Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 153 ค่อยๆ คุย ดูให้ละเอียด
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 153 ค่อยๆ คุย ดูให้ละเอียด
ในที่ทำการขุนนางแม่ทัพคำราม โต๊ะถูกตบแตก เหลยจงเหลียนสีหน้าคงเดิม มองชื่อบนแผนที่อีกทีหนึ่ง หมุนตัวก็ไป
“เจ้าจะไปทำอะไร?” แม่ทัพร้องถาม
“ข้าไปเรียกคน” เหลยจงเหลียนศีรษะก็ไม่หันกลับเอ่ย
เจ้าเรียกใครได้? ไม่ใช่แค่คนเหล่านั้นของเต๋อเซิ่งซางเรอะ พวกเขาสู้ได้ สังหารได้ไหม? แม่ทัพเบะปาก กลอกตาก็เห็นจินสือปาเดินออกไปข้างนอกบ้าง
“ข้าก็จะไปเรียกคน” เขาเอ่ย
พวกเจ้าไม่ได้เป็นพวกเดียวกันรึ? แม่ทัพขมวดคิ้ว มองสองคนนี้ล้วนเดินออกไปแล้ว
เรียกคน มีอะไรสุดยอด ข้าก็ไปเรียกคนเหมือนกัน
แม่ทัพเตะโต๊ะบนพื้นออก
“ระดมทหารม้าของกองทหารหย่งหนิงมา” เขาตะโกน
ระดมทหารม้านี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ มณฑลเหอเป่ยซีทั้งหมดกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ลมพัดหญ้าไหวก็ทำให้คนเคร่งเครียดได้แล้ว ต้องทำให้ผู้บัญชาการมณฑลเหอเป่ยซีหรือกระทั่งเฉิงกั๋วกงตื่นตกใจแน่ แค่เพื่อล้อมกวาดล้างโจรภูเขากลุ่มหนึ่ง? รองแม่ทัพอดไม่ได้เช็ดเหงื่อ
“ใต้เท้า เขาจางชิงซานแห่งนี้ไม่ใหญ่ ไม่ถึงครึ่งของเขาจั้นหวงซาน จะมีโจรภูเขาได้สักกี่คน?” เขาเอ่ยเสียงเบา “กระทั่งเขาจั้นหวงซานพวกเรายังโจมตีได้ เขาจางชิงซานลูกเดียวนับเป็นอะไรเล่า เรียกหาพี่น้องมากมายเช่นนี้มา แสดงว่าพวกเราไม่มีความสามารถ ขายหน้ามากนะขอรับ”
แม่ทัพใหญ่เผิงสบถ
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” เขาเอ่ย “ตอนนี้ยังจะสนใจหน้าตาอะไร นี่เป็นเรื่องใหญ่เท่าไร คุณหนูจวินมามณฑลเหอเป่ยซีปลูกฝี ผลสุดท้ายคนถูกลักพาตัวไปใต้หนังตาของพวกเรา เรื่องนี่แพร่ออกไป หน้าตาของทั้งมณฑลเหอเป่ยซีก็ไม่ต้องเหลือแล้ว”
รองแม่ทัพพยักหน้า เป็นเหตุผลนี้จริงๆ
“ตอนนี้พวกเราต้องแสดงพลังยิ่งใหญ่ แสดงว่าพวกเรามณฑลเหอเป่ยซีให้ความสำคัญมากเท่าไร ถึงเวลาคุณหนูจวินถูกช่วยออกมาถึงให้หน้าพวกเราได้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็รอรับคำด่าเถอะ”
รองแม่ทัพพยักหน้าอีกครั้ง แล้วถอนหายใจอีก
“พวกเราตอนนี้รับคำด่าแม้แต่นิดไม่ไหวจริงๆ พวกผู้ตรวจการองครักษ์เสื้อแพรของเมืองหลวงมาแล้ว” เขาเอ่ย
แม่ทัพใหญ่เผิงมองเขาทีหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นยังไม่รีบไปเรียกคนอีก!” เขาตะโกนเอ่ย
รองแม่ทัพคนหนึ่งยืนตัวตรงอย่างว่องไว ขานรับเสียงดังวิ่งออกไป
……………………………………….
“เชิญนั่งเร็ว”
ภรรยาของเซี่ยหย่งย้ายม้านั่งไม้ไผ่มา ใช้แขนเสื้อเช็ดๆ ยิ้มเอ่ยกับคุณหนูจวินที่ยืนอยู่
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า นั่งลงตามคำบอก มองเรือนหลังนี้อย่างสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง
นี่นับไม่ได้ว่าเป็นเรือน บ้านดินเตี้ยๆ สามห้องง่ายๆ รั้วกำแพงบ้าน ลากสายตามองไป รอบด้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นบ้านแบบนี้
“พวกเราที่นี่จนอยู่บ้าง” ภรรยาของเซี่ยหย่งยิ้มเอ่ย ยกชาถ้วยหนึ่งเข้ามา ท่าทางอับอายอยู่บ้างแล้วก็เฉยชาอยู่บ้าง “คุณหนูจวินโปรดอภัย”
จนหรือคุณหนูจวินมองถ้วยหยาบตรงหน้า หาเงินไม่ง่าย แต่สำหรับอาจารย์แล้ว หาเงินเป็นเรื่องง่ายดายอย่างที่สุด
บ้านเกิดของเขาทำไมจนปานนี้ได้?
คุณหนูจวินมองไปทางผู้คนที่ยืนอยู่ในรือน ผู้ชาย ผู้หญิง เด็กๆ ก็ล้วนมองนางอย่างสงสัยใคร่รู้
ในดวงหน้าเหล่านี้ นางหาดวงหน้าอีกสองดวงที่ปรากฏในภาพกระบวนทัพรวมถึงใบหน้าที่สำคัญที่สุดดวงนั้นไม่พบ
เด็กผู้หญิงที่ตั้งใจวาดออกมาลำพังไม่กี่ภาพนั้น
ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาชื่ออะไร แน่นอนหากจะหาก็ง่ายดาย เอาจดหมายออกมาให้พวกเขาดูก็ได้แล้ว แต่นางไม่รู้ชัดอดีตของอาจารย์อย่างสิ้นเชิง
นางไม่รู้ชัดว่าทำไมอาจารย์จากที่นี่ไป นานปีปานนั้นล้วนไม่กลับมา ดังนั้นคนที่นี่คิดถึงอาจารย์หรือไม่ก็ไม่กล้ามั่นใจแล้ว
อีกอย่าง ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าทำไมสองคนนั้นบวกกับเด็กอีกคนหนึ่งจึงพานางออกมาจากในกระโจมได้อย่างสบายๆ
สิ่งที่นางวางไว้เหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่อาจารย์สอน ถ้าเช่นนั้นหากคนเหล่านี้เป็นสหายเก่าของอาจารย์ คุ้ยเคยกับสิ่งที่วางไว้เหล่านั้นก็อธิบายได้
เห็นการวางอาวุธลับที่คุ้นเคย รวมถึงการปลูกฝีที่มีแต่อาจารย์เท่านั้นที่เคยพูดว่าทำได้
นี่ก็คงเป็นสาเหตุที่พวกเขาลักพาตนเองมาสินะ คือต้องการถามนาง…
คุณหนูจวินพลันทะลึ่งลุกขึ้น
ผู้คนที่มุงดูอยู่ตกใจสะดุ้งโหยง
“คุณหนูจวิน…” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ยขึ้น มองสีหน้าของนาง
จะวิงวอนให้ปล่อยนางไปสินะ? จากนิ่งสงบจนถึงพังทลายร้องไห้โฮจนถึงนิ่งสงบลงอีกครั้ง ตอนนี้ก็ควรถึงเวลาทำให้เข้าใจด้วยเหตุผล ทำให้หวั่นไหวด้วยความรู้สึกแล้วสินะ
“ต้องรีบส่งจดหมายไปให้คนของข้าบอกพวกเขาว่าข้าไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้นคงก่อเรื่องใหญ่แล้ว” คุณหนูจวินสีหน้าจริงจังเอ่ย
ถึงกับพูดเรื่องนี้ คนที่อยู่ที่นั่นอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่จากนั้นก็เข้าใจ
ดูเถอะ ต้องการส่งข่าวก็คือการขอร้องประเภทหนึ่ง
“คุณหนูจวิน” เซี่ยหย่งเอ่ย “พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายกับท่าน หลังปลูกฝีจะส่งท่านกลับไปแน่นอน”
กลับไป?
ไม่ นางกว่าจะมาได้ จะกลับไปได้อย่างไร
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“เวลาที่ปลูกฝีไม่พอ” นางเอ่ย “พวกเขาต้องเปลี่ยนสิ่งที่พวกท่านคาดคิดไว้ให้เร็วขึ้นแน่”
ไม่พอ?
พวกเซี่ยหย่งมองกันทีหนึ่ง
“เวลาที่ทหารโจมตีเขาจั้นหวงซานแตกจะเร็วกว่าที่พวกท่านคาดคิด” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “เวลาที่คนของข้ากับคนที่ต้องการจับข้าค้นพบว่าเรื่องราวไม่ถูกต้องจะเร็วกว่าที่พวกท่านคาดคิดไว้ ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกท่านจะถูกค้นพบเร็วกว่าที่พวกท่านคาดคิดไว้ด้วย”
ได้ฟังถึงตรงนี้เซี่ยหย่งก็เข้าใจอีกครั้ง
นี่ก็คือทำให้เข้าใจด้วยเหตุผล นี่คือกำลังพูดกล่อมอยู่
ลืมอีกแล้วได้อย่างไร ไม่อาจมองนางเป็นเด็กสาวที่พบการลักพาตัวก็จะหวาดกลัว จะร้องไห้โวยวายไร้สติได้
คนที่ทำการปลูกฝีเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ไม่ใช่คน ไม่อาจเอาคนธรรมดามาเปรียบกับเขาได้
“คุณหนูจวิน พวกเราที่นี่เด็กไม่มาก เวลาเพียงพอ” เขายิ้มเอ่ย “ท่านไม่ต้องกังวล”
“ไม่พอ ประการที่หนึ่งพวกท่านประเมินผลกระทบที่ข้าหายไปต่ำเกินไป ข้าเดาว่าตอนนี้ทั้งมณฑลเหอเป่ยซีคงรู้ว่าข้าถูกลักพาตัวแล้ว อย่างไรก็เป็นข้าสร้างการปลูกฝีขึ้นมา” คุณหนูจวินเอ่ย เงยหน้าเล็กน้อยมองพวกเขา เหมือนภาคภูมิใจมาก “นี่เป็นการปลูกฝีเชียวนะ”
“ก็แค่ปลูกฝีไหม” มีคนเอ่ยพึมพำคำหนึ่ง
ก็แค่ การปลูกฝีไหม
เรื่องที่เอ่ยออกมาแรกสุดคนทั้งหมดตื่นตะลึงตั้งข้อสงสัย อาศัยชื่อเสียงของนางเรียกคนมาพิสูจน์ทุกคนถึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องนี้ แม้ตอนนี้ทุกคนล้วนยอมรับการปลูกฝีแล้ว แต่การปลูกฝีก็ยังคงเป็นเรื่องครึกโครมเรื่องหนึ่ง ทำให้คนตื่นตะลึงสงสัยใคร่รู้รวมถึงสรรเสริญ
แต่ดูปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ เหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เป็นเรื่องที่สมควรมีอยู่แล้ว
เห็นชัดมากว่าพวกเขารู้จักการปลูกฝี อาจทำไม่เป็น แต่ต้องเคยได้ยินแน่นอน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจสักนิด
คุณหนูจวินเม้มปาก
“อีกอย่าง ที่สำคัญที่สุดคือพวกท่านก็ไม่ใช่ไม่มีช่องโหว่” นางเอ่ย
ช่องโหว่หรือ?
เซี่ยหย่งหรี่ตาลง ส่วนบุรุษทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้านหลังเกาศีรษะ
“มีหรือ? ไม่ใช่กวนน้ำให้ขุ่นก็พอแล้วรึ?” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
นี่ก็คือคนหนึ่งในนั้นที่ลักพาตัวนาง
“กวนน้ำให้ขุ่นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ยามกวน พวกท่านก็ยืนอยู่ในน้ำด้วย ไม่ได้ยืนอยู่บนฝั่ง” คุณหนูจวินเอ่ยต่อทันที มองบุรุษคนนี้ “ท่านคิดถึงเขาจั้นหวงซานได้อย่างไร? พวกท่านเคยประมือกับโจรภูเขาพวกนี้ใช่หรือไม่? อาจถึงขั้นเสียท่า ดังนั้นถึงต้องการยืมมือทหารยิงทีเดียวได้นกสองตัว?”
“พวกเราไม่ได้เสียท่า พวกเราแค่ไม่สะดวกเอาจริงกับพวกเขา” บุรุษคนนั้นตะโกนบอกทันที สีหน้าไม่ยอมรับ
เสียงของเขายังไม่ทันจาง เซี่ยหย่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็ได้สติกลับมา ยกมือขึ้นประเคนหนึ่งฝ่ามือให้เขา
“ตะโกนอะไรฮะ!” เขาตะคอก
บุรุษคนนั้นถูกตีจนมึนอยู่บ้าง สีหน้างุนงง
คุณหนูจวินกวาดผ่านคนอื่นๆ เห็นคนมากมายล้วนสีหน้าเหมือนเช่นบุรุษคนนั้น
“ใช่แล้ว พวกเราไม่ได้เสียท่านะ” ยังมีคนไม่ยินยอมเอ่ยตามออกมาอีก
ซื่อได้น่ารักจริง
คุณหนูจวินหลุดยิ้มนิดๆ ทั้งยังรู้สึกแปลกใจ
คนเหล่านี้เหมือนจะร้ายกาจนัก ค้นพบว่าตนเองกำลังถูกคนไล่ตามจับอยู่ คิดใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ ชิงตนเองมาจากการป้องกันที่วางไว้ได้เหมือนเดินเล่นในสวน ค้นพบร่องรอยที่นางพยายามทิ้งไว้ นี่เป็นเรื่องที่ร้ายกาจอย่างที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่นิสัยที่เผยออกมาจากท่าทางวาจาทำให้คนรู้สึกเฉกเช่นเดียวกับรูปลักษณ์ของพกวเขา ซื่อตรงเรียบง่ายจนไร้เดียงสา
คนเช่นนี้ก็ไม่ใช่ไม่มี ตัวอย่างเช่นทหารที่ได้รับการฝึกโดยเฉพาะพวกนั้น เพียงต้องมีความสามารถที่เจาะจง ไม่จำเป็นต้องคิดว่าทำอย่างไร เพราะจะมีคนบอกพวกเขาว่าทำอย่างไร พวกเขาเพียงต้องไปทำก็พอแล้ว
ถ้าอย่างนั้นความสามารถเหล่านี้ล้วนเป็นอาจารย์สอนให้พวกเขาหรือ? อาจารย์ก็คือคนที่เดิมทีบัญชาการให้พวกเขาทำงานคนนั้นสินะ?