Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 163
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 163 ไร้เมตตา
บทที่ 163 ไร้เมตตา
โดย
Ink Stone_Romance
“ก็ไม่รู้ว่าทำไมกินยาสามเทียบก็หายดีแล้ว”
“เด็กคนนั้นอายุน้อย พวกเราก็ไม่กล้าเชื่อ กำลังจะเชิญหมอหลวงเจียงท่านมาดูอยู่เลย”
“หมอหลวงเจียงท่านยุ่งเกินไปแล้ว พวกเราก็ไม่สะดวกรบกวน”
“ท่านมาพอดี ดูๆ ให้นายหญิงของพวกเราหน่อยสิ ทำไมยาที่ท่านให้กินสิบวันครึ่งเดือนบอกลองๆ ดูก่อน ยาสามเทียบของนางก็บอกว่ารักษาหายได้?”
“ไม่กล้าเชื่อจริงๆ อย่างไรหมอหลวงเจียงท่านก็อายุมากขนาดนี้แล้ว ประสบการณ์มากมาย ก็ไม่รู้ว่าโรงหมอจิ่วหลิงนี่เอาความมั่นใจมาจากไหนรักษาข้าหายดี ท่านดูสิหายดีแล้วจริงไหม? คนอื่นข้าไม่เชื่อ ข้าเชื่อแต่หมอหลวงเจียง”
คิดถึงตรงนี้เจียงโหย่วซู่ก็อึดอัดวูบหนึ่ง
ผู้หญิงจวนติ้งหยวนโหวนี่ตั้งใจเยาะหยันเขา ล้อเขาเล่นน่ะสิ
ตนเองหายดีหรือไม่ ตนเองไม่รู้หรือ
เห็นผู้หญิงกลุ่มนี้เยาะเย้ยถากถางท่าทางกระปรี้กระเปร่า ก็รู้แล้วว่าพวกนางสบายดีนัก
หายแล้วก็ไม่ให้คนไปบอกสักคำ ยังเอายาจากสำนักแพทย์หลวงต่ออีก ตั้งใจล่อเขามาถึงบ้านวันนี้น่ะสิ
ผู้หญิงเรือนในเหล่านี้ ช่าง…
สายตาตื้นเขินหยาจื้อ[1]ต้องชำระแค้นไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่อง
มีเพียงผู้หญิงกับคนพาลยากกล่อมเกลา
เขาเจียงโหย่วซู่ไม่ถือสาหาความกับผู้หญิงเรือนในเหล่านี้ และไม่อิจฉาผู้อื่นวิชาแพทย์สูงส่งกว่าเขา บัณฑิตหามีที่หนึ่ง[2] วิชาแพทย์ก็เป็นเช่นนี้ด้วย ไม่อาจปฏิเสธว่าท่านหมอบางคนมีวิชาเป็นเอกเกี่ยวกับโรคบางโรค เขาจึงมาขอความรู้บ้างไม่อับอายเอ่ยถาม
ผลสุดท้ายไม่คิดว่าจะได้เห็นฉากเช่นนี้
หมอ โดยทั่วไปหมอผู้รักษาโรคต้องสงบจิตตั้งปณิธาน ไร้ปรารถนาไร้สิ่งร้องขอ มอบเมตตายิ่งใหญ่ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่ดูคนสูงต่ำรวยจน เท่ากันระดับเดียว
ไม่เคนเห็นการเลือกคนไข้เช่นนี้มาก่อน นี่เป็นความอัปยศของหมอชัดๆ
เจียงโหย่วซู่ยกเท้าก้าวไปข้างหน้า
“เฮ้เฮ้ ตาแก่คนนั้น เข้าแถว” ผู้คนในแถวมองเห็นรีบร้องวุ่นวาย
พนักงานสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็รีบขวางไว้
“ผู้เฒ่าเข้าแถวด้วย” พวกเขาเอ่ยบอก
เจียงโหย่วซู่ฝ่ามือหนึ่งผลักพวกเขาออกไป
“ข้าไม่ได้มารักษา” เขาเอ่ยตรงดิ่งก้าวเข้าไป
“ไม่ได้มารักษาแล้วมาที่นี่…” พนักงานสองคนยังคงขวางไว้ ส่วนบรรดาหมอด้านข้างที่มองเห็นเจียงโหย่วซู่เข้าไปในโรงหมอจิ่วหลิงก็ตามเข้ามาด้วยทันที
“นี่คือหมอหลวงเจียงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง” พวกเขาประสานเสียงเอ่ยบอกวุ่นวาย ดันพนักงานสองคนออกโถมตามเข้ามา
ด้านในโถงที่เดิมเงียบสงบเปลี่ยนเป็นเบียดเสียดทันที
คุณหนูจวินรวมถึงคนที่กำลังปรึกษาอาการอยู่หันกลับมามองพวกเขา
“พวกเจ้าใคร?” เฉินชีเอ่ยถาม
“นี่คือหมอหลวงเจียง” บรรดาหมอทยอยเอ่ยขึ้น ยืนอยู่หลังเจียงโหย่วซู่
“หมองหลวงรึ” เฉินชีขมวดคิ้ว “หมอหลวงมารักษาที่นี่ก็ต้องต่อแถวนะ”
บรรดาท่านหมอส่งเสียงสบถอยู่ด้านหลัง พวกเขาต้องการเอ่ยปากวุ่นวาย เจียงโหย่วซู่ห้ามพวกเขาไว้ก้าวไปข้างหน้า
“ข้าไม่ได้มารักษา ข้ามาขอคำแนะนำ” เขาเอ่ย ยกมือไปทางคุณหนูจวิน
ขอคำแนะนำ?
หาเรื่องล่ะมั้ง?
เฉินชีเลิกคิ้ว
เรื่องเช่นนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็เป็นเรื่องดี
เขาไม่ได้เอ่ยวาจาอีกถอยไปก้าวหนึ่ง ชนกับฟางจิ่นซิ่วที่ได้ยินเข้าเดินเข้ามาจากด้านหลัง
“ไม่มีปัญหาใช่ไหม?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม
“ไม่มีปัญหา มีคนมาถึงประตูช่วยเสริมชื่อเสียงให้พวกเรามากกว่าเดิมแล้ว” เฉินชียิ้มเอ่ยเสียงเบา
ฟางจิ่นซิ่วมองเห็นเจียงโหย่วซู่แล้ว ร้องเอ๋ทีหนึ่ง
“หมอหลวงเจียงนี่” นางเอ่ย
“หมอหลวงก็ไม่ต้องกลัว” เฉินชีเอ่ย “ข้าเชื่อว่าคุณหนูจวินร้ายกาจกว่า”
ฟางจิ่นซิ่วยิ้ม
“แน่นอนไม่ต้องกลัว” นางเอ่ย
เดิมทีก็พ่ายแพ้อยู่แล้ว
คุณหนูจวินย่อมจำเจียงโหย่วซู่ได้เช่นกัน แต่เจียงโหย่วซู่ยังจำนางไม่ได้ ประการที่หนึ่งคนที่เขาพบมากมายเป็นไปไม่ได้ที่จะจำได้หมด ประการที่สองท่าทางและการแต่งตัวของคุณหนูจวินก็แตกต่างกับตอนที่เล่นละครอาละวาดครั้งนั้นที่ตระกูลฟางในหยางเฉิง
“หมอหลวงโปรดรอสักครู่” คุณหนูจวินเอ่ย มองไปทางคนที่มาขอรักษาตรงหน้าอีกครั้ง “นายหญิงบ้านเจ้าหากมีอาการเหล่านี้ไม่ต้องมารักษากับข้าที่นี่ หาโรงหมอสักแห่งเชื่อฟังคำกำชับของท่านหมอก็พอแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้ได้ยินเข้าดีอกดีใจลุกขึ้น
“ช้าก่อน” หมอหลวงเจียงเรียกผู้หญิงคนนี้ไว้ “นายหญิงบ้านเจ้าอาการป่วยเป็นอย่างไร?”
ผู้หญิงคนนั้นเมื่อครู่ก็ได้ยินคำแนะนำบอกว่านี่คือหมอหลวง เวลานี้ถูกถามไม่ได้ไม่พอใจแต่ยินดี
หมอหลวงเชียวนะ ไม่ได้พบได้ง่ายๆ
“พอดี คุณหนูจวินไม่รักษาโรคนี้ หมอหลวงท่านก็ลองดูจัดยาให้หน่อยสิเจ้าคะ” นางเอ่ย
นี่เรียกคำพูดอะไร! ให้หมอหลวงเจียงเก็บโรคที่คุณหนูจวินดูแคลนไม่รักษาหรือ?
บรรดาท่านหมอหลังร่างเจียงโหย่วซู่โกรธแค้นทันที
เจียงโหย่วซู่ห้ามพวกเขา ยื่นมือสื่อนัยให้ผู้หญิงคนนั้น
“ได้ เจ้าเล่ามาฟัง” เขาเอ่ย
ผู้หญิงจึงเล่าอาการป่วยออกมา ฟังอาการป่วยนี้ บรรดาท่านหมอด้านหลังร่างก็ยิ่งไม่พอใจ
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้ออกเทียบยาให้ผู้หญิงคนนี้ทันที แต่มองไปทางคุณหนูจวิน
“เจ้ารู้ว่านี่เป็นโรคอะไรไหม?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
เจียงโหย่วซู่ม้วนแขนเสื้อหยิบพู่กันบนโต๊ะด้านหน้านางเขียนพรึบพรับหลายทีเป็นเทียบยาอันหนึ่งออกมา
“เทียบยานี้ใช้ได้หรือไม่?” เขาส่งให้คุณหนูจวินเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ใช้ได้” นางว่า “ตรงกับอาการป่วย เหมาะสมอย่างที่สุด”
ออกเทียบยาเสร็จแล้ว? นอกจากนี้คุณหนูจวินยังยืนยันแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างดีใจยื่นมือมารับ หมอหลวงเจียงกลับไม่ให้ แต่มองคุณหนูจวิน
“เจ้าเป็น รักษาได้ ทำไมไม่รักษาให้นาง?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยวาจา ผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยปากก่อนแล้ว
“ท่านผู้นี้ไม่เข้าใจเสียแล้ว” นางเอ่ย “โรคเล็กน้อยกระจอกๆ เช่นนี้ไหนเลยจะใช้คุณหนูจวินมารักษาได้”
“อะไรเรียกโรคเล็กน้อยกระจอกๆ?”
“อะไรเรียกไม่ต้องใช้?”
“นางเปิดโรงหมอไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่หมอรึ?”
“หากบอกว่ารักษาไม่ได้อาจเลือกได้ ไม่ใช่รักษาได้กลับบอกว่าไม่รักษา เหตุผลอะไร”
บรรดาท่านหมออดไม่ไหวพากันเอ่ยขึ้น
ผู้หญิงถูกความโกรธแค้นของท่านหมอเหล่านี้ทำตกใจสะดุ้งโหยง ไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก
เจียงโหย่วซู่ห้ามเสียงเอะอะของบรรดาท่านหมอด้านหลังร่าง ส่ายเทียบยามองคุณหนูจวิน
“คนมีวาสนาถึงรักษา ไร้วาสนาก็ไม่รักษา อะไรเรียกวาสนา? เจ้าเอาอะไรมาพูดถึงวาสนา?” เขาเอ่ยเสียงจริงจัง “เจ้าไม่รักษาให้นาง ไม่ใช่เพราะนางตระกูลต่ำต้อยเงินน้อยไม่ใช่ตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเสียเวลาด้วยงั้นรึ?”
เป็นแบบนี้หรือ?
เพราะยากจนถูกคนรังเกียจดูแคลน อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ ผู้หญิงที่มาปรึกษาอาการคนนั้นสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“เฮ้ เจ้าอย่ามาพูดส่งเดชนะ” เฉินชีอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
หากบอกว่าให้ฟ้าเลือกว่าจะรักษาใคร บรรดาชาวบ้านล้วนยอมรับได้ แต่หากมีคนมาเลือกย่อมไม่อาจทำให้คนยอมรับได้ขนาดนั้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเกี่ยวพันถึงเงินทองพูดถึงฐานะ นี่เป็นสิ่งที่กระตุ้นความโกรธของชาวบ้านได้มากที่สุดแล้ว หากถูกใส่ความเรื่องนี้จริง ชื่อเสียงของโรงหมอจิ่วหลิงคงไม่ดี
“ข้าพูดส่งเดชหรือ?” เจียงโหย่วซู่อ่ย “หลังเจ้าเข้าเมืองหลวงเปิดโรงหมอจิ่วหลิงนี่ รับรักษาห้าครั้ง ห้าตระกูลนี้ไม่ใช่คนมั่งคั่งก็เป็นผู้มียศศักดิ์ ค่ารักษาค่ายายังไม่ทันไรก็เป็นพันตำลึง หรือไม่ใช่เรื่องจริง?”
ค่ารักษาไม่ทันไรก็เป็นพันตำลึง
ชาวบ้านเหล่านี้กับท่านหมอเหล่านี้หารู้ไม่
ทุกคนถกเถียงประหลาดใจ
ราคานี่แพงจนน่าตะลึงจริงๆ
“เทียบยานี้ของข้า” เจียงโหย่วซู่แกว่งเทียบยาในมือ “รวมถึงที่ข้าตรวจเมื่อครู่ ข้าเก็บเงินเจ้าทั้งหมดสิบตำลึงเงินก็พอ”
ผู้หญิงเค้นรอยยิ้มบาง สิบตำลึงเงินแพงอยู่บ้างแต่อย่างไรก็เป็นหมอหลวง สำหรับนางแล้วยังออกไหวก็สละได้
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเล่า” เจียงโหย่วซู่กลับมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง แกว่งเทียบยาในมือ “หากเจ้าถามอาการนี้ตรวจโรคนี้ออกเทียบยาเทียบนี้ จะเก็บเงินเท่าไร?”
“แน่นอนไม่กี่ตำ…” เฉินชีอดไม่ได้เอ่ยต่อ
แต่คุณหนูจวินเร็วยิ่งกว่าเขา
“หนึ่งพันตำลึง” นางเอ่ย
หนึ่งพันตำลึง
คนในห้องล้วนอึ้งไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นมองคุณหนูจวินตกตะลึง
เฉินชียกมือนวดหน้าราวกับทนมองไม่ได้
“เชิญข้าตรวจหนึ่งพันตำลึงทอง ค่ายาคิดต่างหาก” คุณหนูจวินเอ่ยต่ออย่างละเอียด
มารดาข้า ผู้หญิงสีหน้าตะลึงงัน นางย่อมออกเงินจำนวนนี้ไม่ไหว ดังนั้นมิน่าคุณหนูจวินถึงไม่ออกเทียบยาให้นาง ถ้าพูดเช่นนั้นก็หาใช่นางไม่ใช่คนมีวาสนาจึงไม่รักษาครอบครัวของนาง แต่นางไม่ใช่คนร่ำรวยรักษากับคุณหนูจวินไม่ไหวสินะ
สีหน้าของผู้หญิงกลายเป็นซับซ้อน ชาวบ้านที่ล้อมอยู่ด้านนอกก็สีหน้าต่างกันไป โดยเฉพาะคนที่ต่อแถวอยู่มากมายก็เริ่มสลายตัว
ค่ารักษาแพงขนาดนี้พวกเขาย่อมออกไม่ไหว ยังไงอย่าเอาตัวเองไปถูกหมิ่นดีกว่า
บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนเป็นพิกล
บรรดาท่านหมอเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของชาวบ้านรอบด้าน ในใจอดสาแก่ใจไม่ได้ ให้พวกเจ้าชาวบ้านโง่เง่าเหล่านี้เห็นชัดว่านี่เป็นคนอย่างไรคนหนึ่ง ยังตาบอดชื่นชม คนอื่นไม่ได้ปฏิบัติกับพวกเจ้าเป็นคนด้วยซ้ำ
“เจ้าทำไมเก็บหนึ่งพันตำลึง?” มีหมอใจยุติธรรมโกรธแค้นเต็มอกตะโกนถาม เขาย่อมไม่กล้าเทียบกับหมอหลวงเจียง ค่ารักษาของเขาเพียงแค่หนึ่งสองตำลึงเท่านั้น
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“นั่นย่อมเพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกท่าน” นางเอ่ย
คำพูดนี้ทำให้ด้านในโถงใหญ่เงียบสนิทวูบหนึ่งอีกครั้ง
หน้าไม่อายจริงๆ
บรรดาท่านหมอมองนางมีเพียงความคิดนี้เพียงประการเดียว
……………………………………….
[1]หยาจื้อ (睚眦)ลูกชายตัวที่สองของมังกรนิสัยชอบการต่อสู้ มักถูกประดับไว้บนดาบ
[2] บัณฑิตหามีที่หนึ่ง (文无第一) บัณฑิตผู้เล่าเรียนศึกษาพึงมีความถ่อมตนดังนั้นย่อมไม่มีใครมองหรือรับว่าตนเองเป็นที่หนึ่ง