Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 164
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 164 คนผู้นี้ชื่อนี้ไม่ชอบ
บทที่ 164 คนผู้นี้ชื่อนี้ไม่ชอบ
โดย
Ink Stone_Romance
เจียงโหย่วซู่ก็มองเด็กสาวคนนี้ สีหน้าตะลึง
ฉับพลันรู้สึกว่าคำพูดนี้คุ้นเคยอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้เนิ่นนานก็เคยมีคนที่อยู่ดีๆ โผล่ออกมาถูกเล่าลือว่าเป็นดั่งเทพเซียนเช่นนี้ปรากฏตัวที่เมืองหลวง
เชิญเขารักษายากเหมือนปีนขึ้นฟ้าจริงๆ
นี่ไม่ใช่ท่าทีที่หมอคนหนึ่งควรมีสักนิด
ทุกคนล้วนเป็นหมอ ทำไมเขาจำต้องท่าทีเช่นนี้?
“นั่นย่อมเป็นเพราะวิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกเจ้า” เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง
หน้าไม่อายจริงๆ นะ
คนหน้าไม่อายคนนี้ชื่อจางชิงซาน ต่อมาในที่สุดเขาก็ออกไปจากเมืองหลวง หายไปจากโลกมนุษย์
คิดไม่ถึงหลายปีขนาดนี้ถึงกับพบคนเช่นนี้คนหนึ่งอีก
แล้วยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง
“ดังนั้น”
แม่นางน้อยคนนั้นยังเอ่ยต่อ
“ข้าจะรักษาแค่โรคที่พวกท่านรักษาไม่หาย อาการป่วยของครอบครัวท่านป้าคนนี้ ไม่ใช่ว่าข้ารักษาไม่ได้ ไปตรวจกับพวกท่านก็รักษาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเสียเงินที่นี่”
เจ้าบอกว่าตนเองวิชาแพทย์สูงส่งก็แล้วไป เจ้าโอ้อวดตนเอง คนอื่นก็ยุ่งไม่ได้
แต่อะไรเรียกว่ารักษาโรคที่พวกเรารักษาไม่หาย?
“เหลวไหล!” เจียงโหย่วซู่ตวาดเสียงทะมึน “อะไรเรียกโรคที่พวกเรารักษาไม่หาย? เจ้า…
แต่ครั้งนี้คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ คุณหนูจวินก็มองเขายิ้มอีกครั้ง
“โรคที่รักษาไม่หาย อย่างเช่นโรคของนายน้อยตระกูลฟางแห่งหยางเฉิง แล้วอย่างเช่นโรคของภรรยาของติ้งหยวนโหว” นางเอ่ย
ภรรยาของติ้งหยวนโหวยังทำเนา ท่านหมอที่อยู่ที่นั่นล้วนรู้ นายน้อยตระกูลฟางแห่งหยางเฉิงเป็นใคร พวกเขาไม่รู้แล้ว
นอกจากนี้โรคของสองคนนี้เป็นอย่างไร? รักษายากมากหรือ? ใครรักษา?
บรรดาท่านหมอมองหน้ากันสอบถาม ส่วนเจียงโหย่วซู่อึ้งไปแล้ว มองคุณหนูจวิน ความทรงจำเลือนรางปรากฏภาพเด็กสาวนั่งดื่มชาเดียวดายไม่อินังขังขอบอยู่บ้างท่ามกลางความโกลาหลเอะอะคนนั้นด้านในห้องของตระกูลฟางแห่งหยางเฉิง
“อ้อ เจ้านั่นเอง” เขายื่นมือชี้หลุดปากเอ่ยออกมา
รู้จัก? บรรดาท่านหมออึ้งมองหมอหลวงเจียงแล้วมองคุณหนูจวิน
“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง หมอหลวงเจียง ไม่พบกันนาน” คุณหนูจวินคำนับเอ่ยขึ้น
เจียงโหย่วซู่ใบหน้าตกตะลึงมองประเมินนาง
“เจ้า เจ้าคือนายหญิงน้อยฟาง?” เขาเอ่ย แล้วมองไปรอบโถงท่าทางเข้าใจขึ้นมาบางส่วน “ที่นี่คือโรงหมอของเต๋อเซิ่งชาง?”
“ไม่ใช่ ข้าทั้งไม่ใช่นายหญิงน้อยฟาง แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่โรงหมอของเต๋อเซิ่งชาง นี่คือโรงหมอจิ่วหลิงของตระกูลจวินของข้า” คุณหนูจวินเอ่ย “เวลานี้เล่าแล้วยาว ทั้งยังเป็นเรื่องในครอบครัวคงไม่พูดละเอียด เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมอหลวงเจียงท่านมีเพียงเรื่องเดียว ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ โรคของนายน้อยฟางหายดีแล้ว”
เจียงโหย่วซู่ไหนเลยจะรู้เรื่องของนายน้อยตระกูลฟาง เขาพบคนมากมายขนาดนั้นไหนเลยจะสนใจทุกคนได้ตลอดเวลา
แต่นายน้อยตระกูลฟางนี่เพราะเวลายังไม่นาน ทั้งโรคก็หนักมากจึงยังจดจำได้ยู่
โรคของนายน้อยตระกูลฟางหายดีแล้ว?
“นี่เป็นไปไม่ได้ !” เขาหลุดปากเอ่ย
นายน้อยคนนั้นเส้นปราณตีบตัน อวัยวะภายในทั้งห้าเสียหาย บ่งชี้ว่าชีวิตหมดสิ้น ตอนนี้น่าจะฝังลงดินไปนานแล้ว
นอกเสียจากมีเทพเซียนอยู่บนโลก ไม่มีทางหายดีได้เด็ดขาด
“หมอหลวงเจียง”
เสียงดังขึ้นด้านหลัง
ทุกคนหันมองไป เห็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแห่งเต๋อเซิ่งชางที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร เวลานี้ก้าวมาข้างหน้าคำนับ
“นายน้อยของพวกเราหายดีแล้วจริงๆ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย “เข้ามารับผิดชอบกิจการของตระกูลแล้ว ท่านสืบดูหน่อยก็จะรู้ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก”
นี่ไม่มีอะไรให้หลอกจริงๆ คนคนหนึ่งอยู่ดี หรือว่าตาย ถามทีเดียวก็รู้แล้ว หลอกไม่ได้
เจียงโหย่วซู่รู้สึกเพียงไม่น่าเชื่อ แล้วจากนั้นก็คิดตามคำพูดของคุณหนูจวินทัน
“เจ้า เจ้ารักษาหายดี?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ใช่แล้ว” นางเอ่ย “ข้ารักษาหายดีเหมือนกัน”
นางเติมคำว่าเหมือนกันคำหนึ่ง ย่อมเตือนเจียงโหย่วซู่ ภรรยาของติ้งหยวนโหวก็เป็นนางรักษาหายเหมือนกัน
เจียงโหย่วซู่อ้าปากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่บ้าง
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ หมอก็ไม่ควรกระทำการเช่นนี้” เขาเอ่ย “เจ้ารักษาได้แต่ไม่รักษา เพียงเพื่อเงิน”
“ก็ไม่นับว่าเพียงเพื่อเงิน นี่ก็เป็นความยุติธรรม” คุณหนูจวินเอ่ย “อย่างไรที่ข้ารักษาก็ล้วนเป็นโรคที่พวกท่านรักษาไม่ไหว”
ประโยคนี้ไม่ต้องพูดบ่อยนักดีหรือไม่?
บรรดาท่านหมอที่อยู่ที่นั่นมองนางสีหน้าอับอาย
“เรื่องยากย่อมต้องจ่ายเพิ่มอีกหน่อย โรคร้ายรักษายากไม่รักษาย่อมถึงชีวิต นี่เท่ากับซื้อชีวิต ย่อมต้องแพงอยู่บ้าง” คุณหนูจวินเอ่ย “อย่างไรชีวิตก็ประมาณค่าไม่ได้ เอาเงินทองกองเท่าภูเขาออกมาก็ไม่เกินไป”
ได้ฟังเหมือนจะมีเหตุผล
ท่านหมอที่อยู่ที่นั่นชั่วขณะไม่รู้จะพูดอะไรดี
เจียงโหย่วซู่เพ่งมองนาง
“ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความหมายของเจ้าก็คือโรคที่พวกเรารักษาไม่ได้ เจ้ารักษาหายดีได้?” เขาเอ่ย
นี่จะประกาศสงครามหรือ?
คำพูดนี้หากตอบรับ ย่อมเป็นการสู้กับท่านหมอทั้งเมืองแล้ว
ทุกคนล้วนมองไปทางคุณหนูจวิน
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วในดวงตาคัดค้านอยู่หลายส่วน แต่คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“ใช่” นางเอ่ย “โรคที่พวกท่านหมดหนทางจริงๆ มาลองดูที่นี่ของข้าได้”
นางเน้นเสียงหนักที่จริงๆ สองคำ
อะไรเรียกจริงๆ?
หรือพวกเขารักษาได้ไม่ได้ไม่ใช่พวกเขาบอก แต่เป็นนางบอก?
ถึงเวลาจะบอกว่าพวกเขาไม่ตั้งใจรักษาดีๆ ไม่ทุ่มเทใจรึ?
เด็กสาวคนนี้ใช่แค่หน้าไม่อายที่ไหนยังเจ้าเล่ห์อีกด้วย
บรรดาท่านหมอมองนาง
“ดี” เจียงโหย่วซู่เอ่ย มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง ไม่พูดจาอะไรอีก หมุนตัวจากไป
เขาจากไป ท่านหมอคนอื่นก็เจ้ามองข้าข้ามองเจ้ารีบตามออกไปด้วย
ชาวบ้านที่ล้อมอยู่ตรงประตูเป็นชั้นๆ มองพวกเขาชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์
คำสนทนานี้เมื่อครู่ยังทำให้อารมณ์ของชาวบ้านเปลี่ยนมาซับซ้อน
เดิมทีที่คุณหนูจวินบอกว่าคนมีวาสนาก็คือความหมายนี้หรือ
ที่แท้ค่ารักษาของคุณหนูจวินก็แพงขนาดนี้เชียว
ความลึกลับเกินจริงที่เล่าลือเหล่านั้นถูกเปิดเผยแล้ว บวกกับความจริงเรื่องเงิน คนที่ต่อแถวก็สลายตัวไปมาก
มองชาวบ้านที่ส่องอยู่นอกประตูไม่เข้ามาอีก เฉินชีวิตกอยู่บ้างมองคุณหนูจวิน
ไม่คิดว่างานใหญ่ยังไม่เริ่มต้นก็ถูกหมอหลวงอะไรคนนี้ก่อกวนเสียแล้ว
ความแค้นของเพื่อนร่วมอาชีพสินะ ที่สำคัญก็คือเพื่อร่วมอาชีพคนนี้ยังเป็นหมอหลวงคนหนึ่ง ขุนนางคนหนึ่งอีก
เมืองหลวงอยู่ไม่ง่ายจริงๆ นะ
“แบบนี้ หลังจากนี้เกรงว่าคนที่มาหาหมอคงน้อยแล้ว” เขาว่า
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ไม่มีทางหรอก” นางว่า “ไม่ว่ามีคนหรือไม่มีคนต่อแถว คนที่ข้าจะรักษาก็ยังเป็นคนบางคน”
นอกจากนี้นางก็ไม่ใช่รักษาเพื่อรักษาด้วย
ก็เหมือนอย่างที่เจียงโหย่วซู่พูด นางใช้เงินวาดเส้นแบ่ง รับรักษาเพียงครอบครัวที่มั่งคั่งและมียศศักดิ์เหล่านั้น
นางไม่ได้มาช่วยโลกช่วยชาวประชา นางเพียงมาช่วยตนเองและครอบครัวของตนเองเท่านั้น
นางหมุนตัวกลับไปยังที่นั่ง ในเมื่อไม่มีคนมาปรึกษาอาการ ถ้าอย่างนั้นก็เขียนบันทึกการแพทย์เถอะ
มองเด็กสาวที่ยกพู่กันอย่างสงบ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็สบตากับเฉินชีทีหนึ่ง
“ฟังนางเถอะ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
แม้ทุกครั้งรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ แต่ความเป็นไปของเรื่องราวมักจะเหนือความคาดคิดของผู้คนเสมอ นอกจากนี้ที่เหนือความคาดคิดของผู้คนนี้ล้วนเป็นเรื่องดี
ไม่ฟังนางแล้วจะเป็นอย่างไร เฉินชีพึมพำในใจ ขยิบตาให้ฟางจิ่นซิ่ว
อย่างไรก็ได้มากกว่าขายน้ำตาลปั้น
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้สนใจเขาหมุนตัวเข้าไป นอกจากทำบัญชี นางยังทำยาด้วยกันกับหลิ่วเอ๋อร์ด้วย
ก็ไม่ต่างกับขายน้ำตาลปั้นเท่าไรนัก
…
“ข้ารู้สึกว่าคำพูดของโรงหมอจิ่วหลิงฟังอย่างไรก็พิลึก”
บรรดาท่านหมอที่ออกจากโรงหมอจิ่วหลิงเดินจับกลุ่มสองคนสามคน ในนั้นคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ตามที่นางว่าโรคที่พวกเรารักษาไม่หายนางล้วนรักษาได้ ส่วนที่พวกเรารักษาหายได้ก็ย่อมรักษาหายได้แน่นอน ไม่มีอะไรแปลก?”
หมออีกคนหนึ่งพยักหน้าด้วย
“ฟังดูแล้วพวกเราเหมือนเป็นผู้ช่วยของนางเลย?” เขาเอ่ย
“คำพูดโอ้อวดใครก็พูดได้ ดูไปก่อนเถอะว่านางทำได้หรือไม่ได้” หมออีกคนหนึ่งยิ้มหยัน “หาเรื่องหมอหลวงเจียงนางลำบากแล้ว”
“ในมือหมอหลวงเจียงโรคร้ายรักษายากเท่าไร นอกจากนี้ล้วนเป็นผู้มียศศักดิ์ ถึงเวลาผลักมาให้นาง รับไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นนางก็รอเถอะ” ท่านหมอคนหนึ่งที่พูดก่อนหน้านี้หัวเราะเอ่ยขึ้นเหมือนกัน พลางลูบเครา “เป็นคนต้องเหลือทางถอย วันหน้าเผื่อพบกันใหม่ พูดจากระทำล้วนไม่อาจมั่นใจเต็มเปี่ยม คนเยาว์วัยไม่เข้าใจหลักการข้อนี้”
และเวลานี้เจียงโหย่วซู่กลับมาถึงสำนักแพทย์หลวงแล้ว ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดลมไม่ลอด บางทีอาจเป็นจวนติ้งหยวนโหวจงใจทำ เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ทุกคนก็ล้วนรู้เรื่องที่เจียงโหย่วซู่ถูกถากถางที่จวนติ้งหยวนโหวแล้ว
ลูกน้องก็ดีบรรดาศิษย์ก็ดีมองเจียงโหย่วซู่อย่างระมัดระวัง
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยเรียกศิษย์คนหนึ่ง
“เจ้าไปกรมสืบสวนฝ่ายเหนือถามเรื่องนายน้อยตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางที่หยางเฉิงสักหน่อย” เขาเอ่ย
พูดถึงรายละเอียดความจริงลวงของข่าว ที่พึ่งพาได้ที่สุดก็ยังเป็นกรมสืบสวนฝ่ายเหนือที่น่ากลัวที่สุดแห่งนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างหมอหลวงเจียงกับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือยังนับว่าใช้ได้ ตอนที่ได้ยินคำร้องขอของเขา เพราะเกี่ยวข้องกับตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางซึ่งฮ่องเต้ตรัสด้วยองค์เองว่าไม่ต้องถามอีกแล้ว องครักษ์เสื้อแพรที่รับเรื่องจึงแจ้งไปเบื้องบนทันที จนกระทั่งมาถึงต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี
“เจียงโหย่วซู่? เขาถามเรื่องนี้ทำอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม ในมือพลิกบันทึกหนาปึกเล่มแล้วเล่มเล่า
ลูกน้องย่อมสืบมาชัดเจนแล้ว เล่าเรื่องราวโดยละเอียดออกมา เพิ่งเอ่ยถึงโรงหมอจิ่วหลิง มือของลู่อวิ๋นฉีก็ชะงัก
“โรงหมอจิ่วหลิง?” เขาเอ่ยถาม
ลูกน้องถูกขัดก็ส่งเสียงตอบรับ
“โรงหมอที่รักษาภรรยาของติ้งหยวนโหวหายดีคือโรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ย มองลู่อวิ๋นฉี รอเขาสอบถามต่อ
ลู่อวิ๋นฉีกำบันทึก สีหน้านิ่งสนิทราบเรียบ
“ข้าไม่ชอบชื่อนี้” เขาเอ่ย
……………………………………….