Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 166 ไม่เชื่อฟังไม่ยอมรับ
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 166 ไม่เชื่อฟังไม่ยอมรับ
ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเวลาที่เมืองหลวงงดงามที่สุด พืชพันธุ์ธัญญาหาร เนื้อไข่ไก่ปลากองเต็มตลาด ทุกที่เจริญรุ่งเรืองคึกคัก
สำหรับโรงเลี้ยงม้าของกรมปศุสัตว์ที่ตั้งอยู่นอกเมืองก็เป็นช่วงเวลากักตุนหญ้าเลี้ยงม้าอาหารเลี้ยงสัตว์คันแล้วคันเล่าเหมือนกัน เพียงแต่เทียบกับความเร็วของปีที่แล้ว ขบวนรถครั้งนี้ต่อแถวอยู่ที่โรงม้าเป็นแถวยาว
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ยังไม่เสร็จหรือ?”
“หญ้าเลี้ยงม้ายังต้องตรวจด้วยรึ?”
“ก่อนหน้านี้ไม่ตรวจนี่”
ผู้คนที่มาส่งของสอบถามกัน กลางวันฤดูใบไม้ร่วงแม้เย็นสบายแต่แสงตะวันก็แสบร้อนยิ่ง บวกกับกลิ่นเหม็นที่โชยมาจากในโรงเลี้ยงม้า ทำให้ผู้คนที่รออยู่กลายเป็นร้อนรนหงุดหงิด
“ที่แท้เกิดอะไรขึ้นฮะ? ทำอะไรกัน? จะเก็บเงินเรียกสินบนใช่หรือไม่? นี่กี่วันแล้ว ยืดยืดอืดอาดไม่จบไม่สิ้น” มีชายฉกรรจ์กำยำล่ำสันคนหนึ่งทึ้งเสื้อออกเผยหน้าอกเส้นขนยุบยับตะโกน “ไม่ดูเสียบ้างว่าข้าเป็นใคร”
คนที่อยู่ที่นั่นล้วนรู้จัก เขาเป็นญาติของขุนนางผู้ดูแลกรมปศุสัตว์ ชื่อเล่นว่าว่านชี หญ้าเลี้ยงม้ากว่าครึ่งที่นี่ล้วนเป็นเขาส่งมา
ก่อนหน้านี้ยามเขามา ขุนนางผู้น้อยทั้งหลายในโรงเลี้ยงม้าล้วนจะเข้ามาต้อนรับ ครั้งนี้กลับมีเพียงว่านชีโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงพุ่งเข้ามา ผู้คนรีบยื่นศีรษะส่งสายตา ได้ยินเสียงเอะอะพักหนึ่งในโรงเลี้ยงม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องทีหนึ่ง
ไม่รู้ว่าขุนนางผู้น้อยโชคร้ายคนไหนถูกตีเข้าแล้ว ว่านชีคนนี้ตั้งแต่เล็กอันธพาล ฝึกฝนร่างกายจนกล้ามเนื้อปูดโปน
ความคิดแล่นผ่านก็เห็นมีขุนนางผู้น้อยหลายคนลากคนผู้หนึ่งโยนออกมา ผู้คนรีบล้อมเข้าไป มองเห็นว่านชีที่นอนอยู่บนพื้นชัดก็ฮือฮาอีกครั้ง
ว่านชีไม่ได้สภาพดุร้ายอย่างเมื่อครู่แล้ว บนหน้าถูกต่อยจนบวมแดง ตาสองข้างล้วนมองไม่ชัด ปากยิ่งถูกมูลม้ายัดไว้อย่างน่ารังเกียจ
ใครกันเ**้ยมปานนี้
มีคนเข็นรถว่างออกมาจากด้านใน มองเห็นภาพนี้ก็เบะปากหดหัว ท่าทางหวาดกลัวตามหลังอยู่บ้าง
“ซื่อตรงหน่อยเถอะ” เขาเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้คนที่ดูแลเป็นถึงบุตรชายเฉิงกั๋วกง”
บุตรชายเฉิงกั๋วกง?
ผู้คนสบตากันทีหนึ่งตกตะลึง
บุตรชายเฉิงกั๋วกงไม่ได้ถูกลงโทษให้เลี้ยงม้าหรือ ทำไมกลายมาเป็นคนดูแลแล้วเล่า?
เสียงป้าบดังขึ้นทีหนึ่ง
หญ้ามัดหนึ่งถูกฟาดงบนโต๊ะ
“ทำไมข้าต้องค้นหญ้าเลี้ยงม้าของพวกเจ้า?”
หน้าโรงเก็บหญ้าของโรงเลี้ยงม้าสร้างเพิงไว้ จูจั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ สองขาพาดอยู่บนโต๊ะ ร่างกายโยกไปมา
เขาขายาวแขนยาว เมื่อให้เก้าอี้มีเพียงสองขาติดพื้น พอโยกไปมาดูแล้วเหมือนนาทีต่อไปจะล้มหงาย แต่ก็ดันไม่ล้มชวนให้คนใจลุ้นระทึก
“ข้ารับราชโองการให้มาเลี้ยงม้า” เขาเอ่ย “รู้ว่าอะไรเรียกรับราชโองการไหม?”
รับราชโองการพวกเขารู้ก็จริง แต่ท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ถูกลงโทษให้มาเลี้ยงม้าหรือ?
ลงโทษกับรับราชโองการนี่เป็นความหมายเดียวกันหรือ
แต่ข้อสงสัยเช่นนี้ไม่มีใครกล้าถาม สองข้างขุนนางผู้น้อยยืนเป็นแถวพากันพยักหน้ายิ้มประจบขานขอรับ
“ในเมื่อข้ารับราชโองการมาเลี้ยงม้า เลี้ยงม้าไม่ดีไม่ใช่ขัดโองการหรือ?” จูจั้นเหวี่ยงหญ้าเลี้ยงม้าเอ่ยขึ้น มองดูคนรอบด้าน “พวกเจ้ากล้าขัดราชโองการหรือ?”
แม้ฟังแล้วไม่รู้ว่าทำไมกลายเป็นขัดราชโองการอยู่บ้าง แต่พวกเขาไม่กล้าจริงๆ!
คนรอบด้านพากันส่ายศีรษะ
“ดังนั้นม้าจะเลี้ยงให้ดีอย่างไร ที่สำคัญก็คือกินหญ้า” จูจั้นเอ่ย โยนหญ้าเลี้ยงม้าในมือลงบนโต๊ะ ชี้พ่อค้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้า “หญ้าเลี้ยงม้านี่ เจ้าลากกลับไปเลี้ยงหมูบ้านเจ้าก่อน ไม่ต้องพูดถึงเลี้ยงครึ่งปี เลี้ยงเดือนเดียวหมูบ้านเจ้าไม่ตาย หญ้าเลี้ยงม้าทั้งหมดของเจ้าข้าจะเหมา”
บนหน้าพ่อค้าเหงื่อไหลชั้นหนึ่ง เมื่อครู่เห็นจูจั้นต่อยว่านชีหมัดเดียวปลิว ทั้งยังยัดมูลม้าเต็มปากเขา เขาก็ไม่กล้าเผยความไม่พอใจสักนิด
“ขอรับ ขอรับ ผู้น้อยผิดไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงรีบร้อน “หญ้าเลี้ยงม้าของผู้น้อยไม่ดี จะไปหาที่ดีมาเดี๋ยวนี้”
จูจั้นเหล่ตามองเขา
“นับว่าเจ้ากฉลาดสำนึกได้” เขาเอ่ย “ไสหัวไป”
คำพูดไม่เกรงใจนี่กลับทำให้พ่อค้าเหมือนได้รับอภัยโทษ
“ขอบคุณท่านชาย” เขาคำนับอย่างดีใจ โบกมือให้พวกคนงาน พารถวิ่งไปดั่งบิน
เท้าจูจั้นถีบทีหนึ่ง คนก็ล้มไปข้างหลังตามเก้าอี้ไปด้วย ขุนนางผู้น้อยที่ยืนอยู่สองฝั่งตระหนกหลุดเสียงร้องตกใจ แย่งกันจะเข้ามาประคอง กลับเห็นจูจั้นหงายหลังพลิกร่างกลับหลังทีหนึ่ง คนก็ยืนมั่นคงบนพื้นแล้ว มือก็ยันเก้าอี้อยู่ เก้าอี้ที่จะล้มกลับมามั่นคงอีกครั้ง
บรรดาขุนนางผู้น้อยล้วนอ้าปากโล่งใจทันที มีคนถือผ้าเช็ดมือส่งให้จูจั้น มีคนอยู่ด้านข้างโบกพัด ยังมีคนยกชาร้อน
“ท่านชาย ท่านพักผ่อนสักหน่อย”
“ท่านชาย เหน็ดเหนื่อยท่านแล้ว”
ทุกคนประจบดังวุ่นวาย จูจั้นเดินส่ายอาดๆ รับผ้าเช็ดมือไปเช็ดมือ รับชาดื่มคำหนึ่ง
“ดูสภาพเยี่ยงนายท่านเช่นนี้ของเขา” หัวหน้ากองร้อยเจียงที่ยืนอยู่ไกลกอดอกเลิกคิ้ว “โรงเลี้ยงม้าแห่งนี้คงกลายเป็นดินแดนของเขาไปแล้ว คนผู้นี้ทำไมไม่มียางอายสักนิดเลยนะ? เขาถูกลงโทษมาชัดๆ ทำไมทำตัวเป็นนายท่านได้หน้าตาเฉยปานนี้?”
คำพูดนี้องครักษ์เสื้อแพรข้างกายไม่รู้ควรตอบอย่างไร
“เรียนฝ่าบาทให้ฝ่าบาทตำหนิเขาไหมขอรับ?” เขาเอ่ยถาม
“ตำหนิอะไร ตอนนี้ทั้งแดนเหนือล้วนอาศัยบิดาเขาอยู่นะ” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ย
มองจูจั้นส่ายอาดๆ ถูกขุนนางผู้น้อยกลุ่มหนึ่งรุมล้อม แม้สวมชุดคนเลี้ยงม้าก็สภาพดั่งนายท่าน
“มีบิดาที่ดีคนหนึ่งจริงๆ” เขาแค่นเสียงเอ่ย
ด้านนี้กำลังพูดกันอยู่ ก็เห็นมีอีกสองคนเดินมาถึงตรงหน้าจูจั้น
หัวหน้ากองร้อยเจียงเลิกคิ้วอีกครั้ง
“นี่ไม่ใช่คนของบ้านที่ปรึกษาเติ้งหรือ?” เขาเอ่ย
ในฐานะองครักษ์เสื้อแพร ผู้ติดตาม คนรับใช้ของขุนนางในเมืองหลวงล้วนฟังจนคุ้นท่องได้คล่อง
ที่ปรึกษาเติ้งเป็นขุนนางคนสำคัญของสำนักผู้ตรวจการ ในราชสำนักมีฐานะยิ่งไม่อาจดูแคลน สำนักผู้ตรวจการหลายปีนี้กล่าวร้ายเฉิงกั๋วกงไม่มีออมแรง ทำไมมาหาจูจั้นได้?
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองผู้ติดตามสองคนนั้นคำนับจูจั้นอย่างนอบน้อม จูจั้นสีหน้าติดจะรำคาญอยู่บ้าง ห่างกันไกลจึงไม่รู้ว่าพูดอะไร เห็นผู้ติดตามสองคนนั้นไม่เพียงไม่โกรธเกี้ยว ตรงกันข้ามยิ่งนอบน้อม นำเอกสารหลายแผ่นส่งให้จูจั้น
หัวหน้ากองร้อยเจียงพยักเพยิดคาง องครักษ์เสื้อแพรข้างกายก็ก้มศีรษะถอยออกไป
หัวหน้ากองร้อยเจียงไม่เอ่ยวาจาอีก มองจูจั้นรับเอกสารไปดูแล้วพูดอะไรอีกหน สองคนนั้นก็เอาเอกสารออกมาอีกหนึ่งแผ่น ตอนนี้จูจั้นถึงพยักหน้า หมุนตัวก้าวเดิน สองคนนั้นติดตามไปดีอกดีใจ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรที่ไปสืบข่าวก็กลับมาแล้ว
“มาเอาม้าของที่ปรึกษาเติ้งขอรับ” เขาเอ่ย
ขุนนางในราชสำนักเมื่อถึงตำแหน่งประมาณหนึ่งล้วนมีม้ากับผู้ติดตามที่ราชสำนักจัดสรรให้ ฐานะของที่ปรึกษาเติ้งย่อมมีคุณสมบัติพอ
แต่หัวหน้ากองร้อยเจียงกลับขมวดคิ้ว
“หญ้าเลี้ยงม้าเขายุ่ง รับม้าเขาก็ยุ่งด้วยหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น
“นี่เดิมทีเขาไม่ยุ่ง” องครักษ์เสื้อแพรเอ่ย “เพียงแค่ทุกคนล้วนชอบเรียกเขาให้เลือกม้า บอกว่าม้าที่ท่านชายเลือกทั้งเชื่อฟังทั้งแข็งแรง”
เจ้าหนูนี่ มีความสามารถจริงๆ รึ? ไม่ใช่ทุกคนเห็นแก่หน้าบิดาเขาจงใจเยินยอเขารึ? หัวหน้ากองร้อยเจียงขมวดคิ้ว
มีองครักษ์เสื้อแพรเดินมาจากด้านข้าง
“ใต้เท้า ข่าวจากแดนเหนือฝั่งนั้นมาแล้ว” เขาคำนับเอ่ย
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองโรงเลี้ยงม้าของกรมปศุสัตว์ทีหนึ่ง
“พวกเจ้าจับตาเขาไว้ หากออกจากเขตเมืองหลวงก้าวหนึ่ง” เขาเอ่ย “สังหารไม่เว้น”
องครักษ์เสื้อแพรสองคนก้มศีรษะรับคำ
หัวหน้ากองร้อยเจียงกลับมาถึงกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ลู่อวิ๋นฉีที่นั่งเดียวดายอยู่ในห้องกำลังถือจดหมายฉบับหนึ่งอ่านอยู่
“สถานการณ์การตรวจสอบเฉิงกั๋วกงเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงรีบร้อนเอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นฉีตอบอ้อทีหนึ่ง เชิดคางเล็กน้อย
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้อ่าน เจ้าอ่านดูเถอะ” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองร้อยเจียงตะลึงไปนิดหนึ่ง ถึงกับยังไม่อ่านหรือ? สำคัญเช่นนี้…สายตาของเขาหยุดอยู่บนจดหมายที่ลู่อวิ๋นฉีถืออยู่ในมือ นั่นเป็นข่าวที่สำคัญยิ่งกว่าหรือ?
เขาหยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นมากรีดครั่งเปิด กวาดอ่านทีเดียวบนหน้าก็ผุดความตกตะลึง
“เห็นผีแล้วจริงๆ ” เขาเอ่ย “คนเหล่านี้ทำไมล้วนเอ่ยชมเฉิงกั๋วกงเล่า?”