Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 169
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 169 ที่เก่าคนเก่าไม่รู้จัก
บทที่ 169 ที่เก่าคนเก่าไม่รู้จัก
โดย
Ink Stone_Romance
คุณหนูจวินไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้น
นางควรคิดอะไรบ้าง แต่สักนิดนางก็ไม่อยากคิด
ถึงเป็นเช่นนี้ นางก็อาเจียนไม่หยุด บนร่างเหงื่อกาฬแตกพลักเหมือนจมลึกอยู่ใต้น้ำ
หญิงรับใช้กับคนรถที่ตามออกมาล้วนตกใจสะดุ้งโหยง
“อั้ยโยะ คุณหนูจวินท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” ป้าหวงรีบเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยายามกลับมาสงบลมหายใจ กดหน้าอกโบกมือให้นาง
“ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางเอ่ย สั่นเทาไปพลางมือเปิดหีบยาหยิบยาเม็ดหนึ่งเคี้ยวแหลกกลืนลงคอไปพลาง
ป้าหวงหัวเราะหึหึแล้ว
“ท่านหมอก็ไม่สบายได้เหมือนกันนะ” นางว่า พลางยื่นมือทำท่าเชิญ “ถ้าอย่างนั้นท่านรีบขึ้นรถเถอะ”
คุณหนูจวินส่ายหน้าให้นาง
“ไม่ล่ะ ข้าเป็นเช่นนี้นั่งรถยิ่งไม่สบาย ข้าจะเดินไปเอง เดินกลับไปก็แล้วกัน” นางเอ่ย
ได้ยินนางว่าเช่นนี้ป้าหวงก็ไม่เกรงใจอีก
คุณนายสามของนางวันนี้ได้รับความรักใหม่อีกครั้งแล้ว นางต้องทุ่มใจประคอง วันนี้ให้ดีที่สุดให้ใต้เท้าลู่ค้างอยู่ให้ได้
มาบ้านแห่งนี้นานขนาดนี้แล้ว ใต้เท้าลู่ยังไม่เคยค้างคืนสักครั้ง
คิดแล้วสุดท้ายก็คงเป็นเพราะแต่งงานกับองค์หญิง ไม่สะดวกค้างคืนนอกบ้าน
ตอนนี้แต่งงานมาเวลาหนึ่งแล้ว วันนี้ก็ดีใจที่คุณนายสามหายดีปานนี้ ให้คุณนายสามออดอ้อนขอร้อง ไม่แน่คืนนี้อาจค้างต่อก็ได้
คุณนายสามผู้ชาติกำเนิดมาจากครอบครัวขายชาคนนี้แม้กระทั่งเทียบกับสาวใช้ยังสู้ไม่ได้ เรื่องอะไรก็ทำไม่เป็น นางไม่สอนสักหน่อยไม่ไหว
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินท่านก็ระวังตนเองหน่อย” นางเอ่ย ไม่เกรงใจสักนิดหมุนตัวเข้าไปแล้ว
เห็นนางเป็นเช่นนี้ คนรถย่อมไม่เกรงใจอีกเดินตามเข้าไปด้วย
คุณหนูจวินพยุงกำแพงยืนตรงครู่หนึ่งจึงก้าวเดินช้าๆ ไม่ทันสนฝีเท้าที่เบาหวิวอยู่บ้าง ยิ่งเดินยิ่งเร็ว
รีบออกไปจากที่นี่เร็วหน่อย
ออกไปจากที่นี่
ในใจนางมีเพียงความคิดนี้
แต่หลังเดินมาระยะหนึ่งกลับสับสนอยู่บ้าง
ตอนมานางนั่งรถม้า ไม่ได้สังเกตเส้นทางที่เดินทาง เมื่อครู่ก็ก้มหน้าก้มตาเดินมั่วซั่ว ตอนนี้ชั่วขณะไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน
นางสะพายหีบยาเดินช้าๆ อยู่ครู่หนึ่งพลันมองเห็นประตูจวนหลังหนึ่ง ความรู้สึกคุ้นเคยโถมเข้าใส่ทันที
นี่คือจวนของเฉิงกั๋วกงนี่
นั่นเป็นสถานที่ไกลที่สุดที่นางมาถึงตอนออกจากวังครั้งแรก
คุณหนูจวินเดินช้าๆ เข้าไป
เทียบกับสิบปีก่อนจวนเฉิงกั๋วกงเห็นได้ชัดว่าเก่าลงไปบ้าง เฉิงกั๋วกงเดิมทีก็ไม่ได้อยู่ที่นี่บ่อย สิบปีนี้แทบจะไม่เคยกลับมา แม้ทิ้งข้ารับใช้ไว้ดูแลบ้าน แต่จวนหลังนี้ก็ต้องการกลิ่นไอคนมาหล่อเลี้ยง
คุณหนูจวินเดินเข้าไปจวน เดินช้าๆ ไล่ไปตามกำแพงสูงใหญ่ เดินไปช่วงหนึ่งก็หยุดเท้าแหงนศีรษะ
มียอดไม้สีเขียวครึ้มยื่นออกมาเหนือกำแพงกระดำกระด่าง แผ่ร่มเงาแถบหนึ่งข้างกำแพง
มุมปากนางอดไม่ได้เม้มทีหนึ่ง
เวลานั้นนางก็เหวี่ยงเชือกปีนขึ้นไปจากตรงนี้
ถ้าอย่างนั้นใกล้ๆ นี้ก็ต้องมีโพรงสุนัขโพรงหนึ่ง ไม่รู้ยังอยู่หรือไม่ นางอดไม่ได้ก้มศีรษะสอดส่อง กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาด้านหลังร่าง พร้อมกับมีคนร้องเอ๋
จูจั้น
คุณหนูจวินรีบหันกลับไป เห็นเป็นจูจั้นจริงๆ
เขาไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างกายมีสหายอ้วนกลมคนหนึ่งเดินมาด้วย
แต่จูจั้นร้องเอ๋แล้วกลับไม่ได้มองนาง
“เอ๋….พวกเจ้าไปตั้งแต่ตอนไหนทำไมข้าไม่รู้?” เขาเอ่ยต่อ
เสียงเอ๋นั่นราวกับไม่ได้เพราะเห็นนางเข้า
สหายอ้วนข้างกายเขาก็ร้องเอ๋ทีหนึ่งด้วย
“โธ่ ไม่ได้เพิ่งบอกเจ้าหรือ? ตอนนั้นข้ายังไม่กลับมาเลย” เขาเอ่ย “เจ้าไม่ได้ฟังรึ?”
จูจั้นร้องอ้อ
“ข้าลืมไปแล้ว” เขาเอ่ย สายตาไม่เหลือบแล สีหน้าจดจ่อเดินไปข้างหน้า “อย่างไรข้าก็เป็นคนรอรับโทษ ค่อนข้างวิตกความทรงจำถดถอยแล้ว”
สหายคนนั้นหัวเราะฮ่าฮ่า
คุณหนูจวินก็หัวเราะด้วยแล้ว มองจูจั้นที่เดินผ่านตนเองไปทางประตูจวน
เจ้าหมอนี่ทุกครั้งที่เห็นตนล้วนทำเป็นมองไม่เห็น
กลัวตนเองเกาะเขาขนาดนี้เชียว?
“จูจั้น” นางเอ่ยเรียก
จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่า กอดไหล่สหาย
“…อาหารของหอเต๋อเยว่มีอะไรน่ากินบ้าง..พวกเราไปนอกเมืองกินขาแกะกัน” เขาเอ่ยเสียงกังวาน
สหายคนนั้นหัวเราะฮ่าฮ่ายื่นมือดึงแขนเขา
“ขาแกะประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้มาพูดกันว่าแม่นางน้อยข้างหลังเป็นใครเถอะ” เขาเอ่ย พลางหมุนร่างกลับมา
รูปร่างอ้วนฉุ ดวงตาแทบจะถูกเนื้อบนหน้าบีบเป็นรอยแยกเส้นหนึ่ง สายตาจับอยู่บนร่างคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินก็มองเห็นเขา สีหน้าตะลึงเล็กน้อย
ท่านอาสิบสอง
ท่านอาสิบสองโอรสองค์เล็กของพระอัยกาผู้ถูกแต่งตั้งเป็นเสียนอ๋อง ได้รับพระราชกรุณาอนุญาตให้อยู่ในเมืองหลวงไม่ไล่ไปชนบท
หรือก็คือองค์ชายสิบสองที่ทะเลากับจูจั้นคนนั้นเมื่อตอนนั้น
ยังคิดว่าหลังทะเลาะคงไม่ไปมาหาสู่ตราบจนวันตายแล้ว คิดไม่ถึงเขาถึงกับกอดคอกอดไหล่คุยเล่นอยู่กับจู่จั้นเช่นนี้
เสียนอ๋องมองคุณหนูจวินก็ตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน ดูท่าคงเป็นเพราะหีบยาที่นางสะพายอยู่
“คุณหนูท่านนี้นามว่าอะไรหรือ?” เขาตบพุงหรี่ตาเอ่ยถาม “รู้จักกับท่านชายจูด้วยรึ?”
คุณหนูจวินมองเขาในใจรสชาติแปลกแปร่ง
แม้อายุห่างเพียงไม่กี่ปี แต่อย่างไรก็คนละรุ่น ตั้งแต่เล็กไม่ได้ไปมาหาสู่กับท่านอาสิบสองนัก ต่อมานางไม่อยู่บ้าน ทุกปีก็มีปีใหม่แค่ไม่กี่วันที่ได้พบหน้ากันอยู่บ้าง คำที่พูดกันนับนิ้วได้
ครอบครัวที่คิดว่าไม่ต้องเอ่ยวาจาก็เคยคุ้นทั้งชีวิตเหล่านั้น ทันใดนั้นก็เปลี่ยนกลายเป็นคนแปลกหน้า แย้มยิ้มเอ่ยถามชื่อแซ่ความเป็นมา
“ข้า…” นางอ้าปากจะเอ่ยคำ จูจั้นขายาวสามก้าวก้าวเข้ามาแล้ว จับแขนนางดันไปข้างหลัง
คำพูดของนางถูกขัด
จูจั้นพานางถอยไปหลายก้าวก็หยุด ยื่นมือชี้ปลายจมูกของนาง
“ข้าบอกอะไรกับเจ้า? เจ้าลืมแล้วใช่หรือไม่?” เขากัดฟันเอ่ยเสียงเบา “เจ้ายังตามมาบ้านข้าอีก เอาเรื่องนี่เจ้า”
“ข้าไม่ได้เจตตนาเดินมาที่นี่จริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่เป็นเรื่องบังเอิญ”
จูจั้นสบถ หันกลับไปมองทีหนึ่ง เสียนอ๋องด้านนั้นยื่นศีรษะมองมาทางพวกเขาด้านนี้
“พูดอะไรกระซิบกระซาบกันน่ะ?” เขายังยิ้มตาหยีเอ่ย
จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง ค่อยมองไปทางคุณหนูจวิน
“คนแซ่จวิน เจ้าก็ไม่ใช่คนโง่ บนโลกนี้ไหนเลยมีเรื่องบังเอิญ ล้วนเป็นคนกระทำ” เขาเอ่ย
“เจ้าจะพูดเช่นนี้ก็ถูก ข้ามีธุระถึงเดินมาที่นี่จริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ยพูดถึงตรงนี้ก็คิดขึ้นมาได้อีกครั้งว่าตนเองเพราะอะไรจึงเดินมาถึงตรงนี้
ความรู้สึกที่เดิมทีกดลงไปแล้ว ทะลักออกมาอีกครั้งในทันที โหมกระหน่ำถาโถมพุ่งออกมา
นางก้มตัวอ้าปากก็อาเจียนรุนแรง น้ำตาทะลักตามออกมา
จูจั้นตกใจสะดุ้งโหยง
“เจ้าทำอะไร?” เขาร้องตะโกน
คุณหนูจวินอะไรก็ไม่อยากทำทั้งนั้น เพียงอยากอาเจียน อาเจียนเอาความรู้สึกน่ารังเกียจนั่นออกมาให้หมด
นางยื่นมือกดหน้าอกอาเจียนไม่หยุด น้ำตาก็ไม่หยุดไหลออกมาเช่นกัน
สภาพทุเรศทุรังเช่นนี้เดิมทีนางไม่อยากให้คนเห็น แต่ก็รู้สึกว่ามองไปก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน
เดิมทีก็ทุเรศทุรังเช่นนี้ ไม่ให้คนอื่นเห็นก็จะไม่ทุเรศทุรังแล้วหรือ?
จูจั้นมองสภาพของนาง ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว
“เฮ้ เจ้าไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยติดจะรังเกียจอยู่บ้าง “เจ้าอย่าคิดว่าแบบนี้จะเกาะข้าได้นะ”
“เกาะ?” เสียนอ๋องเดินเข้ามาได้ยินประโยคนี้ แล้วมองคุณหนูจวินที่ร้องไห้พร้อมอาเจียน สีหน้าตกตะลึง “เจ้าทำนางท้องหรือ?”
“เห้ย” จูจั้นได้ยินเข้าเบิกตา “ท่านพูดเหลวไหลอะไรกัน !”
……………………………………….