Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 196
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 196 ตรวจละเอียดค่อยๆ ให้ยา
บทที่ 196 ตรวจละเอียดค่อยๆ ให้ยา
โดย
Ink Stone_Romance
ใช่แล้ว นี่เป็นพวกปลิ้นปล้อนคนหนึ่ง
เจียงโหย่วซู่ไม่เชื่อว่าคุณหนูจวินมองไม่ออกว่าอาการของไหวอ๋องไม่ใช่ฝีดาษ
แต่นางไม่พูด กลับถ่อเรือตามน้ำ เห็นชัดว่าต้องการเหลือทางถอยทางหนึ่งไว้เหมือนกัน
รู้อาการป่วยที่แท้จริงของคนไข้ชัด กลับปิดบังไม่พูดยังมีคุณธรรมของหมอสักนิดไหม
แน่นอน พวกเขาปิดบังไม่พูดเพราะสถานการณ์พิเศษ แต่เจ้า หมอชาวบ้านคนหนึ่ง ทั้งยังคุยโม้เสียวิเศษวิโสเช่นนั้น ตามเข้ามาร่วมวงอะไรด้วย
สีหน้าเจียงโหย่วซู่เขียวแล้วเขียวอีก
หมอหลวงทั้งหมดขณะหนึ่งล้วนพูดอะไรไม่ออก
“ข้ารู้ว่าข้อสงสัยของหมอหลวงเจียงคืออะไร” คุณหนูจวินเหมือนจะมองเห็นสีหน้าของพวกเขา แล้วก็ราวกับไม่เข้าใจว่าข้อสงสัยของหมอหลวงเจียงหมายความว่าอะไร เอ่ยต่อคำพูดเมื่อครู่ “ฝีดาษโรคเช่นนี้รักษายากจริงๆ”
นางเอ่ยพลางยิ้ม
“แต่โรครักษายากอีกเท่าใดก็มียาที่ตอบรับกับโรค ไม่จำต้องขบคิดว่าโรคนี้ยากมากมายเท่าใด ที่สำคัญที่สุดก็คือรักษาโรคให้หาย ดังนั้นโรคของไหวอ๋องข้ารักษาได้จริงๆ หมอหลวงเจียงท่านวางใจ”
ไม่ว่าเป็นฝีดาษหรือโรคอื่นอะไร สำหรับนางแล้วที่สำคัญที่สุดก็คือรักษาหาย เป็นโรคอะไรไม่จำเป็นต้องแย่งชิงวัดฝีมือ
จริงแท้ นี่ยังไงก็ได้ รักษาหายไม่หาย จุดจบของเจ้าก็ไม่มีอะไรดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดิ้นรนช่วงเวลาหนึ่ง
เจียงโหย่วซู่พยักหน้ายิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นพวกเราก็วางใจแล้ว” เขาเอ่ย “ชาวบ้านมียาวิเศษมากมาย ข้าก็เชื่อว่าคุณหนูจวินในเมื่อกล้ามาก็ต้องมีแผนในใจแล้วเป็นแน่”
เขาพูดกลางเดินมาถึงข้างเตียงมองไหวอ๋อง สีหน้ากล่าวโทษตนเองทั้งคลายใจ คำนับองค์หญิงจิ่วหลีอีกครั้ง
“องค์หญิงโปรดวางพระทัย”
องค์หญิงจิ่วหลีพยักหน้าเล็กน้อยนับว่าคำนับคืน
ไม่ว่าเป็นตอนคุณหนูจวินจับชีพจร หรือที่ทั้งสองฝ่ายสนทนาโต้ตอบแฝงซ่อนไหวพริบเมื่อครู่ ต่อให้คุณหนูจวินบอกว่ารักษาหายได้ องค์หญิงจิ่วหลีก็เพียงนั่งอยู่ข้างเตียงมองไหวอ๋อง สีหน้าไม่มีเปลี่ยนแปลงสักนิด เหมือนกับสิ่งใดล้วนไม่ได้ยิน
เจียงโหย่วซู่คำนับให้ลู่อวิ๋นฉีอีกครั้ง แล้วมองไปทางคุณหนูจวิน
“ต้องการสิ่งใด ยาและคน สั่งมาได้เต็มที่” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินไม่ได้เอ่ยวาจา ยิ้มนับว่าตอบรับแล้ว
โบราณว่าไว้ไม่ยื่นมือตบคนสำนึกผิด ต่อให้ในใจแค้นเคืองข้า แต่ข้าเกรงใจให้เช่นนี้แล้วกระทั่งประโยคตามมารยาทก็ยังไม่ยอมพูด ยิ้มนิดหน่อยก็นับว่าผ่านไปแล้วหรือ?
เจ้าคิดว่าเจ้าก็เป็นองค์หญิงรึ
เจียงโหย่วซู่มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง คร้านจะพูดอีกหมุนตัวเดินออกไปแล้ว หมอหลวงคนอื่นย่อมตามไปด้วย
ห้องบรรทมของไหวอ๋องกลับมาเงียบสงบเช่นก่อนหน้า
ไม่รอใครเอ่ยปาก คุณหนูจวินก็หมุนกายเปิดกล่องเข็มทองออก ในมือเริ่มปุบก็หยิบเข็มทองเล่มนั้นออกมาเล็งตรงนิ้วมือของไหวอ๋องปั่นแทงเข้าไปช้าๆ
ในห้องเงียบกริบไร้เสียง ลู๋อวิ๋นฉีซ่อนอยู่ในเงามืด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เอ่ยสักประโยคราวกับรูปปั้นดินรูปหนึ่ง
องค์หญิงจิ่วหลียืนอยู่ข้างเตียง สีหน้าอ่อนโยนมองเพียงไหวอ๋อง แต่บางครั้งก็มีนาทีหนึ่งนั้นที่หางตาของนางเหลือบแลมาเล็กน้อย สายตาจับอยู่บนร่างของคุณหนูจวิน
เข็มทองชุดหนึ่งใช้หมด สิบนิ้วของไหวอ๋องล้วนมีเลือดสีแดงปนดำซึมออกมา บนร่างของคุณหนูจวินก็เหงื่อออกจนชื้นเช่นกัน แต่นี่ยังไม่เสร็จ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนงามเช็ดนิ้วมือของไหวอ๋องนิดหน่อย จนกระทั่งเลือดที่บีบออกมากลายเป็นสีแดง
มองหยดเลือดสีแดง คุณหนูจวินในที่สุดก็พรูลมหายใจ อดไม่ได้ยื่นมือลูบหน้าของไหวอ๋อง
เรียนวิชาแพทย์มาไม่อาจช่วยพระบิดาได้ ยังดีเร่งมาทันช่วยเจ้า
“คุณหนูจวิน” เสียงขององค์หญิงจิ่วหลีดังขึ้นด้านข้าง “ยังต้องทำอะไรอีกบ้าง?”
ส่วนอีกด้านหนึ่งสายตาเย็นเยียบก็จับอยู่บนมือของนาง
คุณหนูจวินร่างแข็งทื่อไปเล็กน้อย ตนเองเสียกิริยาไปบ้างแล้ว
“ไข้สูงลดลงไปบ้างแล้ว” นางลูบใบหน้าไหวอ๋องเบาๆ อีกครั้ง ราวกับกำลังลองสำรวจอุณหภูมิร่างกาย หลังจากนั้นเก็บมือกลับ หมุนตัวมององค์หญิงจิ่วหลี “ตอนนี้ข้าจะไปต้มยา”
นางไม่ได้พูดว่าสั่งยา แต่พูดว่าต้มยา
นางจะทำเอง
องค์หญิงจิ่วหลีมองนางทีหนึ่ง
“ลำบากคุณหนูจวินแล้ว” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ช่างเกรงใจจริงๆ นางยังไม่เคยเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับตนเองเลย
คุณหนูจวินมององค์หญิงจิ่วหลีนึกขึ้นมา เหมือนจะส่ายหัวอยู่ตลอดเวลาเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าทำเช่นนี้ไม่ดี
องค์หญิงจิ่วหลีสบสายตานางครู่หนึ่งก็เคลื่อนหลบไปอย่างรวดเร็ว จับบนร่างไหวอ๋องอีกครั้ง คนก็นั่งลงข้างเตียง
“คุณหนูจวินเชิญทางนี้” นางกำนัลคนหนึ่งก้าวเข้ามาข้างหน้าเอ่ย
คุณหนูจวินหิ้วหีบยาเดินตามนางออกไป
ยาแต่ละอย่างนางมองอย่างละเอียด ล้างหั่นตุ๋นต้มนางล้วนลงมือเอง ไม่ให้ยาออกจากสายตาสักชั่วครู่ ไม่ให้คนอื่นได้แตะสักครั้ง รอยกยาที่ต้มเสร็จมาถึงห้องบรรทมของวังไหวอ๋อง ฟ้าก็มืดแล้ว ในห้องบรรทมจุดโคมไฟสว่าง
องค์หญิงจิ่วหลีกับลู่อวิ๋นฉีล้วนยังอยู่ในห้อง คนหนึ่งยังคงยืนอยู่ คนหนึ่งก็ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง
“ฝ่าบาทกลืนไม่ได้แล้ว ต้องใช้กาพวยยาวกรอกยา” นางกำนัลเอ่ย หยิบกาพวยยาวที่วางไว้ด้านข้างเข้ามา
“ไม่ต้อง ข้าป้อนเอง” คุณหนูจวินเอ่ย “กรอกยาทรมานนัก”
นางกำนัลมองลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง ลู่อวิ๋นฉีไม่มีปฏิกิริยา นางกำนัลจึงก้มศีรษะถอยออกไป
“องค์หญิง ท่านโอบเขาลุกขึ้นนั่ง” คุณหนูจวินเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีลุกขึ้นนั่งบนหัวเตียงโอบไหวอ๋องไว้ในอ้อมแขน คุณหนูจวินมือหนึ่งยกถ้วยยา มือหนึ่งกดหน้าอกของไหวอ๋องไว้ ลูบลงเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ลูบอยู่ครู่หนึ่งไหวอ๋องที่หมดสติหลับใหลอยู่ก็พลันเรอออกมา คุณหนูจวินตักยาหนึ่งช้อนส่งไปจรดริมฝีปากเขาป้อนเข้าไปทันที
ยาหยดร่วงตามมุมปาก แต่หยุดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ไหลออกมาทั้งหมดเช่นนั้น
ป้อนลงไปได้จริงๆ แล้ว
บรรดานางกำนัลที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้สีหน้าประหลาดใจยินดี สายตาที่มองไปทางคุณหนูจวินก็ออกจะนับถืออยู่บ้าง
ท่านหมอคนนี้ดูไปแล้วก็มีความสามารถอยู่จริงๆ
แล้วก็ออกจะมีความอดทนด้วย
พวกนางมองคุณหนูจวินลูบกดหน้าอกของไหวอ๋องอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเรอออกมาอีกครั้งก็ป้อนยาอีกหนึ่งช้อนทันที หลังจากนั้นทำเช่นนี้ซ้ำๆ
ยาหนึ่งถ้วยนี้เช่นนี้เมื่อไรถึงจะป้อนได้หมด?
“ยาเช่นนี้เป็นเขากลืนลงไปเองย่อมยิ่งได้ผล” คุณหนูจวินเอ่ย พลางมองไหวอ๋องยิ้มน้อยๆ “รอเจ้าดื่มได้เร็วกว่านี้มากกว่านี้ จะให้ขนมเจ้ากินชิ้นหนึ่ง”
องค์หญิงจิ่วหลีที่หลุบตามองไหวอ๋องอยู่เงยหน้ามองนางทีหนึ่ง ไม่พูดจาก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
ยาถ้วยหนึ่งป้อนเสร็จ คุณหนูจวินก็เหงื่อออกเต็มตัวอีกครั้ง นางยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อพลาง พรูลมหายใจพลาง
“ผ่านด่านยากได้หรือไม่ ก็ดูคืนนี้ไข้ลดได้หรือไม่แล้ว” นางเอ่ย
“เช่นนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ค่อนข้างเร็วจริงๆ” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวิน “ลำบากคุณหนูจวินแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด”
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ข้าเป็นหมอ ข้าย่อมต้องเฝ้าดูคนไข้” นางเอ่ย “ข้าจะอยู่ที่นี่ องค์หญิงท่านไปพักเถิด”
องค์หญิงจิ่วหลียิ้ม
“ข้าเป็นพี่สาวของไหวอ๋องย้อมต้องอยู่เป็นเพื่อน” นางพูด ไม่เอ่ยกล่อมอีก มองไปทางนางกำนัล “จัดพัดเล่มหนึ่งให้คุณหนูจวินด้านนี้”
บรรดานางกำนัลรับคำ พาคนเข้าออกให้วุ่นคึกคักขึ้นมา
คุณหนูจวินก็ไม่ได้ว่าง มองไปรอบด้านในห้อง สั่งให้เปิดหน้าต่างด้านหนึ่ง ถาดไฟตั้งอยู่ที่ไหน ธูปหอมดับทิ้ง หยิบยาหอมที่ตนพกมาจุด
องค์หญิงจิ่วหลีเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ไหวอ๋อง บางทีเพราะในห้องแห่งนี้คึกคักไม่เหมือนเก่า ทำให้ปลายหางตาของนางมองข้ามมาเป็นระยะ
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ในตำหนัก แสงโคมบนร่างนางสว่างมืดตัดสลับกัน อาจเพราะรู้สึกถึงสายตา นางจึงหันหน้ามองข้ามมา
สายตาของทั้งสองคนสบกัน ชั่วขณะใครก็ไม่ได้เคลื่อนหลบ
องค์หญิงจิ่วหลีฉับพลันรู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง
เหมือนกับในความฝันนับไม่ถ้วน เห็นน้องสาวทั้งร่างโชกเลือดมองนางเช่นนี้ ไม่พูดไม่จา ไม่จากไป แล้วก็ไม่อาจเข้าใกล้
ความโศกเศร้านี้ประหลาดจริงๆ องค์หญิงจิ่วหลีเก็บสายตากลับไป ตบปลอบไหวอ๋องเบาๆ
……………………………………….