Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 66
Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 66 นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ
บทที่ 66 นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ
โดย
Ink Stone_Romance
แม่ครัวของโรงหมอจิ่วหลิงเป็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเลือกอย่างพิถีพิถันส่งมา ที่ทำคืออาหารหยางเฉิงกับเมืองหลวง
“ถูกปากไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาชิมอาหารคำหนึ่ง ยิ้มพยักหน้า
“อาหารที่บ้านท่านอาก็มีแม่ครัวของหยางเฉิง” เขาเอ่ย “ท่านลุงเคยเดินทางไปยังสถานที่มากมาย ไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิดเนิ่นนานก็ยังเปลี่ยนรสชาติที่ชอบไม่ได้ แต่พวกพี่ๆ น้องๆ ปรับตัวเข้ากับรสชาติแบบเมืองหลวงได้แล้ว”
“อย่างไรใต้เท้าหนิงก็เติบโตมาที่บ้าน รสชาติที่ชอบย่อมเปลี่ยนไม่ได้แล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งถือชามมองทั้งสองคน
จริงๆ เลยนะ…
ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์อะไรของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ แค่พูดถึงตอนนี้ ทำไมยังมีเวลามาสงบใจสนทนาเรื่องรสชาติอาหารอีก?
พูดเรื่องสำคัญหน่อยได้หรือไม่?
“เดิมทีเวลานี้ที่บ้านควรทานอาหารแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย ยิ้มมองคุณหนูจวิน “แต่วันนี้ไม่มีเวลาสนใจ”
ฟางจิ่นซิ่วนั่งตัวตรง
สัญญาหมั้นหมายฉบับนี้เป็นเรื่องอะไร ไม่มีใครรู้ชัดกว่าคนตระกูลหนิงกับตระกูลฟางสองบ้านอีกแล้ว
ตระกูลฟางปวดหัวกับการหมั้นหมายครั้งนี้ ตระกูลหนิงก็บันดาลโทสะกับการหมั้นหมายครั้งนี้เช่นกัน ทะเลาะกันหลายครั้งแทบจะเกิดเรื่องมีคนตาย ยกเลิกสัญญาหมั้นแล้วก็พูดได้ว่าเป็นตายไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก
ตอนนี้หนิงอวิ๋นเจาอยู่ดีๆ พูดต่อหน้าผู้คนว่ามีสัญญาหมั้น คุณหนูจวินเป็นคู่หมั้น คนตระกูลหนิงย่อมตื่นตะลึงยิ่งกว่าพวกนาง
ตระกูลหนิงน่าจะคนหงายม้าล้มวุ่นวายแล้ว
ทานอาหาร ไม่ทันสนใจแน่นอน
คิดถึงเหตุการณ์นั้น ฟางจิ่นซิ่วก็พลันรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง
ตระกูลหนิงก็มีวันนี้เหมือนกัน
นางยื่นตะเกียบคีบกับข้าวเพิ่ม กินเข้าไปคำใหญ่
คุณหนูจวินกลับหยุดตะเกียบ มองหนิงอวิ๋นเจา
“ทำไมบังเอิญปานนี้?” นางคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจามองนาง ยิ้มแล้ว
นางไม่ได้ตั้งคำถามตนเองว่าทำไมทำเช่นนี้ นางรู้ว่าตนเองทำเช่นนี้หาใช่รักยากหักห้ามฉวยโอกาสบีบบังคับ
เขาเผยความในใจกับนางแล้วและเขาก็ยอมรับคำปฏิเสธของนางแล้ว
ในสายตาของนางเขาคือวิญญูชนผู้เปิดเผยคนหนึ่ง
เรื่องนี้ที่เขาทำย่อมต้องเป็นเรื่องที่จำเป็นแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นเจตนาดี
“เมื่อวานการสอบหน้าพระที่นั่งสิ้นสุดฟ้าก็มืดแล้ว ข้าไม่ทันกลับไป ไปที่กรมของท่านอาของข้าพินิจบทความในการสอบหน้าพระที่นั่ง” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้ม
“ที่แท้คุณชายหนิงก็ทำอย่างเซี่ยอันเป็นเหมือนกัน” นางยิ้มเอ่ย
“หาใช่ไม่” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย “เป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป ไม่กล้าแล้วก็ไม่อยากไปเผชิญหน้าผู้คนจึงหลบไปเสีย สงบจิตใจสักหน่อย เลี่ยงเสียกิริยาต่อหน้าผู้คนแล้วยังแสดงว่าจอหงวนผู้นี้เป็นคนสบายๆ อีกด้วย”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง
ฟางจิ่นซิ่วก็ยิ้มละไมด้วย แต่จากนั้นก็ทำหน้าเหนื่อยใจ
ลากไปไกลอีกแล้ว ใครอยากรู้สภาพจิตใจหลังสอบได้เป็นจอหหงวนของเจ้า รีบพูดเรื่องสำคัญได้หรือไม่?
“ต่อมายามฟ้าใกล้สว่างก็พักผ่อนอยู่ในกรมกับท่านอา” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ “ตื่นขึ้นมาปุบก็หลังเที่ยงแล้ว ออกมาก็เห็นเรื่องวุ่นวายหน้ากรมสืบสวนฝ่ายเหนือ”
เขาลูบตะเกียบในมือ
“ตอนนั้นหัวหน้ากองพันลู่ต้องการสารภาพความในใจต่อหน้าผู้คน”
พูดถึงความในใจสองคำนี้ เขาก็มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง คุณหนูจวินยิ้ม
“ก่อนการสอบกรมพิธีกับการการสอบหน้าพระที่นั่ง ข้าเก็บตัวอ่านหนังสือไม่สนใจเรื่องภายนอก ไม่รู้ว่าหัวหน้ากองพันลู่กระทำเช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
หากรู้ก่อนแล้วอย่างไร? ก็จะออกมาบอกว่ามีสัญญาหมั้นหมายก่อนหรือ? ฟางจิ่นซิ่วงับตะเกียบ
คุณหนูจวินพยักหน้า
“เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิด” นางเอ่ย
“หัวหน้ากองพันลู่คนพรรค์นี้สิ่งใดล้วนไม่สนทั้งสิ้น” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ
สิ่งใดล้วนไม่สนทั้งสิ้น ก็คือจะบอกว่าหน้าไม่อายรึ?
ฟางจิ่นซิ่วหลุดหัวเราะ รีบร้อนตีหน้าขรึมอีกครั้ง
“เพราะบุตรชายเฉิงกั๋วกงเดิมก็รอรับโทษอยู่แล้วยังทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้อีก ฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยแน่วแน่จะให้พวกเขารับโทษต่อหน้าผู้คน”หนิงอวิ่นเจาเอ่ยต่อ มองคุณหนูจวิน
บุตรชายเฉิงกั๋วกงเดิมทีก็รอรับโทษอยู่ หรือก็คือจะบอกว่าฝ่าบาทไม่มีทางปกป้องเขา ตรงกันข้าม สำหรับฮ่องเต้แล้วเป็นโอกาสบีบบังคับให้บทเรียนกับเขาครั้งหนึ่ง
คุณหนูจวินเงียบไป
“ที่จริงเขาก็เป็นคนที่สิ่งใดล้วนไม่สนทั้งสิ้นคนหนึ่งเหมือนกัน” นางยิ้มเอ่ย
จูจั้นย่อมรู้ความคิดของฮ่องเต้ แต่ทำตามคำสัญญา สิ่งอื่นล้วนไม่สน
“พวกเขาสิ่งใดล้วนไม่สนทั้งสิ้น แต่คุณหนูจวินท่านไม่อาจเป็นเช่นนี้ได้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “หรือก็คือท่านไม่อาจถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ได้ ดังนั้นบังเอิญจริงๆ ที่พอดีพวกเรามีความหลังกันอยู่ เรื่องราวแต่หนหลังนี่ก็บังเอิญถูกเล่ากันในเรื่องราวของตระกูลฟางก่อนหน้านี้พอดี”
เรื่องการหมั้นหมายระหว่างตระกูลหนิงกับคุณหนูจวินเรื่องราวเป็นอย่างไร ในใจทั้งสองบ้านนี้ล้วนกระจ่าง แต่ตอนฟางเฉิงอวี่ป่าวประกาศเรื่องคุณหนูจวิน เอาเรื่องเก่านี้มาเปลี่ยนใหม่ ไม่บอกว่าตระกูลหนิงฉีกสัญญา แต่กลายเป็นว่าคุณหนูจวินเป็นฝ่ายทนอัปยศถอนหมั้นเพื่อช่วยตระกูลฟางชำระแค้น
“เจ้าสละสัญญาหมั้นเพื่อตระกูลยายได้ พวกเราย่อมสละสัญญาเพื่อความเป็นธรรมเช่นกัน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “เรื่องนี้สมเหตุสมผลทั้งยังสูงส่ง ดังนั้นตอนนั้นข้าทันเพียงคิดมาถึงตรงนี้จึงทำเรื่องนี้ลงไป หากมีสิ่งใดไม่เหมาะ ขอคุณหนูจวินโปรดให้อภัยด้วย”
คุณหนูจวินรีบยิ้มให้เขาส่ายศีรษะแล้วก้มหัวคำนับอีกครั้ง
“นั่นเป็นเรื่องหลอกนะ” ฟางจิ่นซิ่วโพล่งขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“แน่นอนย่อมเป็นเรื่องหลอก” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย
“มีแต่เจ้ากับพวกเรารู้ว่าเป็นเรื่องหลอก?” ฟางจิ่นซิ่วมองเขาเอ่ยถาม
“แน่นอน จนกระทั่งถึงเวลาที่ไม่ต้องหลอกอีกแล้ว” หนิงอวิ่นเจาเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ก็มองคุณหนูจวินอีกครั้ง “หากเจ้าไม่สะดวก เลิกหลอกได้ตลอดเวลา”
จนกระทั่งไม่ต้องหลอกแล้ว ทุกสิ่งล้วนถือความปรารถนาของคุณหนูจวินเป็นเกณฑ์ ทุกสิ่งคล้อยตามว่าคุณหนูจวินสะดวกหรือไม่
ฟางจิ่นซิ่วมองเขา กัดริมฝีปากล่าง
“ถ้าอย่างนั้นคุณชายหนิง ท่านสะดวกหรือ?” นางเอ่ย
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
“ข้ามีสิ่งใดไม่สะดวก” เขายิ้มเอ่ย
เขาจอหงวนคนใหม่ กระดานทองเพิ่งติดประกาศ บรรดาชาวบ้านกำลังรอคอยมุงดูชื่นชมอิจฉา
เขาเป็นลูกหลานที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลหนิงแห่งหมู่บ้านเป่ยหลิว ตระกูลบิดามารดายึดถือเป็นความภาคภูมิใจ
เขาตรากตรำร่ำเรียนแสวงหาความก้าวหน้า ไม่สนใจสิ่งอื่น วันนี้ในที่สุดความปรารถนาก็บรรลุแล้ว ก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนาง
บรรดาชาวบ้านรอดูสง่าราศีของท่านจอหงวน บิดามารดาและตระกูลรอคอยหาคู่แต่งงานให้เขา การงานมั่นคงแล้ว แต่งงานได้แล้ว ตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิวรุ่งโรจน์รวมถึงจอหงวนคนใหม่อนาคตไม่อาจประมาณ บุตรสาวของตระกูลมากมายแล้วแต่เขาเลือกสรร ตระกูลใหญ่มากยศศักดิ์เท่าไรแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเขาได้
แต่ตอนนี้เพราะการก้าวออกมาอย่างบังเอิญครั้งนั้นที่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไปแล้ว
ที่บรรดาชาวบ้านรอดูไม่ใช่สง่าราศีของจอหงวนผู้ความรู้เหนือใคร แต่เป็นจอหงวนที่ถูกหัวหน้ากองพันลู่แย่งคู่หมั้น
ตระกูลหนิงก็ตกอยู่ในความโกลาหลด้วย แผนการที่วางไว้ล่วงหน้าเหล่านั้น ความห่วงใยของครอบครัวมิตรสหาย ทุกสิ่งล้วนถูกทำให้วุ่นวายรับมือไม่ทัน
นอกจากนี้สัญญาหมั้นที่ชักพาให้เกิดความโกลาหลทั้งหมดนี้ก็เป็นของปลอม อนาคตยามที่ประกาศออกมาอีกครั้ง ต้องโกลาหลอีกครั้งหนึ่งแน่
ไม่สะดวก นี่เรียกว่าไม่มีอะไรไม่สะดวกหรือ?
ฟางจิ่นซิ่วมองชายหนุ่มที่ยิ้มไม่สะทกสะท้านตรงหน้า พูดไม่ออกอยู่บ้างว่ารสชาติอย่างไร
“คุณชายหนิง ทำไมท่านทำเช่นนี้?” นางเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจามองไปทางนาง
“เพราะว่า” เขายิ้มเอ่ย “ข้ากับคุณหนูจวินรู้จักกันไง”
อย่างที่คิด
ฟางจิ่นซิ่วเบ้ปาก มองหนิงอวิ๋นเจาไม่เอ่ยวาจา
คนเมืองหลวงที่รู้จักคุณหนูจวินมากไป
“คุณหนูจวินไม่ควรถูกปฏิบัติเช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยอีกครั้ง สีหน้าจริงจัง
บนโลกนี้เรื่องที่ไม่ควรมากไป เรื่องไม่ยุติธรรมมากไป ไหนเลยมีสิ่งใดไม่ควร
ฟางจิ่นซิ่วมองเขายังคงไม่พูดไม่จา
หนิงอวิ๋นเจาวางชามกับตะเกียบลง มองคุณหนูจวิน
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ” เขาเอ่ย “นี่คือสิ่งที่ติดค้างตอนนั้น สิ่งที่สมควรคืน”
มือที่วางบนโต๊ะของฟางจิ่นซิ่วกำขึ้นมาแล้วคลายออก สีหน้าเศร้าหมองอยู่บ้าง
คุณหนูจวินพรูลมหายใจยาวเบาๆ รู้สึกเพียงก้นบึ้งหัวใจเหมือนมีบางสิ่งที่เก็บกดไว้สลายไป
สิ่งที่เก็บกดนี้ไม่ใช่ความเก็บกดของนาง ท่าทางคงเป็นของจวินเจินเจินสินะ
อย่างไรก็เป็นชีวิตคนชีวิตหนึ่ง
รอคอยคำนี้ สิ่งที่สมควร สิ่งที่คืน
“คุณชายหนิง” นางมองหนิงอวิ๋นเจา พยักหน้าจริงจังเช่นกัน “ตอนนี้ เจ้าไม่ติดค้างแล้ว”
……………………………………….