Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 155 มีน้ำใจมีคุณธรรม
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 155 มีน้ำใจมีคุณธรรม
แต่บนโลกนี้ยังมีประโยคที่ว่ามองเงินทองดั่งมูลดิน
คำประกาศของเต๋อเซิ่งชางเอ่ยจบ ฝูงชนที่เอะอะกลับไม่ได้รุมเข้ามา ถึงขั้นยังถอยหลังไปหลายก้าว
จินสือปาเลิกคิ้ว
มองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งก้าวออกมา
“พวกท่านพูดเช่นนี้พวกเราไม่กล้ารับแล้ว” เขาสีหน้าฮึกเหิมเอ่ย “เพื่อปลูกฝีให้พวกเราคุณหนูจวินถึงมาที่นี่จนพบเรื่องโชคร้ายนี้ พวกเราไปตามหาไปช่วยคุณหนูจวินเป็นเรื่องสมควร จะเอาเงินพวกท่านได้อย่างไรเล่า”
เขาพูดพลางยกมือตบหน้าตนเองแปะๆ
“พี่ชายท่านนี้ ท่านทำเช่นนี้ตบหน้าพวกเราแล้ว”
สิ้นเสียงของเขา ชาวบ้านรอบด้านก็พากันตะโกนขึ้นมา
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
“พวกเราจะเอาเงินได้อย่างไรเล่า?”
“คุณหนูจวินเพราะพวกเราถึงเกิดเรื่อง”
เสียงตะโกนซัดสาดดังเช่นคลื่นฝูงชน
“ไม่เลว คราวนี้มีเงินแล้วยังมีน้ำใจกับคุณธรรม ก็ดี ก็ดี” จินสือปาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น
“ดูสินี่ก็คือประชาชนเมืองชิ่งหยวนของข้า!” เจ้าเมืองโจวเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิมเช่นกัน พลางสั่งการอาลักษณ์ข้างกาย “บันทึกไว้”
อาลักษณ์รีบขานรับ
แม่ทัพใหญ่เผิงก็สีหน้าภาคภูมิไปด้วย
คุณหนูจวินเกิดเรื่องที่นี่ หลังจากนั้นคนที่นี่ยังรับเงินถึงไปช่วยค้นหา เรื่องราวแพร่ออกไปเมืองชิ่งหยวนของพวกเขาคงชื่อเสียงเหม็นโฉ่วระบือไกล
พวกเหลยจงเหลียนก็ผิดคาดอยู่บ้าง ในเวลาเดียวกันก็ซาบซึ้ง
“เรื่องของคุณหนูจวินไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน น้ำใจของพวกท่านพวกเราล้วนรู้” เหลยจงเหลียนเอ่ย คำนับอีกครั้งอย่างจริงใจ “นี่ก็เป็นน้ำใจของพวกเราเช่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เอาเช่นนี้เถอะ” ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางที่ชิ่งหยวนเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ทุกคนยังไม่ต้องรับเงิน เมื่อมีข่าวมาแจ้งพวกเรา พวกเราค่อยให้เงิน นี่เป็นการให้ค่าน้ำชาทุกคน”
เขาพูดพลางชี้กระบุงที่วางอยู่บนโต๊ะ
“เงินนี่ก็วางไว้ตรงนี้”
คำนับให้ชาวบ้านทั้งหลายอีกครั้ง
“อย่างไรก็ขอทุกคนอย่าปฏิเสธอีกเลย คุณหนูจวินสำคัญกับพวกเรายิ่ง“ เขาเอ่ยยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “ทุกคนให้พวกเราจ่ายเงินซื้อความสบายใจเถิด”
การร้องไห้นี้ของเขาจริงใจสมจริง ตอนที่ได้ยินข่าวนาทีนั้นเขาอยากจะตายไปเสียยิ่งนัก
คุณหนูจวินเกิดเรื่องที่เมืองชิ่งหยวน ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งผู้ดูแลใหญ่นี้ของเขาก็นับว่าถึงสุดปลายแล้ว
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พากันหลั่งน้ำตาด้วย
“คุณหนูจวินสำคัญมากเพียงไร พวกเราก็รู้” ผู้เฒ่าคนก่อนหน้านี้หมุนตัว เอ่ยเสียงสั่นกับชาวบ้านทั้งหลาย “มีคุณหนูจวินหมอเทวดาเช่นนี้อยู่ ลูกหลานของพวกเราล้วนได้รับการปกป้อง วิชาแพทย์ของหมอเทวดาเช่นนี้ของคุณหนูจวินสืบทอดต่อไป ลูกๆ หลานๆ ชนรุ่นหลังของพวกเราก็จะได้รับการปกป้องด้วย”
เขาพูดพลางยกมือขึ้น
“ทุกคนรีบไปหาข่าว ต้องตามหาคุณหนูจวินให้พบ ต้องปกป้องคุณหนูจวินให้ปลอดภัย หากโจรภูเขาพวกนั้นต้องการเงิน พวกเราหนึ่งคนหนึ่งอีแปะก็รวมให้พวกเขาพอได้ ขอแค่ปล่อยคุณหนูจวิน อย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ต้องการสิ่งใดล้วนมอบให้”
ชาวบ้านบนถนนรับคำดังกระหึ่ม ประหนึ่งน้ำหลากถอยไปสองด้าน
แม่ทัพใหญ่เผิงกับเจ้าเมืองที่ยืนอยู่ข้างถนนหวิดถูกเบียดเข้า ถอยหลบออกไปท่ามกลางทหารที่คุ้มกัน มองดูฝูงชนที่เดินวิ่งกระจายตัวเหล่านี้ จินตนาการได้ว่าข่าวนี้จะกระจายไปทั่วทุกสารทิศตามพวกเขาด้วย
แม้เรื่องนี้ไม่ควรค่าให้ชื่นชม แต่หากคุณหนูจวินถูกช่วยออกมาได้อย่างราบรื่น เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องน่าสรรเสริญของเมืองชิ่งหยวน
แน่นอนว่าเงื่อนไขคือคุณหนูจวินปลอดภัยไม่เป็นไร
คิดถึงตรงนี้ ในใจเจ้าเมืองโจวฉับพลันมีหินยักษ์ก้อนหนึ่งกดทับไว้
“ครั้งนี้พวกเจ้าต้องสร้างหน้าตาหน่อยแล้ว” เขาหันหน้ามาเอ่ยเย็นชากับแม่ทัพใหญ่เผิง
หน้าแม่ทัพใหญ่เผิงฉับพลันดำไปสามส่วน กำลังจะพูดอะไรก็เห็นฝูงชนวุ่นวายเหมือนถูกดาบแหวกออกหลีกเป็นทางเส้นหนึ่ง ขบวนคนม้าขบวนหนึ่งเดินเข้ามา
แม่ทัพใหญ่เผิงฉุกคิดได้
“อั้ยย่ะ มารดาข้า เจ้าคนพวกนี้มาได้อย่างไร?” เขาเอ่ย
พวกไหน? เจ้าเมืองโจวมองตามสายตาของเขาไป สีหน้าฉับพลันแข็งทื่อด้วยทันที
บนถนนที่เดิมทีเอะอะค่อยๆ เงียบลง เสียงกีบเท้าม้ากุบกับชัดเจนเป็นพิเศษ
มองเห็นองครักษ์เสื้อแพรสิบกว่าคนนี้เข้ามาใกล้ตรงหน้า เจ้าเมืองโจวกับแม่ทัพใหญ่เผิงสีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ยิ่งนัก
คงไม่ใช่ตอนนี้ก็จะเอาตัวพวกเขาไปแล้วหรอกนะ?
พวกองครักษ์เสื้อแพรพลันหลีกออกบ้าง ด้านหลังมีคนขี่ม้าเยาะย่างมา มองเห็นคนผู้นี้แม่ทัพใหญ่เผิงก็ตาโตอ้าปากกว้าง
นี่ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ผู้คุ้มกันของคุณหนูจวินหรือ? ทำไมทั้งร่างสวมหนังสุนัขสีแดง เอ้ย ชุดปลาบิน
ที่แท้คุณหนูจวินคนนี้มีองครักษ์เสื้อแพรเป็นผู้คุ้มกันด้วยเรอะ
คุณหนูจวินผู้นี้มีความสามารถจริงๆ หนา
จินสือปาคร้านจะทำความเข้าใจว่าแม่ทัพใหญ่เผิงคิดอะไร
“แม่ทัพใหญ่เผิง คนของข้าเรียกมาแล้ว” เขาเอ่ย “ทุกคนทำงานได้แล้วกระมัง?”
แม่ทัพใหญ่เผิงกับเจ้าเมืองโจวได้สติกลับมา
“ได้ ได้” เจ้าเมืองโจวรีบเอ่ย แล้วมองจินสือปาอีกครั้ง “ใต้เท้าท่านนี้เรียกขานว่าอย่างไร?”
“เรื่องนี้ไม่สำคัญ” จินสือปาเอ่ย ชักม้าไปข้างหน้า “ตามหาคุณหนูจวินให้พบสำคัญที่สุด”
เจ้าเมืองโจวมองพวกองครักษ์เสื้อแพรติดตามเขาจากไปแล้วพรูลมหายใจ
ไม่สำคัญได้อย่างไร? เห็นชัดยิ่งว่าพวกองครักษ์เสื้อแพรของมณฑลเหอเป่ยซีนี่ล้วนฟังเขา คนแปลกหน้าที่เคลื่อนองครักษ์เสื้อแพรของมณฑลเหอเป่ยซีได้ผู้นี้ ตัวตนของเขาต้องสำคัญยิ่งแน่นอน
มาจากเมืองหลวงหรือ? มาเพราะเฉิงกั๋วกงหรือ? แต่ทำไมรั้งอยู่ที่นี่ไม่ขึ้นเหนือ? เพราะได้ยินว่าคุณหนูจวินหายไปหรือ?
เจ้าเมืองโจวยิ่งคิดยิ่งสับสน
“คนผู้นี้ใครกัน?” เขาถามแม่ทัพใหญ่เผิง “ดูแล้วคุ้นกับเจ้ายิ่งนัก”
แม่ทัพใหญ่เผิงถลึงตา
“หยุดด่าคนได้แล้ว เจ้าสิถึงคุ้นเคยกับองครักษ์เสื้อแพรยิ่ง” เขาเอ่ย
ด้วยฐานะของเขาเอ่ยเช่นนี้กับเจ้าเมืองโจวผิดธรรมเนียมยิ่งนัก เจ้าเมืองโจวคร้านจะสนใจเขา
“รีบทำงานเถอะ คนของทุกคนล้วนเตรียมพร้อมแล้ว” เขาเอ่ย พูดจบสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
แม่ทัพเผิงมองดูผู้คนของเต๋อเซิ่งชางเอ่ยประกาศกับชาวบ้าน แล้วมององครักษ์เสื้อแพรสีหน้าดุร้ายขบวนหนึ่งควบขี่เร็วรี่จากไป
คราวนี้วุ่ยวายจริงๆแล้ว
“เรียกคน” เขาตะโกนเสียงดัง ตนเองก็พลิกกายขึ้นม้าด้วย “เรียกคน ไป”
……………………………………….
คุณหนูจวินยกชาม ใช้ตะเกียบคีบแป้งชิ้นสุดท้ายในน้ำแกงเนื้อในชามกินลงไป ดื่มน้ำแกงเกลี้ยง ตอนนี้ถึงวางตะเกียบกับชามลง
จานชามที่วางอยู่บนโต๊ะเปลี่ยนเป็นสะอาดเกลี้ยงเกลา
“ข้ากินเสร็จแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วยังยื่นมือตบหน้าท้อง เหมือนกับเด็กน้อยที่ทานอาหารโอชามื้อหนึ่งอิ่มเอมใจ
ผู้หญิงทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้ายังคงตื่นตะลึงอยู่
เด็กสาวคนนี้หิวจริงๆ หนอ แล้วยังใจใหญ่อีกด้วย
ตั้งแต่นางเข้าหมู่บ้านมา ท่าทางเก้กังสักนิดไม่มีเลย เหมือนมาเป็นแขกจริงๆ ยังเป็นแขกที่คุ้นเคยอีกด้วย
“ชาไม่ดี อาหารง่ายๆ คุณหนูจวินโปรดอภัยด้วย” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ย
พูดความจริง ของกินไม่ดีอย่างไร นี่ยังใช้มาต้อนรับแขก คิดดูก็รู้ว่าของกินในชีวิตประจำวันของพวกเขาคงเลวร้ายยิ่งกว่า
คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน
“พวกเราเริ่มปลูกฝีกันเถอะ” นางเอ่ย
คนในหมู่บ้านนี้ไม่มาก ตั้งแต่เข้าหมู่บ้านมานับดูที่เห็นก็แค่ยี่สิบสามสิบคน เด็กๆ ยิ่งน้อย หน่อฝีที่รวบรวมมาตลอดทางที่ผ่านมาเพียงพอใช้
ปลูกฝีให้เด็กคนสุดท้ายเสร็จเพิ่งเที่ยงวันเท่านั้น คุณหนูจวินมองไปทางภรรยาของเซี่ยหย่ง
“ยังมีเด็กคนอื่นอีกไหม?” นางเอ่ยถาม
ภรรยาของเซี่ยหย่งส่ายศีรษะ
“ไม่มีแล้ว“ นางเอ่ย ยังเอากระดาษสีแดงสดแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านข้าง “ตามที่คุณหนูจวินบอก เด็กที่อายุเต็มหนึ่งขวบ น้อยกว่าสิบสามปีก็คือพวกนี้”
หนังสือประกาศนี่ก็คือประกาศเรื่องปลูกฝีที่ติดอยู่ตรงประตูเมืองชิ่งหยวนซึ่งแม่ทัพใหญ่เผิงบอกว่าถูกขโมยไปสินะ
ที่แท้ตนเข้าเมืองชิ่งหยวนมาก็ถูกจับจ้องแล้ว
เพราะการปลูกฝีสินะ นอกจากเชิญนางมาปลูกฝี ยังมีคำถามอื่นต้องการถามหรือไม่?
คุณหนูจวินเม้มปาก
แต่ก่อนหน้าพวกเขาถาม นางก็มีคำถามอยากถามเหมือนกัน
“ที่จริงอายุมากกว่าสิบสามปีแต่ต่ำกว่าสิบเจ็ดสิบแปดก็ปลูกฝีได้” นางเอ่ย “ผู้ใหญ่ก็ได้ ที่ไม่บอกก็เพราะเด็กๆ ถูกเล่นงานง่ายที่สุด จำนวนหน่อฝีมีจำกัดดังนั้นถึงให้พวกเขาใช้ก่อน”
ภรรยาของเซี่ยหย่งรวมถึงคนในเรือนล้วนพยักหน้าร้องอ้อ
“ดังนั้น พวกท่านที่นี่มีเด็กๆ ที่อายุมากกว่าสิบสามปีแต่น้อยกว่าสิบเจ็ดสิบแปดปีไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม