Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 158
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 158 ทิวทัศน์งามยากเมามาย
บทที่ 158 ทิวทัศน์งามยากเมามาย
โดย
Ink Stone_Romance
เวลานี้คุณหนูจวินไม่อยากพูดกับเขา
นางก้มศีรษะลุกขึ้นมาหมุนตัวเดินออกไป
ด้านหลังร่างเสียงฝีเท้าติดตามมา คุณหนูจวินหันกลับไป
“ท่านชายครั้งนี้ไม่ใช่ข้าตามท่านแล้ว” นางเอ่ย
“ข้าถามเจ้า เจ้าตามข้าทำอะไร?” จูจั้นเอ่ยขึ้น ในดวงตาท่าทางพินิจพิจารณา
“ข้าไม่ได้ตามท่าน” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ย
“เจ้าพูดคำนี้ ตนเองเชื่อไหม?” จูจั้นเอ่ย “เจ้าลองใช้จิตใจดีงามคิดๆดู คั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ทำไมข้าไปถึงที่ไหนเจ้าก็ไปถึงที่นั่น?”
คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ
“คงเป็นวาสนากระมัง” นางเอ่ย
จูจั้นจิ๊ปาก กำลังจะพูดคุณหนูจวินก็เดินต่อไปแล้ว
“เฮ้เฮ้” เขาตามมาอีก ไม่กี่ก้าวยืนอยู่ตรงหน้าคุณหนูจวิน “ข้าพูดกับเจ้าให้ชัด เจ้ากับข้าสองฝ่ายไม่ยุ่งเกี่ยว ข้าไม่ขุดคุ้ยว่าเจ้าคิดทำอะไร หลังจากนี้อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก”
สองฝ่ายไม่ยุ่งเกี่ยว
อะไรก็ไม่เกี่ยวกับนางทั้งน้น
คนที่รู้จักเหล่านั้นก็ล้วนไม่รู้จักนางอีกแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้คนอยากเป็นบ้าจริงๆ
คุณหนูจวินไม่ได้เป็นบ้า น้ำตาของนางร่วงเปาะแปะลงมา
จูจั้นสะดุ้งโหยง เหมือนแมวแตะโดนน้ำกระโดดออกห่าง
“โว้ย เจ้าเอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว” เขาเอ่ย มองซ้ายขวา “นี่ไม่ใช่หรู่หนานของพวกเจ้านะ”คุณหนูจวินอดไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมาอีกครั้ง ถลึงตามองจูจั้นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
“เจ้ากับข้าเดิมทีก็ไม่ข้องเกี่ยวกันอยู่แล้ว เจ้ามีอะไรให้ร้องห่มร้องไห้ เจ้าคิดว่าร้องไห้นิดหน่อย ข้าก็จะใจอ่อนหรือ? เรื่องราวจะเป็นอย่างที่เจ้าหวังหรือ?” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ยขึ้น
นั่นก็ใช่
ร้องไห้นิดหน่อย คนอื่นก็ไม่ใจอ่อน เรื่องราวก็ไม่มีทางเป็นอย่างที่ตนเองปรารถนา
คุณหนูจวินยกมือเช็ดน้ำตา
“ข้าแค่ร้องไห้ให้ขนมถั่วแดงของข้า” นางว่า “ท่านอย่าคิดมากสิ”
จูจั้นแค่นเสียงอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ยื่นมือส่งกล่องกระดาษใบหนึ่งไปให้
คุณหนูจวินงงงันไปครู่หนึ่ง
นี่คือ…
ขนมถั่วแดง?
นางมองจูจั้นประหลาดใจอยู่บ้าง
เมื่อครู่เขาซื้อมา?
ให้นางหรือ?
“อย่าคิดไปเอง” จูจั้นเอ่ย ยื่นมืออีกข้างมากวัก “เอาเงินมา”
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง หยิบถุงเงินออกมาจริงๆ ตั้งใจนับเงินสิบอีแปะวางในมือเขา
จูจั้นตอนนั้นถึงส่งขนมถั่วแดงให้นาง หนึ่งประโยคไม่พูดหมุนตัวจากไป
“เฮ้” คุณหนูจวินจะเอ่ยวาจา
จูจั้นไม่แม้แต่จะหันกลับมายกมือขึ้น
“จำไว้ล่ะ สองฝ่ายไม่ยุ่งเกี่ยว อย่าตามข้ามาอีก” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินไม่ได้ตามไปอีก ส่ายศีรษะหัวเราะ ก้มหน้ามองขนมถั่วแดงในมือ เปิดออกบิก้อนเล็กๆวางเข้าปาก
ชิ…
ยังไม่อร่อยเหมือนเก่า
เป็นรสชาติประหลาดจริงๆ
นางเคี้ยวช้าๆเดินไปตามถนน
……………………………………
พวกองครักษ์เสื้อแพรล้อมปกป้องสี่ด้านในตรอกเส้นหนึ่งอยู่ ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ถึงลงจากม้าเดินเข้ามา หน้าประตู องครักษ์เสื้อแพรสองคนเปิดประตู
ลู่อวิ๋นฉีเดินเข้าไป หน้าประตูเทียบเชิญกองพะเนินอยู่ด้านหน้า
“ใต้เท้านี่คือเทียบเชิญเยี่ยมเยือนที่ส่งมาหลายวันนี้” เขาเอยขึ้น
ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน หัวหน้ากองพันลู่ผู้แต่ไหนแต่ไรมาไม่รับการเยี่ยมเยือนฉับพลันก็ต้อนรับบรรดาขขุนนางที่นี่
คงเป็นเพราะวันนั้นพบกับขุนนางบ้านนอกคนหนึ่งพาสาวใช้งดงามเดินทางมา และสาวใช้งามคนนั้นได้หัวหน้ากองพันลู่รับไว้กระมัง
แม้ลู่อวิ๋นฉีชื่อเสียงเลวร้าย แต่อำนาจตำแหน่งของเขาก็สูงมาก นี่ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่คนมากมายต้องการเกาะเขา
หลังจากนั้นคนมากกว่าเดิมก็ส่งเทียบเชิญมา ลู่อวิ๋นฉีพบบ้างเป็นบางครั้ง แต่มักจะเห็นคนเหล่านี้พาคนงามมาเป็นบ่าวหญิง
แม้สิบลี้แทบจะมีเพียงคนเดียวที่ถูกลู่อวิ๋นฉีต้องตา ก็เพียงพอให้บรรดาขุนนางบ้าคลั่ง
แต่วันนี้ไม่รอให้เวรยามอ้าปากอ่านเทียบเชิญเหล่านี้ ลู่อวิ๋นฉีก็โบกมือห้ามแล้ว
เวรยามรีบกลั้นเสียง
ถอยไป มองลู่อวิ๋นฉีตรงเข้าไปยังเรือนด้านหลัง
เข้าไปในเรือนใน ท่ามกลางร่มไม้เขียวมีเงาร่างหญิงสาว บางคนพิงราวกั้นมองมา บางคนวนออกมาจากหลังต้นไม้ บางคนวิ่งออกมาจากห้อง
หญิงเหล่านี้บ้างอวบบ้างผอม บ้างอายุสิบหกสิบเจ็ดปี บ้างยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี สีหน้าบ้างกังวล บ้างเขินอาย แล้วก็มีกระตือรือร้น
สายตาของลู่อวิ๋นฉีกวาดมองผู้หญิงเหล่านี้ทีละคนๆ
“ข้ากลับมาแล้ว” เขาเอ่ย บนหน้าเผยรอยยิ้ม
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวไว้เข้ามารับ
“อวิ๋นฉี” นางร้องเรียก ปิดบังความกระตือรือร้นไม่มิด
ลู่อวิ๋นฉียื่นมือรับนางไว้ โอบนางไว้ในอ้อมกอด ส่วนผู้หญิงคนอื่นแม้มีดูแคลนบ้างหงุดหงิดบ้าง แต่ก็ทยอยกันรุมเข้ามา
“อวิ๋นฉี”
“อวิ๋นฉี”
เสียงอ่อนเสียงหวานประสาน กลิ่นหอมดุจกล้วยไม้เลื้อยพัน
ลู่อวิ๋นฉียิ้มกางสองแขนออก โอบซ้ายกอดขวา
“จัดงานเลี้ยงเถอะ” เขาเอ่ย
ม่านราตรีทอดตัวลงมา ทั้งเรือนจุดไฟสว่างไสว บรรดาบ่าวหญิงเข้าออกเป็นระยะ ขนสุราอาหารยกขึ้นมาไม่ขาด
“อวิ๋นฉี เจ้าดื่มอีกจอกสิ”
ผู้หญิงคนหนึ่งพิงลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเสียงหวาน พลางยื่นจอกสุราไปถึงปากของเขา
ลู่อวิ๋นฉีไม่ลังเลสักนิดอ้าปากดื่มจากมือผู้หญิงคนนี้คำเดียวหมด ดื่มหมดยังไหลไปจุมพิตบนมือของหญิงสาวทีหนึ่ง
นางดีใจโอบคอของเขาไว้
ผู้หญิงสองข้างมอง บางคนอาย บางคนชิงชัง บางคนไม่ยอม
ตอนนั้นก็มีสองคนเบียดเข้ามา
“อวิ๋นฉี ยังมีข้าด้วย” พวกนางเอ่ยเสียงหวาน
ผู้หญิงที่จงใจส่งมาเหล่านี้ล้วนสั่งสอนมาโดยเฉพาะ ส่วนบนโต๊ะยังมีคนที่ไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อน แม้อายหน้าแดงมือไม้ไม่รู้จะวางตรงไหน แต่คิดถึงคำสั่งกับความคาดหวังของที่บ้านก็ล้วนถือจอกสุราขึ้นมาตามเข้าไป
ลู่อวิ๋นฉีไม่ปฏิเสธคนที่มา สุราไม่ปฏิเสธ คนก็ไม่ปฏิเสธ ผู้หญิงทั้งหมดล้วนเบียดมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา เสียงหวานคำหวานเต็มไปหมด สอดแทรกด้วยเสียงหัวเราะดังของลู่อวิ๋นฉี ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกดังขึ้น บรรดาหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างร้องเสียงแหลม เก้าอี้ที่ลู่อวิ๋นฉีนั่งอยู่เพราะถูกชนเบียดจึงล้มลงไป
บรรดาหญิงสาวในอ้อมกอดล้วนถูกดึงล้มลงไปด้วย ล้มนั่งซ้อนทับกันเป็นชั้นๆในอ้อมกอดของลู่อวิ๋นฉี
เสียงหัวเราะของลู่อวิ๋นฉียิ่งดัง กอดพวกนางกลิ้งบนพื้นดินเสียอย่างนั้น
เสียนหวีดร้องเสียงหัวเราะของบรรดาหญิงสาวยิ่งสับสน ทำให้เรือนทั้งหมดกลายเป็นเริงโลกีย์
กำลังหัวเราะกำลังโวยวายอยู่ ทันใดนั้นลู่อวิ๋นฉีก็ดันผู้หญิงบนร่างในอ้อมกอดออก
“ยามใดแล้ว?” เขาเอ่ยถาม
“ยามไฮ่[1]แล้ว” บรรดาสาวใช้เอ่ยขึ้น
เป็นเวลาหยุดพักแล้ว
สีหน้าของบรรดาหญิงสาวเคร่งเครียดทันที คาเหวังมองไปยังลู่อวิ๋นฉีที่ยังนั่งอยู่บนพื้น
ลู่อวิ๋นฉีได้ยินก็กระโดดลุกขึ้น
“ดึกขนาดนี้แล้ว ควรไปแล้ว” เขาเอ่ย
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปข้างนอก
บรรดาหญิงสาวทยอยลุกขึ้น
“อวิ๋นฉี”
พวกนางร้องเรียกติดตามไป
ลู่อวิ๋นฉีก้าวพ้นธรณีประตูไปแล้ว ได้ยินเสียงหมุนกลับมา
บรรดาหญิงสาวก็หยุดเท้ามองเขาอย่างคาดหวังอาลัยอาวรณ์
“อวิ๋นฉี” ผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียก สีหน้าเอียงอาย
ลู่อวิ๋นฉีมองนางแล้วกวาดมองหญิงสาวเหล่านี้ บนหน้าเผยรอยยิ้ม
บรรดาหญิงสาวสีหน้าค่อยๆยินดี อดไม่ได้จะก้าวมาข้างหน้าอีกก้าว
“ข้าไปล่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย ใต้แสงโคมแกว่งไกวแววตาอ่อนโยน สีหน้ายังคงอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง พูดจบหมุนตัวก้าวจากไป ทิ้งคำเอ่ยรั้งของบรรดาหญิงสาวด้านหลังไว้หลังร่าง
ฝั่งนี้ไม่ใช่เมืองคึกคัก ยามไฮ่บนถนนใหญ่ว่างเปล่าไม่มีสักน
ลู่อวิ๋นฉีมีองครักษ์เสื้อแพรกองหนึ่งปกป้องเดินทางไปตามถนน
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรแม้ไม่ได้เคลื่อนไหวเสียงดัง แต่เทียบกับกลางวันเคร่งเครียดกว่าอยู่มาก
ลู่อวิ๋นฉีมักเผชิญกับการลอบสังหาร กลางวันเดินทางยังทำเนา ค่ำคืนเดินทางอันตรายยิ่งมาก
ลูกศิษย์ลูกหาของบรรดาขุนนางเหล่านั้นที่ถูกทำร้าย บางทีก็เป็นพวกที่รับเงินมาตาย อาศัยราตรีซุ่มซ่อน รอคอยโจมตีคนชั่วช้าคนนี้
“ใต้เท้า หลังจากนี้กลางคืนค้างคืนที่ด้านนั้นเถอะ” ผู้ติดตามข้างกายอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่หลายครั้งแล้ว ยังตัดผ่านจุดนี้ไปมาระหว่างบ้านสองหลัง คุ้นชินกับความสะดวก ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
สีหน้าของลู่อวิ๋นฉีบางทีอาจเพราะดื่มสุราเป็นเหตุ เทียบกับยามกลางวันลุ่มลึกกว่ามาก เขาปรือตานั่งอยู่บนม้าโยกไปมาเบาๆ ท่าทางเมามายอยู่นิดหน่อย
“ไม่” เขาเอ่ยตอบกระชับชัดเจน
คนติดตามไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก ดาบปักวสันต์ในมือกำแน่นระแวดระวังสี่ด้านแปดทิศ
บนถนนใหญ่มีเพียงเสียงกีบเท้าม้าก้องกังวาน ยังดีตลอดทางไม่มีการเคลื่อนไหวผิดแปลก ด้านหน้าแสงโคมค่อยๆสว่างไสว มองเห็นประตูใหญ่จวนสกุลลู่
ด้านหน้าประตูมีบรรดาองครักษ์เสื้อแพรทรอคอยมองมาทางคนฝั่งนี้อยู่ก่อนแล้ว คนกลุ่มหนึ่งเข้ามารับ อีกหลายกลุ่มเปิดประตู
คนและม้ากระจายตัวอยู่ด้านหน้าประตู ลู่อวิ๋นฉีได้องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งพยุงลงจากม้า
เขายิ่งเมามายหนัก ก้าวเท้าโซเซอยู่บ้าง ไม่อาจไม่ใช้มือเกาะหัวไหล่คนติดตาม ตอนที่จะก้าวเท้าขึ้นบันไดนั่นเอง ท่ามกลางความมืดเสียงคมอาวุธพร้อมกับเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น
องครักษ์เสื้อแพรสองข้างได้ยินเสียงเคลื่อนไหวทันที องครักษ์เสื้อแพรที่พยุงลู่อวิ๋นฉีผลักลู่อวิ๋นฉีไปด้านหลังม้าในเวลาเดียวกัน
ม้าส่งเสียงร้องยกขาหน้า ลูกศรดอกหนึ่งจมเข้าไปในตัวม้า
“มีมือสังหาร”
เสียงตะโกนดังรอบด้าน ดาบกระบี่ออกจากฝัก ที่แจ้งที่ลับคนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปตรงที่ลูกศรออกมา ในเวลาเดียวกันคนมากกว่าเดิมก็ล้อมลู่อวิ๋นฉีไว้
……………………………………….
[1] ยามไฮ่ (亥时) เวลา 21.00 -23.00 น.