Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 181 ใจผูกพันทิ้งไม่ลง
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 181 ใจผูกพันทิ้งไม่ลง
นอกจากขุนนางคนสำคัญทางการทหารจำนวนหนึ่งที่รั้งอยู่หารือจัดการธุระบ้านเมืองต่อ ขุนนางคนอื่นล้วนเลิกประชุมแยกย้าย
ลู่อวิ๋นฉีตลอดมาไม่เข้าร่วมเรื่องเหล่านี้ เทียบกับขุนนางที่เดินจับกลุ่มสองคนสามคนพูดคุยเบาๆ เหล่านั้น เขาเดินคนเดียวอยู่ท้ายสุดแลดูโดดเดี่ยว
แน่นอนไม่มีใครรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร ยิ่งไม่ได้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเพราะเรื่องนี้
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรนอกวังรอคอยอยู่ เห็นเขาก็พากันเข้ามาคำนับ
“ใต้เท้าลู่”
ด้านข้างบ่าวชายที่คล้ายกำลังรอนายท่านของตนอยู่เดินเข้ามา ในมือถือกล่องอาหารกล่องหนึ่ง
บ่าวชายคนนี้ก้าวเข้ามาก็ถูกเหล่าองครักษ์เสื้อแพรขวางไว้ทันที บ่าวชายไม่ได้หวาดกลัวและไม่ได้หงุดหงิด สีหน้านอบน้อมยืนอยู่ที่เดิมคำนับ
“ใต้เท้าหวงอีกสักครู่ถึงออกมาได้” ลู่อวิ๋นฉีมองเขาพลางเอ่ย
“มีบางเรื่องต้องการไหว้วานใต้เท้า” บ่าวชายเอ่ย “นายท่านผู้เฒ่าตระกูลข้าร่างกายไม่แข็งแรง นี่เป็นยาบำรุงที่หมอหลวงกำชับว่าต้องทาน ไม่ทราบว่าใต้เท้าช่วยส่งเข้าไปได้หรือไม่”
ใต้หล้านี้คนที่กล้าขอให้ลู่อวิ๋นฉีช่วยเป็นเด็กส่งของเช่นนี้ก็มีไม่กี่คน
ลู่อวิ๋นฉีมองเขาไม่เอ่ยวาจา
“ได้ยินว่าร่างกายขององค์หญิงไม่ค่อยสบาย ยาบำรุงนี่ก็พอดีใช้กับอาการไอ ดังนั้นใต้เท้าจึงตั้งใจกำชับให้เตรียมไว้สองชุด” บ่าวชายเอ่ยต่อ “ใต้เท้าของตระกูลข้าคิดถึงองค์หญิงกับไหวอ๋องเสมอ หวังว่าพวกเขาจะปลอดภัยจากโรคร้ายทั้งปวง”
พูดพลางชูกล่องอาหารสูงเหนือศีรษะ ไม่เอ่ยวาจาอีก
ความหมายนี้ผู้อื่นอาจฟังแล้วไม่รู้สึกอย่างไร ก็แค่คำพูดตามมารยาทปกติธรรมดาคำหนึ่ง แต่หัวหน้ากองร้อยเจียงที่ยืนอยู่ข้างกายลู่อวิ๋นฉีในใจรู้ชัดยิ่ง
นี่คือการแลกเปลี่ยน
ความหมายของหวงเฉิงก็คือ เขารับประกันว่าไหวอ๋องจะมีชีวิตยืนยาวไร้กังวล
หากเป็นคนอื่นพูด หัวหน้ากองร้อยเจียงคงแค่นเสียงขึ้นจมูก แต่ฐานะของหวงเฉิงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ทำให้เขาไม่อาจไม่เชื่อ
หากฮ่องเต้คิดอยากสังหารใครสักคนและใครก็เกลี้ยกล่อมไม่ได้ หวงเฉิงต้องทำได้แน่ ตรงกันข้ามหวงเฉิงก็ทำให้ฮ่องเต้คิดอยากสังหารใครสักคนได้เหมือนกัน
ลู่อวิ๋นฉีมุมปากยกยิ้ม หัวหน้ากองร้อยเจียงเข้าใจก้าวเข้าไปรับทันที บ่าวชายคนนั้นเอ่ยขอบคุณค้อมกายจากนั้นถอยออกไป
หัวหน้ากองร้อยเจียงเปิดกล่องอาหารออก มองเห็นด้านในวางถ้วยฝาปิดที่ส่งกลิ่นหอมสะอาดสองใบไว้จริงๆ
“ส่งไปให้ใต้เท้าหวงเถอะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
หัวหน้ากองร้อยเจียงส่งเสียงขานรับ เอาถ้วยฝาปิดใบหนึ่งออกมา ส่งให้องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นถือก้าวไวๆ ไปทางพระราชวังทันที
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหวงอยากให้ท่านทำอันใด?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยเสียงเบา
“ข้าจะทำอันใดได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “นอกเสียจากลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งก็เท่านั้น”
นี่ก็เพียงพอแล้ว ลู่อวิ๋นฉีหลับตาข้างหนึ่งก็ประหนึ่งยมราชหลับตาข้างหนึ่ง คนมากมายย่อมเก็บชีวิตหนึ่งได้
หัวหน้ากองร้อยเจียงส่งเสียงขานรับไม่เอ่ยวาจาอีก
“บุตรชายเฉิงกั๋วกงตอนนี้ทำอันใดอยู่?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม
หัวหน้ากองร้อยเจียงร้องอ้อขึ้นมา
“เมื่อครู่กำลังเลี้ยงม้าอยู่ขอรับ” เขาเอ่ย “เมื่อครู่ส่งข่าวมาบอกว่ากำลังแปรงขนม้า”
แล้วแค่นหัวเราะอีกครั้ง
“เขาต้องรู้ข่าวแล้วแน่ ยังแสร้งทำท่านิ่งเฉยอีก”
“ไม่ใช่แสร้งทำ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางมองด้านหน้า “ผู้อื่นมีบิดาที่ดีคนหนึ่ง”
……………………………………….
แปรงแปรงลงบนตัวม้า ม้าสีน้ำตาลแดงส่ายหางสะบัด จูจั้นยกมือตบลงไป ม้าพ่นลมพรืดท่าทางพึงพอใจการปรนนิบัติของเขา
“พี่รอง ท่านอย่าร้อนใจ แม่น้ำจวี้หม่าแตกแล้ว เมืองหรงแตกแล้ว สยงโจวแจ้งข่าววิกฤติไม่ใช่พวกเราไม่ไหวแล้ว” จางเป่าถังรีบร้อนเอ่ย
จูจั้นขานอืม อ้อมตัวม้าหันมา
“ข้าไม่ร้อนใจหรอก” เขาเอ่ย
จางเป่าถังก็รีบหมุนตาม
“…กำลังทหารของโจรจินทั้งหมดมุ่งมาที่แนวสยงโจว พวกเขาถอยหลบ ต้านไม่อยู่ก็ปกติ” เขาเอ่ย
“ไม่ปกติ” จูจั้นเอ่ยขึ้น การเคลื่อนไหวที่มือไม่หยุด
จางเป่าถังพยักหน้า
“ใช่แล้ว ดังนั้นท่านไม่ต้อง…หา…ท่านว่าอย่างไร? ไม่ปกติ?” เขาเอ่ย พูดได้ครึ่งหนึ่งถึงคิดตามคำพูดของจูจั้นทัน ตกตะลึงทันที
สีหน้าของจูจั้นยังคงเหมือนเก่า เคลื่อนไหวสบายๆ แปรงขนม้า
“แม่น้ำจวี้หม่าด้านนั้นเพราะเคยถูกลอบโจมตีครั้งหนึ่ง ท่านพ่อต้องเสริมความแข็งแกร่งของแนวป้องกันแล้วแน่ แม้โจรจินห้าหมื่นโจมตีแม่น้ำจวี้หม่าแตกได้ก็ไม่มีทางยึดเมืองหรงได้เร็วปานนี้” เขาเอ่ย “กองทหารอันซู่ต้องมีปัญหาแน่”
จางเป่าถังสีหน้าเปลี่ยนไปมาครู่หนึ่ง
หากเป็นคนของตนเองเกิดปัญหานั่นย่อมไม่ดีแล้ว
“ท่านอย่าร้อนใจ” เขามองจูจั้นแล้วเอ่ยอีกครั้ง เพียงแต่เทียบกับก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของเขาไม่ได้ปลอบประโลมคนปานนั้นแล้ว
จูจั้นขานอืม
“ข้าไม่ร้อนใจหรอก” เขาเอ่ย
หลังจากเขาเล่าสถานการณ์ของกองทัพแดนเหนือยามนี้ให้เขาฟัง นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาพูดว่าไม่ร้อนใจแล้ว
ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง จางเป่าถังคิดว่าเขากำลังปลอบตนเอง แต่ทำสิ่งใดไม่เกินสาม ตอนนี้ดูท่าเขาไม่ร้อนใจจริงๆ
จางเป่าถังเบิกตามองเขา
“ทำไมท่านไม่ร้อนใจ?” เขาเอ่ยถาม
จูจั้นตบหลังม้า แสงตะวันต้นฤดูหนาวส่องบนม้าสีน้ำตาลแดงแลดูพ่วงพีกำยำ
“ประการแรก ข้าเชื่อว่าท่านพ่อของข้าจัดการเรื่องนี้ได้” เขาเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสงบ เสียงก็หนักแน่นไม่เหมือนก่อนหน้านี้ “ประการที่สอง ข้าร้อนใจอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นใยต้องทำเช่นนั้นเล่า?”
ใช่แล้ว ร้อนใจมีประโยชน์อันใด ห่างกันพันลี้ ติดปีกก็บินไปไม่ได้
ความไม่ร้อนใจนี้เป็นความผ่อนคลายด้วยในใจมั่นใจ ทั้งปวดใจด้วยอับจนหนทางอยู่บ้าง
จางเป่าถังเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่ผิด มีท่านลุงอยู่ต้องไม่มีปัญหาแน่” เขาแย้มยิ้ม สีหน้ามั่นใจเอ่ยขึ้น
“นั่นแน่นอน” จูจั้นเอ่ยแล้วตบก้นม้า
ม้าสีน้ำตาลแดงพ่นลมหายใจเดินออกไป ม้าอีกตัวหนึ่งที่เคี้ยวเชือกเตร็ดเตร่อยู่ด้านข้างพลันมายืนตรงหน้าจูจั้นอย่างว่าง่ายทันที
“พวกเจ้าเดรัจฉานพวกนี้มีความสุขเก่งนักนะ ให้ข้าปรนนิบัติ” จูจั้นเอ่ยด่า “ต้องจ่ายเงินนะ”
ปากด่าพลาง แปรงก็ตกลงบนหลังม้าแล้ว
“ไม่อย่างนั้นท่านไปหาฮ่องเต้โวยวายอีกหนไหม?” จางเป่าถังเอ่ยอีกครั้ง “ดีที่สุดต้องกลับไปให้เร็วที่สุด”
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
“โวยวายมากไปน่ารำคาญแล้ว” เขาเอ่ย
จะบอกว่าโวยวายมากไปฮ่องเต้จะรำคาญหรือ?
“นี่เป็นเรื่องที่ทั้งภักดีทั้งกตัญญู พร้อมด้วยเหตุผลสมควร” จางเป่าถังเอ่ย
จูจั้นยิ้มแล้วใช้แรงตบหลังม้า
“เรื่องที่เหตุผลสมควรมีมากไป” เขาเอ่ยแล้วขมวดคิ้ว “พอแล้ว เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ข้ารู้จักสมควร”
จางเป่าถังร้องอ้อทีหนึ่งพลางพยักหน้า
จูจั้นกลับหยุดการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“ไม่ต้องกังวล อย่างมากที่สุดสองวันท่านพ่อก็จะไปถึงสยงโจวได้แล้ว” เขาเอ่ย
สองวัน?
จางเป่าถังคำนวณระยะทางครู่หนึ่ง สีหน้าวิตกอยู่บ้าง
“โจรจินด้านนั้นแบ่งเป็นสามกองไปขัดขวางท่านลุงแล้ว” เขาเอ่ย “ไม่ไหวจริงๆ สละสยงโจวจะดีกว่า”
จูจั้นกำแปรงขนแปรงหลังม้าอย่างตั้งอกตั้งใจพิถีพิถัน
“แผ่นดินหนึ่งชุ่นโลหิตหนึ่งชุ่น” เขาเอ่ย “โลหิตจะหลั่งรินเสียเปล่าได้อย่างไร”
……………………….
โลหิตไม่เคยหลั่งรินเสียเปล่า
ตะวันตกดั่งโลหิต บนกำแพงของตัวเมืองสยงโจวธงแหว่งวิ่นซากศพรอยเลือดเกลื่อนกลาด เสียงตะโกนคำว่าฆ่าดังขึ้นเป็นแถบ
ทหารจินสวมชุดเกราะคนแล้วคนเล่าร้องตะโกนอาศัยบันไดยาวปีนขึ้นบนกำแพงเมือง สู้ดุเดือดอยู่ด้วยกันกับทหารต้าโจวบนกำแพงเมือง
เวลานี้ไม่พูดถึงขบวนแถวกระบวนทัพอะไรแล้ว มีเพียงสังหารจนเลือดขึ้นตาใช้เลือดแลกเลือดเนื้อปะทะเนื้อ
เข่นฆ่าพักหนึ่ง พร้อมกับที่ก้อนหินน้ำมันร้อนคบไฟโจมตีทหารจินที่โถมขึ้นกำแพงเมืองถอยไป การเข่นฆ่าบนกำแพงเมืองก็จบรอบหนึ่งลงชั่วคราว แต่เสียงแตรเขาสัตว์ฮูมฮูมยังคงดังขึ้นนอกเมืองไม่หยุด
หลี่เซียนหลินยืนอยู่บนกำแพงเมือง บนร่างเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด มีของตนเองและมีของผู้อื่น การสู้รบเลวร้ายต่อกันมาสามวันแล้ว ทำให้ชายฉกรรจ์อายุสี่สิบกว่าปีที่รบทัพจับศึกมานานปีคนนี้สีหน้าแลดูซีดเซียวอยู่บ้าง
เขาเดินไปข้างหน้าหลายก้าวคล้ายอยากมองให้ชัดว่านอกเมืองยังมีทหารจินเท่าไรรวมตัวอยู่ ทว่าเท้าโซเซทีหนึ่ง ทหารที่รบตายก่อนหน้านี้ยังนอนอยู่บนพื้น
กวาดตามองไป บนกำแพงเมืองทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นทหารบาดเจ็บล้มตาย มีบางคนกลิ้งอยู่บนพื้น มีบางคนฝืนลุกนั่งพันบาดแผลให้ตนเอง เสียงร่ำไห้เสียงตะโกนเสียงครวญครางดังระงม
“ทหารเกณฑ์เล่า?” หลี่เซียนหลินตะโกน ท่าทางโมโหโกรธา “ยังไม่รีบแบกคนบนกำแพงลงมาอีก”
แม่ทัพที่ยืนอยู่ข้างกายเขาห้าคนสีหน้าโศกเศร้าเจ็บปวด
“ใต้เท้า ไม่มีทหารเกณฑ์แล้ว” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสียงแหบ