Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 144 เอ่ยปากมอบน้ำใจ
บทที่ 144 เอ่ยปากมอบน้ำใจ
Ink Stone_Romance
โจวยงเจ้าเมืองชิ่งหยวนมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ในห้องโถง ยิ้มจนตาแทบจะไม่มีแล้ว
ไม่เหมือนกับชาวบ้าน เขารู้ว่าคุณหนูจวินมาถึงมณฑลเหอเป่ยซีนานแล้ว ไม่ใช่เขาไม่เคยคิดไปเชิญคุณหนูจวินมาที่นี่
แต่ได้ยินว่าเมืองต้าหมิง เมืองไคเต๋อด้านนั้นล้วนส่งคำเชิญไป เจ้าเมืองโจวจึงหยุดความคิดไว้
เมืองชิ่งหยวนแม้อยู่ภาคกลางค่อนไปทางเหนือของมณฑลเหอเป่ยซี แต่กระทั่งเมืองเจินติ้งใกล้ๆ ไม่ไกลยังถูกโจรจินรุกรานได้ เมืองชิ่งหยวนก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย
หมอคนอื่นมาก็ช่างเถิด คุณหนูจวินคนเช่นนั้นจะมาเผชิญความเสี่ยงนี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้จากเซียงโจวถึงเมืองชิ่งหยวนหนทางไกลนัก เทียบกับคำเชิญของสถานที่อื่น พวกเขาไม่มีข้อได้เปรียบสักนิด
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจวินถึงกับมาจริงๆ ตอนมองเห็นหนังสือแสดงตนที่คนส่งมา เจ้าเมืองโจวยังคิดว่าตนเองฝันไปเลย แต่ผู้ดูแลใหญ่ของร้านแลกเงินเต๋อเซิ่งชางกล่างย้ำซ้ำๆ เขาจึงได้แต่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
จนกระทั่งถึงตอนนี้มองเห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า เจ้าเมืองโจวถึงมั่นใจว่าตนเองได้ขนมสอดไส้ที่ร่วงลงมาจากฟ้าจริงๆ
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจวินจะมาที่นี่ของพวกเรา ทราบข่าวช้าเกินไปแล้ว ไม่ได้ต้อนรับ” เขาอดเอ่ยขึ้นไม่ได้
ต้อนรับคำนี้เดิมทีไม่ควรใช้กับเด็กสาวคนนี้ มักเป็นคนที่ได้รับบัญชาให้เดินทางมา พูดถึงยศแล้วก็ต้องสูงกว่าเจ้าเมืองโจว
ทว่าต่อหน้าชีวิตคน ผลงานการเมือง ความคาดหวังของประชาชน ใครยังสนใจเรื่องนี้ ปีนี้มีคุณหนูจวินมาที่นี่หนหนึ่ง ตำแหน่งขุนนางในอนาคตของเขาน่าจะเลื่อนขึ้นได้อีกนิดแล้ว
“ข้าไม่ได้วางแผนจะมาหรอก” คุณหนูจวินเอ่ย
คำพูดนี้ทำให้เจ้าเมืองโจวอึ้งไป เหลยจงเหลียนก็เหลือบมองเล็กน้อย
นี่กระอักกระอ่วนแล้ว
จะต่ออย่างไร?
“หลังจบเรื่องที่เซียงโจวข้าวางแผนจะกลับเมืองหลวง แต่ข้าได้รับจดหมายจากเฉิงกั๋วกง” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ
คำพูดนี้ทำให้เจ้าเมืองโจวอึ้งอีกครั้ง ส่วนคิ้วของเหลยจงเหลียนกระตุก
จดหมาย? เฉิงกั๋วกง?
“เฉิงกั๋วกงเชิญข้ามาปลูกฝีให้แก่ชาวบ้านเมืองชิ่งหยวน” คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบทั้งยังจริงใจ “เขาบอกว่าชาวบ้านแดนเหนือทุกข์ร้อนลำบาก ถูกปล้นชิง อีกทั้งตระหนกขวัญผวาระหว่างถูกรุกรานอยู่เสมอ หากแก้ความทุกข์จากโรคภัยได้บ้าง รักษาเด็กๆ จำนวนหนึ่งไว้ ประการแรกเป็นโชคดีของประชาชน ประการที่สองเป็นโชคดีของแดนเหนือด้วย อย่างไรคนถึงเป็นรากฐานของประเทศ มีคนสืบต่อไม่ขาดถึงต่อต้านโจรจินได้”
เจ้าเมืองโจวฟังแล้วอ้าปากกว้าง สีหน้าเปลี่ยนไปจริงจังทั้งยังฮึกเหิม
เหลยจงเหลียนสีหน้านิ่งค้าง แววตายากปิดบังความนับถือ
ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย นี่คือแต่งเรื่องขึ้นเฉพาะหน้ารึ?
นับถือ
คำพูดโกหกนี่อ้าปากก็ออกมา นอกจากนี้สีหน้าไม่เปลี่ยน มองไม่ออกจริงๆ ว่าคุณหนูจวินเด็กสาวที่สงบเสงี่ยมเช่นนี้ยังมีความสามารถเช่นนี้ด้วย
นอกจากนี้ นี่ส่งชื่อเสียงให้เฉิงกั๋วกงเปล่าๆ เลยนะ
นี่เพราะคุณชายหลิงจิ่วคนนั้นหรือ?
หรือแค่ให้เงินเขายังไม่พอ? ยังต้องให้เงินบิดาของเขาด้วยรึ?
เจ้าเมืองโจวด้านนั้นฟื้นกลับมาสงบทันที
“คิดไม่ถึงจริงๆ ที่แท้เป็นเฉิงกั๋วกง” สีหน้าเขายังคงฮึกเหิม แววตากระจ่างใส “เฉิงกั๋วกงขบคิดถี่ถ้วนเพื่อชาวบ้านแดนเหนือเรา พวกเราละอายแล้ว”
พูดว่าละอายก็เกินไปหน่อย แต่ก็ละอายใจอยู่บ้างจริงๆ เขาคิดแต่ไม่ได้ทุ่มเทกระทำ แต่เฉิงกั๋วกงไม่กระโตกกระตากก็เชิญคนมาแล้ว
พูดขึ้นมา พวกเขาขุนนางพลเรือนเหล่านี้ก็ดูแคลนแม่ทัพทหารมาตลอด มาถึงแดนเหนือกลับถูกเฉิงกั๋วกงข่ม ในใจยากเลี่ยงความไม่พอใจ วันนี้แดนเหนือสองเมืองเกิดเรื่องต่อกัน แม้หวาดหวั่นและโศกเศร้า แต่ในใจลับๆ ก็ยังมีความรู้สึกยินดีสมน้ำหน้าอยู่เล็กๆ
เฉิงกั๋วกงเจ้าเหิมเกริมไปสิ เจ้าโอหังไปสิ ดูสิเจ้าทะนงอะไร ครั้งนี้เสียหน้าแล้วไหม
ได้ยินว่าราชสำนักส่งผู้ตรวจการณ์องครักษ์เสื้อแพรมา ถึงเวลาต้องตรวจสอบแน่ ทุกคนล้วนกลั้นลมหายใจ ไม่พูดว่าเฉิงกั๋วกงไม่ดี แต่ก็ไม่มีทางพูดว่าเขาดี
บางครั้งความเงียบงันของขุนนางพลเรือนก็เป็นดาบสังหารคน
ตอนนี้ได้ยินว่าคุณหนูจวินถึงกับเป็นเฉิงกั๋วกงเชิญมา ยังตั้งใจเจาะจงเมืองชิ่งหยวนด้วย เจ้าเมืองโจวไม่อาจไม่ครุ่นคิดสักนิดแล้ว
ในใจเฉิงกั๋วกงถึงกับจดจำเขาได้เช่นนี้เชียว
“เฉิงกั๋วกงอยากให้ข้าเก็บเป็นความลับ ไม่เอ่ยเรื่องที่เขาเชิญ” คุณหนูจวินโยนออกมาอีกหนึ่งประโยค “บางทีกลัวข้าปฏิเสธจะเสียหน้ากระมัง”
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องหน้าตาแล้ว นี่เป็นการมอบน้ำใจต่างหาก ไม่เอ่ยถึงเฉิงกั๋วกง นั่นก็คือเขาโจวยงเชิญคุณหนูจวินมา
เจ้าเมืองโจวรู้ว่าควรทำอย่างไรทันที เอ่ยถ้อยคำขอบคุณจำนวนหนึ่ง ถือโอกาสแสดงความเป็นห่วงเป็นใยและความร้อนใจของตนเกี่ยวกับเรื่องปลูกฝี พูดถึงท้ายที่สุดกระทั่งตัวเขาเองก็เชื่อว่าคุณหนูจวินเป็นเขาเชิญมา เขาเชื่อว่าคุณหนูจวินก็ถูกกล่อมให้คิดเช่นนี้
เป็นอย่างที่คิด คำพูดของเขา คุณหนูจวินล้วนพยักหน้าเห็นด้วย
แม่นางน้อยคนนี้อายุแค่สิบหกสิบเจ็ด บิดานางเขาก็รู้จัก นายอำเภอผู้สุภาพอ่อนแอตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ตระกูลท่านยายของนางเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่ง แม่นางน้อยคนนี้ในมือมีวิชาที่สืบทอดมาในตระกูลไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องอื่นล้วนให้ร้านแลกเงินเต๋อเซิ่งชางทำให้ตลอดสินะ
แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ทำเป็นแต่งาน ไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์เส้นสายแผนร้ายในใจคนผู้หนึ่ง เจ้าเมืองโจวมั่นใจอย่างยิ่งว่าทำให้นางทำตามความคิดของตนได้
“ลำบากเจ้าเมืองโจวจริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน
เจ้าเมืองโจวถอนหายใจ
“กินเงินหลวง ภักดีงานหลวง เป็นผู้ว่าการของสถานที่หนึ่ง นี่เป็นหน้าที่ เพื่อเชิญคุณหนูจวินมา ความลำบากของข้าคุ้มค่าแล้ว” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อยไม่เอ่ยวาจา บุรุษด้านข้างคุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง
เจ้าเมืองโจวก็มองเขาทีหนึ่ง บุรุษคนนี้เป็นผู้ติดตามคนหนึ่งสินะ แต่ทำไมแววตาของเขาพิกลๆ
เจ้าเมืองโจวอยากพูดอะไร ด้านนอกเสียงฝีเท้าเร็วรี่ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงห้าว
“มารดามัน นี่เป็นการลบหลู่ชัดๆ”
เจ้าเมืองโจวหน้าบึ้งขึ้นมาทันที
“แม่ทัพเผิง ท่านพูดอะไรเล่า” เขาตวาด มองแม่ทัพที่เดินเข้ามา “คุณหนูจวินอยู่ที่นี่นะ”
เพิ่งชมคุณหนูจวินจบ เจ้าก็มาว่าลบหลู่ พวกแม่นางน้อยคิดมากที่สุด นี่เจ้าไม่ทำให้คนเข้าใจผิดหรือ?
ได้ยินคุณหนูจวินสามคำ แม่ทัพที่เข้าประตูมารีบร้อนเก็บสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวไป แย้มรอยยิ้มคำนับจริงจัง
คุณหนูจวินลุกขึ้นคำนับกลับ
“ข้าด่าเจ้าพวกลูกกระต่ายพวกนั้นน่ะ กระทั่งประกาศที่ประตูเมืองยังรักษาไว้ไม่ได้ ประตูเมืองถูกคนขโมยไปก็คงไม่รู้ใช่ไหม” แม่ทัพอดไม่ได้เอ่ยอย่างโกรธแค้น
เจ้าเมืองโจวเห็นชัดว่ารู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา
“นี่ไม่ใช่ปัญหาได้อย่างไรเล่า? นี่เป็นถึงประกาศที่แปะอยู่บนประตูเมืองเชียวนะ ประตูเมืองกลางวันกลางคืนทหารมากปานนั้นเฝ้าอยู่ ถึงกับใครๆ ก็ไม่รู้สึกตัว ให้คนเอาของจากใต้หนังตาไปได้อย่างเงียบเชียบ นี่ไม่ใช่บ่งบอกว่าใครก็ไปมาได้ดั่งใจหรือ? นี่หากเป็นโจรจิน ถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนวานทั้งเมืองชิ่งหยวนของพวกเราคงถูกคนยกไปแล้ว” แม่ทัพร้อง
เจ้าเมืองโจวสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในใจด่าคำหยาบประโยคหนึ่ง
ต่อหน้าแม่นางน้อยคนหนึ่งบอกว่าโจรจินยกเมืองชิ่งหยวนไปแล้ว คนไม่กลัววิ่งหนีไปทันทีหรือ ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านเมืองชิ่งหยวนจะไม่ฉีกเขาเป็นชิ้นๆ รึ
“นี่เป็นเรื่องเล็ก ประกาศแผ่นหนึ่งเท่านั้น” เขารีบเอ่ย “ไม่แน่อาจถูกลมพัดไป ถูกคนเก็บไปแล้ว จะถูกคนขโมยได้อย่างไรเล่า ยังไม่ตรวจสอบแน่ชัดอย่าพูดส่งเดช นี่เจ้าจะทำให้ชาวบ้านวิตก”
แม่ทัพฉุกคิดได้ ได้สติกลับมาเช่นกัน มองแม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีที่ลมพัดก็ปลิวได้คนนี้รีบร้อนพยักหน้า
“ใช่ใช่ ข้าค่อยลองหาดูอีกครั้ง” เขาเอ่ย “เมื่อวานลมก็แรงอยู่”
คุณหนูจวินฟังอย่างสงบเสงี่ยมมาตลอด ไม่ได้หวาดกลัวแล้วก็ไม่ได้สอบถาม บางครายังยิ้มนิดๆ พยักหน้า
“คุณหนูจวิน ท่านรีบไปพักผ่อนเถอะ รอวันพรุ่งนี้ก็เริ่มปลูกฝี” เจ้าเมืองโจวยิ้มเอ่ย พลางส่งสายตาให้อาลักษณ์กับบ่าวหญิงในห้อง
บ่าวหญิงกับอาลักษณ์รีบร้อนก้าวเข้าไปนำทาง คุณหนูจวินเอ่ยขอบคุณติดตามไป
เจ้าเมืองโจวยิ้มแย้มมองส่งคุณหนูจวินอยู่ตลอดจนมองไม่เห็นคุณหนูจวินแล้วถึงลูบเครา
“คุณหนูจวินจะไปปลูกฝีที่ป้อมของพวกเราด้วยตนเองจริงหรือ? นี่เกรงใจยิ่งนัก พวกเรามาต่อแถวด้วยก็ได้” แม่ทัพถูฝ่ามือหัวเราะหึหึ
เต๋อเซิ่งชางนอกจากส่งข่าวว่าคุณหนูจวินจะมาแล้ว ยังจัดการกฎเกณฑ์และการดำเนินการปลูกฝีโดยละเอียดไว้แล้วด้วย เอาลำดับจ่ายเงินในสถานที่ที่กำหนด แต่ยังบอกข้อยกเว้นข้อหนึ่งไว้ด้วย ก็คือลูกชายลูกสาวของทหารไม่ต้องมาเอาลำดับจากที่ว่าการเมืองก็ได้ เอาลำดับรวมกันที่ป้อมปราการใหญ่ที่สุดก็พอ คุณหนูจวินจะไปที่นั่นปลูกฝีให้ลูกชายลูกสาวของนายทหารเอง
นี่อภิสิทธิ์ยิ่งนัก พวกเขาไม่ต้องมาเบียดกับทุกคน ทำให้คนอิจฉายิ่งจริงๆ
เจ้าเมืองโจวเดิมทีไม่เข้าใจ ตอนนี้เข้าใจแล้ว
ในเมื่อเฉิงกั๋วกงเชิญคุณหนูจวินมา บรรดาทหารย่อมต้องได้รับการดูแล
เจ้าเมืองโจวไม่มีทางไปแย่งอภิสิทธิ์นี้
“การจัดการของคุณหนูจวิน เชื่อฟังก็พอ” เขาว่า ทั้งยังมองเตือนแม่ทัพคนนี้ทีหนึ่ง “พูดจาระวังหน่อย ไม่ใช่อะไรก็พูดเสียหมด”
แม่ทัพรีบร้อนขานรับ มองเจ้าเมืองโจวมือไพล่หลังอิ่มอกอิ่มใจจากไป
“แต่ ถูกคนขโมยไปจริงๆ นะ” เขาเอ่ยกับตนเอง สีหน้าหงุดหงิดทั้งไม่เข้าใจ “เมืองชิ่งหยวนนี่มีโจรที่ร้ายกาจเช่นนี้ด้วยรึ?”
วันที่สองฟ้ายังไม่สว่าง ประตูใหญ่จวนว่าการเมืองปิดสนิท แต่ประตูข้างสองฝั่งล้วนเปิดแล้ว ทหารกองแล้วกองเล่ารักษาระเบียบของขบวนคนที่ต่อแถวยาวเป็นมังกร
แม้มีทหารคุมอยู่ ขบวนคนก็ยังวุ่นวายอยู่เป็นระยะ ส่วนเสียงพูดคุยเสียงโวยวายเสียงหัวเราะยิ่งเอะอะ
ก่อกวนถนนใหญ่หน้าจวนที่ว่าการเมืองยามเช้าตรู่จนเหมือนงานวัด
ไกลออกไปบนถนน คนหลายคนรั้งบังเหียนม้า
“นายท่านจิน ผู้หญิงคนนี้สบายอารมณ์จริงนะขอรับ” บุรุษหลายคนเอ่ยขึ้น
จินสือปาลูบเคราสั้นๆ คล้ายโมโหแล้วก็คล้ายขบขัน
“ไม่เป็นไร พวกเรารอไหว” เขาเอ่ย
……………………………………….