Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 3
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 3 พบพานก็คือวาสนา
บทที่ 3 พบพานก็คือวาสนา
โดย
Ink Stone_Romance
การกลับมาของคุณหนูจวินทำให้ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงครึกครื้นขึ้นมาทันที
หลิ่วเอ๋อร์ไกวข้อศอกของคุณหนูจวินทั้งยิ้มทั้งร้องเรียก เฉินชีก็ยิ้มถามนู่นถามนี่ ฟางจิ่นซิ่วแม้ไม่พูดไม่จาเหมือนเช่นเดิม แต่สีหน้าก็เบิกบานขึ้นอยู่หลายส่วน
“ทำไมไม่บอกล่วงหน้าสักคำจะได้ไปรับท่าน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วได้ข่าว มาถึงก็ดีใจอย่างยิ่งเช่นกัน ทั้งยังติดจะบ่นอยู่บ้าง
“ก็ไม่ไกลมาก อยู่ในบ้านเดือนหนึ่ง อยากเดินสักหน่อย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
“ข้าพูดว่าบอกล่วงหน้า พวกเราจะได้ส่งจดหมายไปให้ที่บ้านเร็วขึ้นหน่อย” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องให้นายน้อยถามทุกวัน”
คุณหนูจวินยิ้ม รู้สึกผิดอยู่บ้าง
นางอยู่ที่วังไหวอ๋องได้พบจิ่วหรง แม้ล้มป่วยหนักหนา แต่เพราะได้เห็นด้วยตาตนเอง รักษาด้วยมือตนเอง ทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ ใจจึงสงบ ส่วนคนที่เป็นห่วงเป็นใยนางเหล่านั้นเพราะมองไม่เห็น ไม่ได้ยินต้องทรมานมากแน่
“ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปให้พวกเขาด้วยตัวเอง พอดีส่งไปด้วยกัน” นางเอ่ย คำนับให้ทุกคนอีกครั้ง “ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มไม่เอ่ยวาจา เฉินชีตบหน้าอก
“ไม่เป็นห่วง พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องรักษาหายแน่” เขาเอ่ย
“นี่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง เป็นหมอก็ต้องรักษาโรค” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
คำพูดแม้กล่าวเช่นนี้ แต่จวินเจินเจินเดิมก็ไม่ควรเป็นหมอ และคนเหล่าก็ไม่ควรมาถึงที่นี่
คุณหนูจวินมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยและยินดีของพวกเขา ในใจซาบซึ้งนัก
ตอนนั้นนางต้องการลงเรือตระกูลฟางสักหน่อย ดังนั้นถึงช่วยเหลือพวกเขาซ่อมอุดรอยรั่วสักนิด คิดไม่ถึงเกี่ยวพันยิ่งลึกซึ้งทุกวัน เรือลำนี้คาดว่าคงลงไม่ได้แล้ว
ก็ไม่รู้ว่านี่สำหรับพวกเขาแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย
ประโยคนี้นางไม่เพียงคิด ยังเขียนไว้บนจดหมาย
จดหมายใช้ม้าเร็ววันคืนไม่หยุด ใช้สี่วันก็ส่งไปถึงหยางเฉิงแล้ว
“ประโยคนี้ทำให้คนปลื้มใจจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วมองจดหมายเอ่ยขึ้น “ในที่สุดจวินเจินเจินก็รู้แล้วว่าการมีอยู่ของนางเป็นโชคร้ายมากเพียงใดสำหรับพวกเรา”
ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะพรืด
“อย่าพูดเหลวไหล” นางเอ่ยตำหนิ หยิบจดหมายออกมาตั้งใจอ่านรอบหนึ่ง ตบหน้าอกเบาๆ ผ่อนลมหายใจออกมา “ยังดี ทุกสิ่งราบรื่น”
พูดพลางก็มองไปทางฟางเฉิงอวี่
“คราวนี้น้องเล็กก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว”
ฟางเฉิงอวี่กำลังหัวเราะเบาๆ รินชาให้ตนเอง ได้ยินเข้าก็เงยหน้าขึ้น
“ข้าไม่ได้กังวลใจนะ” เขาเอ่ย “ข้าเป็นถึงคนที่เคยเดินผ่านความเป็นความตายมาแล้ว หลังรอดพ้นจากความตายทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนราบรื่น ล้วนเป็นโชคดี”
ที่เดินผ่านความเป็นความตาย รอดพ้นความตายมาได้ ใช่แค่เขาที่ไหน ทั้งตระกูลฟางล้วนใช่
“ตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย วางมือลงบนหน้าอกเช่นกัน
ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ได้ดึงชายเสื้อของนาง
หัวใจของน้องเล็กคนในบ้านใครไม่รู้ นั่นคือสักนิดก็ทนให้คนอื่นว่าร้ายจวินเจินเจินไม่ได้
ส่วนพวกนางก็ย่อมยอมให้น้องเล็กไม่มีความสุขสักนิดไม่ได้
เฉิงอวี่ล้วนพูดเช่นนี้แล้ว เห็นชัดว่าไม่ยอมให้ประณามว่าจวินเจินเจินสร้างปัญหา
ฟางอวี้ซิ่วไม่ได้สนใจฟางอวิ๋นซิ่ว มือตรงหน้าอกตบเบาๆ
“แต่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าหัวใจไม่เต้นอกไม่ขยับ” นางเอ่ย
ฟางอวิ่นซิ่วหัวเราะพรืดทีหนึ่ง ยกมือตบหัวไหล่นางเบาๆ
“พูดจาดีๆ ไม่เป็น” นางเอ่ยตำหนิ
ฟางอวี้ซิ่วถือโอกาสเอนตัวพิงพนักพิง
“นี่โทษข้าไม่ได้ ใครให้นางไม่พูดจาดีๆ ก่อน” นางเอ่ย “ครอบครัวเดียวกันไม่พูดเหมือนเป็นคนอื่น นางพูดเช่นนี้ใยไม่ใช่ไม่นับพวกเราเป็นครอบครัว”
ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มพยักหน้า
“เฉิงอวี่ เจ้าเอาคำพูดของพี่รองเขียนจดหมายไปบอกนาง” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มขานรับ
ด้านนอกมีเสียงหัวเราะของบรรดาสาวใช้อายุน้อย พร้อมกับเสียงประทัดระเบิด พี่น้องสามคนมองไปข้างนอกผ่านหน้าต่างกระจก มองบรรดาสาวใช้ในลานกำลังเล่นประทัด
ก่อนหน้านี้ปีใหม่ในบ้านก็ทำท่าสุขสันต์มาก่อน แต่นั่นก็เป็นเพียงเสแสร้ง ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้เป็นจริงเช่นนี้
ฟางเฉิงอวี่ถือจดหมายมาที่โต๊ะ มองลายมือที่คุ้ยเคยจนลอกเลียนได้
พบนาง สำหรับพวกเขาแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย
เขามองประโยคนี้หลุบตาลงเล็กน้อย
ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าทำอะไร สำหรับฟางเฉิงอวี่แล้ว พบพานเจ้าก็คือโชคดี
……………………………………….
ห่างจากปีใหม่เพียงสองวันแล้ว เมืองหลวงอันครึกครื้นดูเหมือนจะเงียบสงบลงในพริบตา นอกเสียจากเสียงประทัดที่ดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ ฝูงชนมากมายบนท้องถนนล้วนหายไปแล้ว
คนทั้งหมดรวมตัวอยู่ในบ้าน เตรียมรับเทศกาลปีใหม่
เพราะเดือนสามก็จะมีสอบใหญ่แล้ว หนิงอวิ๋นเจาปีนี้จึงไม่ได้กลับหยางเฉิง หนิงอวิ๋นเจาย้ายมาอยู่ที่บ้านหนิงเหยียน
เขาจะอยู่ที่นี่จนถึงวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง
หนิงเหยียนแม้ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องราชสำนัก แต่งานสังสรรค์ของเทศกาลปีใหม่ก็ไม่น้อย นายหญิงรองหนิงพาลูกสาวทั้งหลายตระเตรียมซองแดงเทศกาลปีใหม่ หนิงเหยียนพาหนิงอวิ๋นเจากับหนิงสืออีเขียนเทียบเยี่ยมเยียน
ในห้องอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ บรรดาสาวใช้รินน้ำชาวางผลไม้แห้ง ห้องอีกด้านหนึ่งเสียงหัวเราะของเหล่าสตรีลอยมาเป็นระยะ
ตอนนี้เรื่องในราชสำนักแม้ทะเลาะเบาะแว้งกันแต่นับว่าค่อนข้างสงบ ชาวจินแม้อยากเคลื่อนไหวแต่ก็ไม่อาจก่อเรื่องใหญ่ได้ ปีนี้ที่ต่างๆ มีแจ้งภัยหิมะบ้าง แต่โชคดีคนเจ็บคนตายไม่มาก นับได้ว่าเป็นปีที่ดีปีหนึ่ง
นอกจากนี้ไหวอ๋องประชวรหนัก เดิมทีคิดว่าคงทนได้ไม่พ้นปีนี้ แต่หากประชวรสวรรคตล่ะก็ ราชสำนักก็คงเลี่ยงไม่ได้ต้องวุ่นอยู่พักหนึ่ง
โชคดีทุกสิ่งราบรื่นตกอกตกใจแต่ไม่เป็นอันตราย
หนิงเหยียนผู้สำรวมมาตลอดมุมปากอดไม่ได้แย้มยิ้มอยู่บ้าง มองหนิงสืออีที่เขียนอยู่อย่างไม่ใส่ใจนิดๆ แล้วมองหนิงอวิ๋นเจาที่เขียนเทียบอย่างจริงจัง
“วิชาแพทย์ของคุณหนูจวินไม่เลวจริงๆนะ” หนิงเหยียนเอ่ย
คำพูดกะทันหันนี้เรียกให้คนอายุน้อยสองคนเงยหน้ามองข้ามมา
“เช่นนี้ดูแล้ว ครั้งนั้นที่ท่านปู่ของพวกเจ้าได้นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลจวินช่วนรักษาคงไม่ใช่คำลวงเช่นกัน” หนิงเหยียนเอ่ยต่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเหยียนเอ่ยถึงท่านปู่กับตระกูลจวิน หนิงสืออีอดไม่ได้มองไปทางหนิงอวิ๋นเจา
“นั่นคือจะบอกว่า สัญญาหมั้นครั้งนั้นก็เป็นจริง” เขาเอ่ย
“สัญญาหมั้นย่อมเป็นจริง” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย “แน่นอนตอนนี้สัญญาหมั้นยกเลิกแล้วก็เป็นจริงเช่นกัน”
ส่วนสัญญาหมั้นยกเลิกได้อย่างไรสำหรับตระกูลหนิงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าเชิดชูอะไร ปีใหม่ทั้งทีหนิงสืออีย่อมไม่หาเรื่องลำบากให้ตนเอง ประเด็นนี้ยังไม่เริ่มก็จบลงแล้ว
“คาดว่าสองฝ่ายคงต่างไม่ยินดี ไม่เช่นนั้นท่านปู่ไม่พูดถึง ตระกูลจวินนานปีขนาดนี้ก็ไม่เคยพูดถึงไหม” เขาเอ่ย ถือเทียบในมือให้หนิงเหยียนดู “ท่านพ่อ ท่านดูเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่?”
ประเด็นนี้ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่เหมาะจริงๆ หนิงเหยียนถึงขนาดเสียใจที่เอ่ยขึ้นมาอยู่บ้าง เขามองหนิงอวิ๋นเจาทีหนึ่ง หนิงอวิ๋นเจาก้มศีรษะตั้งใจเขียนเทียบขอเยี่ยนเยียนต่อ
เขาพูดไม่ผิด สัญญามหมั้นนี้เป็นของจริง แต่สัญญาหมั้นนี้เขาไม่ชอบและยกเลิกแล้วก็เป็นเรื่องจริง
เรื่องที่ไม่ชอบไม่จำเป็นต้องพูดมาก
หนิงเหยียนมองเทียบเยี่ยมเยียนที่หนิงสืออีถือมา ไหลตามหัวข้อสนทนาชี้แนะ
สัญญาหมั้นเป็นของจริง นางไม่ชอบและยกเลิกสัญญาหมั้นก็เป็นเรื่องจริงด้วย
หนิงอวิ๋นเจายื่นมือไปหยินเมล็ดสนที่บ่าวหญิงปอกแล้วเม็ดหนึ่งในจานด้านข้างโยนเข้าปาก มือขวายกพู่กันไม่หยุด
……………………………………….
แม้สำนักศึกษาปิดอยู่ แต่บรรดาสหายเล่าเรียนที่รั้งอยู่ในเมืองหลวงยังมากยิ่งนัก เขียนเทียบเยี่ยนเยียนเสร็จ หนิงอวิ๋นเจาก็นำขนมจำนวนหนึ่งที่นายหญิงรองหนิงเตรียมไว้เสร็จแล้ว หิ้วไปมอบให้บรรดาสหายร่วมสำนัก
“คุณหนูจวินร้ายกาจจริงๆ รู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่เป็นไร” เสี่ยวติงตามอยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าบรรดาหมอหลวงนับถือจนหมอบกราบกับพื้น ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยมากเลยขอรับ”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มไม่พูดจา
เสี่ยวติงมองสีหน้าของเขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้คุณชายชอบฟังเรื่องของคุณหนูจวินนัก ทำไมตอนนี้ไม่เพียงไม่ถามกลับไม่ชอบฟังเสียแล้วเล่า
“คุณชาย คุณหนูจวินกลับมาแล้ว พวกเราจะไปดูหน่อยหรือไม่” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หนิงอวิ๋นเจาครั้งนี้เอ่ยปากแล้ว
“ต้องฉลองปีใหม่ ต่างยุ่ง ไม่ต้องไปรบกวนผู้อื่นตามใจ” เขาเอ่ยอ่อนโยน
รบกวนผู้อื่นตามใจหรือ? เสี่ยวติงงุนงน ที่ทำตามใจไปยังน้อยงั้นหรือ
ดวงตาเขาพลันทอประกาย
“คุณชาย นั่น…” เขาเอ่ย อดไม่ได้เสียมารยาทตีแขนของหนิงอวิ๋นเจา ชี้ไปข้างหน้า
หนิงอวิ่นเจามองข้ามไปอึ้งไปนิดหนึ่งเหมือนกัน
บนถนนด้านหน้ามีเด็กสาวสองคนกำลังคุยเล่นหัวเราะเดินมา หนึ่งในนั้นก็คือคุณหนูจวินที่ไม่ได้พบมาเนิ่นนาน
ไม่ได้พบมานานนักจริงๆ สี่สิบเจ็ดวันแล้วสินะ
คุณหนูจวินก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน ตะลึงไปนิดหนึ่งจากนั้นก็ฟื้นกลับมาสีหน้ายิ้มน้อยๆ
รอยยิ้มครั้งนี้ทำให้หนิงอวิ๋นเจายิ้มด้วย แม้สี่สิบเจ็ดวันไม่พบหน้า แต่หลังพบนางก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
“บังเอิญจริง” เขาเอ่ย ไม่ได้ขบคิดคำพูดเปิดบทสนทนาอันใด แล้วก็ไม่ได้ให้เด็กสาวคนนี้เอ่ยปากก่อนอีก เดินเข้ามาพลาง เอ่ยไปพลาง
พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอีกครั้ง
“ครั้งนี้บังเอิญจริงๆ” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ
……………………………………….