Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - บทที่ 98
“เรื่องเล่ายามว่างโบร่ำโบราณตราบจนวันนี้ มีผู้ชายเก่งกล้ามากมาย เผชิญอันตรายมักมีอุบายฉลาดเฉลียว แต่ไม่เพียงผู้ชาย ผู้หญิงก็มีอุบายชาญฉลาดเช่นกัน”
“ถีอิ๋งช่วยบิดา[1]โบราณจนวันนี้ล้วนหายาก ถืออาวุธออกรบแทนบิดายิ่งแปลก หญิงสาวไม่ธรรมดาผู้นี้ที่จะเล่าวันนี้ ก็คือนายหญิงน้อยของตระกูลฟางนี้ บุตรสาวของขุนนางใจซื่อมือสะอาดจวินอิ้งเหวิน คุณหนูจวิน”
ในโรงน้ำชาคนนั่งอยู่เต็ม ทานอาหารบนโต๊ะไปพลาง มองบนเวทีไปพลาง พนักงานร้านหิ้วกาน้ำชาเดินตัดระหว่างกลาง เพราะเป็นนิทานเรื่องใหม่ พวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นฟังเป็นพักๆ
คุณหนูจวิน สำหรับชาวบ้านหยางเฉิงแล้วไม่แปลกหน้า เป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ
ตั้งแต่มาถึงหยางเฉิง คุณหนูจวินคนนี้ก็เพิ่มความสนุกและหัวข้อสนทนานับไม่ถ้วนให้แก่ชีวิตของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกี่ยวข้องกับนางก็เป็นคนที่ชาวบ้านหยางเฉิงคุ้นเคยและสนุกที่ได้พูดถึงที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน
“…ในที่สุดวันที่สิบห้าเดือนแปดในเทศกาลโคมไฟคุณหนูจวินก็ได้พบคุณชายสิบหนิง เวลานั้นตกตะลึงนึกว่าเป็นชาวสวรรค์จริงแท้ ตั้งแต่นั้นยิ่งคะนึงหาจนว้าวุ่น ยามนั้นจึงเขียนบทกวีนับไม่ถ้วน…”
นักเล่านิทานสะบัดพัดหุบ ทำท่าหญิงสาวครุ่นคิดเขินอาย ยกพู่กันเขียนบทกวี
“ตะวันออกโคมหนึ่งดวง ตะวันตกโคมหนึ่งดวง แค้นใจนักไม่อาจเป็นโคมแสงจันทร์ ส่องจับดวงหน้าคนงาม”
ในโรงน้ำชาประสานเสียงหัวเราะครืนหนึ่ง
…
เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่ง นายหญิงใหญ่หนิงตบโต๊ะอีกครั้ง
หญิงรับใช้ที่เล่าอยู่เงียบไป
นายหญิงสามหนิงและนายหญิงสี่หนิงก็หยุดยิ้มเช่นกัน
“เรื่องน่ารังเกียจอะไรกัน ยังเอามาให้คนเล่าเช่นนี้ นางไม่รังเกียจขายหน้า อวิ๋นเจายังขายหน้าอยู่นะ” นายหญิงใหญ่หนิงสีหน้าเย็นชาเอ่ยขึ้น
นายหญิงสามหนิงกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
“จริงๆ เลย ตระกูลฟางเพื่อหันเหความสนใจถึงกับหยิบเอาเรื่องเช่นนี้มาพูด นี่เป็นลูกสะใภ้ตระกูลพวกนางเชียวนะ ขายหน้าคนหรือไม่” นางเอ่ยเหยียดหยาม
“พูดเรื่องตระกูลพวกนาง พูดอย่างไรก็ได้ ลากมาเกี่ยวกับคนอื่นทำอะไร” นายหญิงสี่หนิงก็เอ่ยขึ้นอย่างโมโหเช่นกัน
“นายท่าน พวกนางหากเป็นเช่นนี้ต่อไปโยงมาถึงอวิ๋นเจาของพวกเรา ไม่ได้นะเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น มองนายท่านใหญ่หนิง
นายท่านใหญ่หนิงกลับสีหน้าดั่งเดิม ยกมือให้สัญญาณหญิงรับใช้คนนั้น
“เล่าต่อ ตระกูลฟางยังจะลากเรื่องหญิงไม่ธรรมดาคนนี้ไปอย่างไร ข้ากลับอยากลองฟัง” เขาพูด
หญิงรับใช้รับคำ มองไปทางนายหญิงใหญ่หนิงอย่างขลาดๆ ทีหนึ่ง นายหญิงใหญ่หนิงหลับตาสงบใจไม่สนใจ หญิงรับใช้ตอนนี้ถึงเอ่ยปากต่อ
เรื่องเหลวไหลของคุณหนูจวินก่อนหน้านี้ไม่ได้แปลกประหลาด เป็นตอนที่โวยวายเพราะสัญญาหมั้นจนฮือฮา ผูกคอบ้าง ไปจวนขุนนางโวยบ้างเหล่านั้น
เรื่องเหล่านี้ผ่านการพรรณนาของนักเล่านิทานยิ่งเกินจริง ทำให้ในโรงน้ำชาหัวเราะครืน
“เอ๋ เอ๋ ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องสิ” มีคนหัวเราะไปหัวเราะไปก็คิดขึ้นมาได้ ตบสหายที่อยู่ข้างตัว “นี่ นี่เอาเรื่องของนายหญิงน้อยตระกูลฟางมาเป็นเรื่องสนุก ตระกูลฟางตอนนี้มีราชโองการเชียวนะ นี่จะได้อย่างไร!”
พวกพ้องก็คิดขึ้นมาได้ด้วย
“ใช่สิ นี่เกินไปหน่อยแล้ว” เขาเอ่ยสีหน้าหวาดผวาอยู่บ้าง “ตระกูลฟางแม้กระทั่งนายอำเภอบอกจะฆ่าก็ฆ่าเชียวนะ พวกเราอย่าเป็นปลาติดหลังแหเลย”
ความคิดแล่นผ่าน ด้านในโถงใหญ่เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เงียบลง ในโถงใหญ่มีเพียงเสียงสูงกังวานของนักเล่านิทานก้องไปมา แลดูประหลาดอยู่บ้าง
ภาพนี้คุ้นตาอยู่นิดๆ
ไม่นานก่อนหน้านี้ตอนที่คุณหนูจวินคนนั้นยังเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ตระกูลฟางที่หยางเฉิงก็เป็นเพียงพ่อค้าที่ร่ำรวยตระกูลหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มอำนาจที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุดในหยางเฉิงเพื่อแสดงความยินดีให้กับลู่อวิ๋นฉีที่พึ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาที่เมืองหลวง บีบนักเล่านิทานกลุ่มหนึ่งให้ประกาศเรื่องงานแต่งงานของลู่อวิ๋นฉีกับองค์หญิงจิ่วหลีในเหลาสุราและโรงน้ำชา ต้องการให้คนทั้งหมดร่วมฉลองร่วมยินดี ผู้ที่กล้าไม่ยินดีไม่อวยพร ให้หลังจะพบกับโชคร้ายไร้สาเหตุไปตามระเบียบ
ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ ดูท่าคงต้องการให้ทุกคนร่วมฉลองร่วมยินดีที่นายหญิงน้อยตระกูลฟางผ่านพ้นอดีตมาได้
อดีตที่ผ่านมาของนายหญิงน้อยตระกูลฟางหาใช่เรื่องน่าเชิดชูอะไร
เรื่องในอดีตที่น่าขันของเด็กสาวเหลวไหลคนหนึ่งถูกคนนำมาเล่า นี่ย่อมไม่ใช่การกระทำเจตนาดีอะไร
ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นความตั้งใจของตระกูลฟางหรือว่าองครักษ์เสื้อแพร?
พวกเขาที่แท้ควรร่วมขำหรือว่าร่วมเห็นใจ? นี่เป็นปัญหาประการหนึ่งจริงๆ
…
“ถ้าหากเป็นเจตนาขององครักษ์เสื้อแพร ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเบื้องบนก็ไม่พอใจกับการกระทำของตระกูลฟาง” นายท่านใหญ่หนิงเคาะผิวโต๊ะเอ่ยขึ้นช้าๆ
หญิงรับใช้ที่เล่าอยู่หยุดไปอีกครั้ง ยืนนิ่งสงบอยู่ในห้อง ตั้งใจฟังคำพูดของนายท่านใหญ่หนิง
นายหญิงใหญ่หนิง นายหญิงสามหนิงและนายหญิงสี่หนิง เผยสีหน้ายินดีอยู่บ้างออกมา
“แต่น้องรองฝั่งนั้นไม่ได้บอกมาเช่นนี้” นายท่านใหญ่หนิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นอีก
“องครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านั้นกระทำการ เดิมทีก็มองหน้าผู้คนไม่ได้ น้องรองไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น
นายท่านใหญ่หนิงไม่ได้เอ่ยต่อ เงียบไปครู่หนึ่ง
“หากไม่ใช่เจตนาขององครักษ์เสื้อแพร ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเจตนาของตระกูลฟาง” เขาว่า “ตระกูลฟาง…”
เขาเคาะผิวโต๊ะ
“ตระกูลฟางไม่ต้องการนายหญิงน้อยคนนี้แล้วสินะ”
หนิวอวิ๋นเยี่ยนที่ว่านอนสอนง่ายยืนอยู่ราวกับไม่อยู่ตรงด้านข้างมาตลอด ดวงตาพลันสว่างวาบขึ้นมา
จวินเจินเจินที่ต่ำช้าน่าชังคนนั้น ในที่สุดก็จะถูกตระกูลฟางเตะออกจากประตูเหมือนกับทิ้งผ้าขี้ริ้วใช้แล้วแล้วรึ?
…
“สุดท้ายคุณหนูจวินผู้นี้โวยวายไม่เลิกรา เชือกเส้นหนึ่งแขวนคอตายในโรงเตี๊ยม โชคดีผู้คนค้นพบทันเวลาจึงช่วยชีวิตไว้ได้”
“นายหญิงผู้เฒ่าฟางเร่งมากอดคุณหนูจวินร้องไห้ยกใหญ่ ข้าเสียสามีทั้งเสียลูกเสียลูกสาว เหลือเพียงเจ้ากับเฉิงอวี่สายเลือดสองคน เฉิงอวี่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ เจ้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่”
“พอเถิด พอเถิด ชะตาไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟ้าขึ้นอยู่กับคน ข้ายอมรับโชคชะตาคนผมขาวต้องส่งคนผมดำนี้แล้ว เจ้าอยากตายก็ไปตายเถอะ ยามเป็นเจ้าไม่อาจเข้าประตูตระกูลหนิง ตายไปข้าจะส่งเจ้าเข้าสุสานตระกูลหนิง”
นักเล่านิทานยืนอยู่บนเวทีสูงทุบอกระทืบเท้าราวกับหญิงเฒ่า พร่ำบอกความในใจต่อสวรรค์ อับจนหนทางทั้งยังโศกสลด
แม้คนด่านล่างเวทีเงียบสนิทอารมณ์เคร่งเครียด แต่ก็อดไม่ได้โศกเศร้าเสียใจตามเขาอยู่บ้าง
คนผมขาวส่งคนผมดำเป็นเรื่องสลดที่สุดในโลกจริงๆ และอยากมีชีวิตแต่มีชีวิตไม่ได้ มีชีวิตได้แต่ไม่อยากมีชีวิตแล้วก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในโลกเช่นกัน
โศกเศร้าและเจ็บปวดนายหญิงผู้เฒ่าฟางล้วนพานพบ เป็นความโชคร้ายที่ไม่อาจพูดอะไรได้แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกโศกเศร้าเจ็บปวดนี้ หลายครั้งก็เป็นเพียงความรู้สึกของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ตัวอย่างเช่นสำหรับนายหญิงใหญ่หนิงแล้ว ไม่เพียงไม่โศกเศร้าเจ็บปวดสักนิด ตรงกันข้ามมีเพียงความโกรธแค้น
“อะไรเรียกว่าตายแล้วส่งเข้าสุสานตระกูลหนิงของข้า?” นางเลิกคิ้วเอ่ยอย่างโมโห “ตระกูลหนิงของข้าผลัดถึงตานางตัดสินใจเมื่อไร?”
“ก็ไม่แน่ว่าจะทำไม่ได้นะ” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “ตระกูลฟางมีราชโองการนี่”
ถือราชโองการยึดทรัพย์บ้านของตระกูลหนิงของพวกเขาทำไม่ได้ แต่ถือราชโองการบีบพวกเขาตระกูลหนิงให้ยอมรับสัญญาหมั้นฉบับนั้นไม่ใช่เรื่องทำไม่ได้อะไร
อย่างไรสัญญาหมั้นก็เป็นจริง
นายหญิงใหญ่หนิงจนคำพูด ถือพัดออกแรงสะบัด
“ยังมีอีกไหม? ยังเล่าอะไรอีก?” นางมองหญิงรับใช้เอ่ยขึ้น น้ำเสียงที่อ่อนโยนมาตลอดกลายเป็นร้อนรนอยู่บ้าง
“ต่อมาก็เป็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางร้องไห้ตำหนิยกหนึ่ง คุณหนูจวินที่กลับมาจากยมโลกได้ยินพลันสำนึก คิดถึงบิดามารดาตายไปทั้งคู่ คิดถึงท่านยายครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ดังนั้นทิ้งความยึดติด ไม่ตอแยตระกูลหนิงอีก” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น “หลังจากนั้นก็ตัดสินใจแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องฟางเฉิงอวี่ ครอบครัวยิ่งแน่นแฟ้น ทำความปรารถนาในใจของท่านยายและท่านป้าให้เป็นจริง แล้วยังเพื่อเสริมมงคลให้น้องชาย”
“หลังจากนั้นเล่า?” นายหญิงสี่หนิงยิ้มหยันเอ่ยขึ้น “เรียกได้ว่าทำดีได้ดี สวรรค์ลืมตา ตระกูลฟางตั้งแต่นี้พ้นจุดต่ำสุดพลิกฟื้น แค้นใหญ่หลวงได้ชำระ นายน้อยฟางร่างกายป่วยรักษาหายดี นี่ล้วนเป็นคุณงามความดีของการเสริมมงคลของคุณหนูจวินหรือ?”
“พูดมาตั้งนานก็ยังประกาศว่าตระกูลฟางของพวกเขาสวรรค์ช่วยเหลือมากมาย คุณงามความดีมากมายนับไม่ถ้วนโชคดีไม่ขาด” นายหญิงสามหนิงก็หัวเราะเยาะเอ่ยขึ้นมาด้วย “ใยต้องเปลืองแรงขนาดนี้ เอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งออกมา ให้ภิกษุเนี่ยนจื้อบอกไปเลยสิว่าตระกูลฟางของพวกนางเทพเทวาคุ้มครองเป็นดาราสวรรค์กลับชาติมาเกิด ไม่ใช่คนจะเชื่อมากขึ้นรึ”
“ไร้สาระจริงๆ” นายหญิงใหญ่หนิงสะบัดพัดหัวเราะเอ่ยขึ้น “ข้าว่าตระกูลฟางเสียสติไปแล้ว”
……………………………………….
[1] ถีอิ๋งช่วยบิดา (缇萦救父) เรื่องเล่าหนึ่งในสื่อจี้ เล่าว่าบิดาของถีอิ๋งถูกตัดสินโทษข้อหารับสินบน ต้องถูกลงโทษตัดแขนขา ถีอิ๋งจึงยื่นหนังสือต่องค์ฮ่องเต้ขอเอาตัวเองเป็นสาวใช้ไถ่โทษแทนบิดา กล่าวถึงความทุกข์โศกและข้อเสียของการลงโทษตัดแขนขา จนองค์ฮ่องเต้ยกเลิกการลงโทษเช่นนี้ในที่สุด