต่ข้ามีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียวไง” นางว่า
ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดอดไม่ได้หัวเราะพรืด พวกชายหนุ่มคนอื่นก็สีหน้าพิกลหัวเราะออกมาเหมือนกัน
“มิน่ารู้จักกับน้องรองจูได้” ชายหนุ่มกระแอมสองทีตบไหล่จูจั้นยิ้มเอ่ยขึ้น “ที่แท้ล้วนเป็นคนฉลาดนี่เอง”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่ใช่คำชมอันใด
ในใจผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ยืนอยู่ไม่ไกลคิด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก คนฉลาดทำไมไม่ใช่คำชม
……………………………………….