Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 114 ฟังท่านเล่าเรื่องในอดีต
ท่านเคยมุดรูสุนัขจริงๆ
จูจั้นไม่ได้ยินคำที่นางพึมพำ ส่วนที่นางได้ข้อสรุปนี้ออกมาก็ไม่มีปฏิกิริยาอันใด
อย่างไร ‘เกี่ยวอันใดกับเจ้า’ ประโยคนั้นของเขาก็คือการยอมรับเงียบๆแล้ว
จูจั้นยังคงไม่ตอบ หมุนตัว
“ไม่ว่าพูดอย่างไร เจ้าไม่ต้องการฐานะภรรยาท่านชายได้อย่างเต็มใจเช่นนี้ ข้าก็ขอบคุณเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรก็เอ่ยมาเถอะ”
คุณหนูจวินเดินเข้ามามองเขา
“แววตาเช่นนี้อีกแล้ว” จูจั้นถอยหลังก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้ว “พูดเรื่องจริงจัง ห้ามเอ่ยถึงเรื่องเหลวไหล”
คุณหนูจวินไม่สนใจเขา
“ข้าอยากฟังเรื่องท่านมุดรูสุนัข” นางเอ่ยขึ้น
จูจั้นถลึงตามองนาง
“เจ้าอย่าสิ้นเปลืองล่ะ” เขาเอ่ย “ข้อเรียกร้องนี่แค่ข้อเดียวนะ”
คุณหนูจวินพยักหน้าจริงจจัง
“ข้าอยากรู้แค่เรื่องนี้” นางเอ่ย
คิดว่านี่คือเรื่องน่าขายหน้า ดังนั้นอยากเห็นเขาอับอายล่ะสิ จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
“ก็ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยพลางยกเท้าเดินไปข้างหน้า “ก็แค่ตอนเด็กข้าทำเรื่องบางอย่าง ที่จริงไม่นับเป็นเรื่องผิด เพียงแต่เด็กคนนั้นไม่เอาไหนเกินไป โดนอัดก็ไปฟ้อง”
“ที่พวกท่านต่อยเสียนอ๋องครั้งนั้นรึ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
จูจั้นขานอืม
“ไม่อาจพูดว่าพวกเราอัดเขา เป็นเขาหาเรื่องถูกอัดเอง” เขาแย้ง “คิดเอาเองว่าตนร้ายกาจมาก ไม่ใช้ฐานะข่มคน ผลสุดท้ายถูกอัดก็ไปฟ้อง”
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม
ผู้อื่นบอกว่าไม่ใช้ฐานะข่มคน ท่านก็กล้าลงมือจริงๆ ท่านก็ใช้ได้พอตัว
“ฟ้องแสร้งทำตัวน่าสงสารใครทำไม่ได้” จูจั้นเอ่ยต่อ “ข้าก็แสร้งบ้างสิ”
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง เวลานั้นนางย่อมเคยได้ฟังแล้ว เวลานี้ฟังจูจั้นเล่ากับปากอีกหนยิ่งรู้สึกน่าสนุก อาจเพราะไม่คิดว่าผ่านไปสิบกว่าปีจะมีโอกาสได้ฟังเจ้าของเรื่องเล่าเรื่องในอดีต
“ผลสุดท้ายโชคร้ายจริงๆ ในเมืองหลวงดันมีหมอเทวดาอะไรคนหนึ่งมา ไม่รู้ว่าใครเสนอความคิดให้เสียนอ๋องเจ้าหนูนั่นให้หมอเทวดาคนนั้นมารักษาข้า” จูจั้นเอ่ย
หมอเทวดา
ใช่สิ เวลานั้นอาจารย์ก็ไปจวนเฉิงกั๋วกงรักษาจูจั้นด้วย
รอยยิ้มของคุณหนูจวินยิ่งกว้าง
“หมอเทวดาคนนั้นร้ายกาจสินะ?” นางเอ่ยถาม
“ไม่รู้ ไม่ได้พบ” จูจั้นเอ่ย
ไม่ได้พบ? คุณหนูจวินตะลึงวูบหนึ่ง
“หมอเทวดาคุยกับพ่อข้า มีแค่ผู้ติดตามของหมอเทวดากระมังที่มาดูข้า ข้าถึงคร้านจะสนใจเขา” จูจั้นมองท้องฟ้าเอ่ย “คนผู้นี้ออกจะหน้าไม่อาย ถึงกับจะเอาเงินจากข้า บอกว่าหากข้าให้เงิน เขาก็จะให้หมอเทวดาไม่เปิดโปงที่ข้าแสร้งป่วย”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
ผู้ติดตามอะไรเล่า เรื่องเช่นนี้ก็มีแต่อาจารย์ของนางที่ทำออกมาได้
หัวเราะไปๆ ก็แสบจมูกอยู่บ้างอีกแล้ว
“ต่อมาเล่า?” นางเอ่ยถาม
“นายน้อยเช่นข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย คร้านจะสนใจเขา” จูจั้นเอ่ย มองท้องฟ้า คล้ายไล่ย้อนความทรงจำบางอย่างเช่นกัน “ต่อมาคนผู้นี้ก็เริ่มประจบเอาใจข้า วางเกมหมากอันหนึ่ง บอกข้าว่าเล่นเอย่างไร…”
“อ้อ!” คุณหนูจวินยื่นมือชี้เขา
จูจั้นก็ส่งเสียงอ้อ เลิกคิ้วมองนางเช่นกัน
“เจ้างั่ง” เขายิงฟันยิ้มพูดขึ้นมา
พูดถึงตรงนี้ก็คิดถึงการพบกันที่หรู่หนาน แล้วคิดถึงการพบพานที่ไม่ได้พบหน้าที่หยางเฉิงอีก
คิดๆ ดูก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน
คุณหนูจวินก็ยิ้มแล้ว
นี่คือวาสนาหรือโชคชะตากำหนดไว้กันนะ?
“เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย นี่เป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น” จูจั้นเอ่ยทันที ถลึงตาท่าทางเตือนนิดๆ “เจ้าอย่าคิดมากเชียว พวกเจ้าสตรีชอบคิดเหลวไหล”
“จูจั้น ข้ายังไม่พูดอะไรเลยนะ” คุณหนูจวินโกรธจนหัวเราะ
“แววตาของเจ้าพูดแล้ว” จูจั้นชี้ดวงตาของนางแล้วเอ่ยบอก
คุณหนูจวินส่งเสียงเชอะทีหนึ่ง
“ท่านเล่าต่อสิ เล่าถึงคนผู้นั้นต่อ“ นางเอ่ยเร่ง
“ข้าว่าแล้วว่าพวกเจ้ารู้จักกัน ล้วนเป็นคนไม่ปกติจริงๆ” จูจั้นเอ่ย “แต่ไม่มีแล้ว ข้าไม่ว่างเล่นสนุกเป็นเพื่อนเจ้าหมอนั่นหรอก ข้าไล่ไป หลังจากนั้นข้าก็เตรียมออกจากเมืองหลวงไปหาแม่ข้า แต่ในจวนคนมาก ข้าเลยไปมุดรูสุนัข ผลสุดท้ายข้าเพิ่งจะมุดเข้าไปก็ถูกคนกวน…”
คุณหนูจวินรองฮ่าทีหนึ่ง
ที่แท้ไม่ใช่ซุ่มหมอบเฝ้าระวังอะไร แต่เป็นเขาจะหนี ตนเองจะเข้ามาเลยชนกันเข้า ผลสุดท้ายต่างสับสนวุ่นวาย
นี่ช่าง…
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า
จูจั้นไม่ได้หัวเราะ แค่หันกลับมามองทีหนึ่ง เวลานี้พวกเขาออกจากกำแพงจวนแล้ว มองดูไกลๆ ทิวทัศน์ยัเหมือนเดิม แต่ของยังคงเดิมคนเปลี่ยนไปแล้ว
“เฮ้อ คนที่ก่อกวนคนนั้นก็คือองค์หญิงจิ่วหลิง”
เสียงคุณหนูจวินดังขึ้นข้างหู
คราวนี้จูจั้นไม่เงียบหรือเบี่ยงประเด็น แต่ขานอืมตอบทีหนึ่ง อืมเสร็จก็ได้สติฉุกใจคิดขึ้นมาอีก
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เขาเอ่ยถามอย่างระแวง
อ้อ ก็ถูก เรื่องนี้คนที่รู้ไม่มาก
“เสียนอ๋องบอกหรือ?” จูจั้นจี้ถาม
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มทีหนึ่ง
“ไม่ใช่หรอก” นางเอ่ย จากนั้นหยุดนิดหนึ่ง “จิ่วหลิงบอก”
ทว่าจูจั้นไม่ได้จี้ถามว่าจิ่วหลิงพูดเมื่อไรเช่นนั้นอย่างที่คาดคิด กระทั่งไม่สงสัยใคร่รู้สักนิด แววตาของเขานิ่งสงบ
“คุณหนูจวิน ข้าไม่รู้จักเจ้า ข้ารู้จักเพียงนาง ส่วนนางกับเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกันไม่เกี่ยวข้องกับข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่สนใจ เจ้าไม่ต้องเอ่ยถึงนางต่อหน้าข้าหยั่งเชิงอะไรบ่อยๆ”
ดังนั้นเขาแค่รู้จักนาง ผู้อื่นล้วนไม่เกี่ยวข้องสินะ? คุณหนูจวินอึ้งนิดๆ
จูจั้นเดินผ่านนางก้าวยาวไปข้างหน้า
คุณหนูจวินตามไป
“ข้าไม่ได้หยั่งเชิงอะไร ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้น” นางอมยิ้มเอ่ย
จูจั้นทอดสายตาไปด้านหน้า ก้าวยาวประหนึ่งฝนดาวตก
“ที่เจ้าควรถาม ถามจบแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นมา
คุณหนูจวินร้องอ้อ หยุดเท้า
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ข้าก็เป็นแขกของบ้านพวกท่านแล้ว” นางเอ่ย
แขกคำเรียกนี้ก็เป็นเขาเอ่ยขึ้นครั้งนั้น ก้าวเท้าของจูจั้นชะงัก หันหน้านิดหนึ่ง ปลายหางตามองเห็นเด็กสาวคนนั้นยืนอยู่หลังร่าง เสื้อฤดูร้อนเบาบาง คนก็แลดูแบบบางด้วย
“แน่นอนแขกกับแขกย่อมไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะ แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
“ไม่เหมือนกันอย่างไรเล่า?” นางเอ่ยถาม
จูจั้นพรูลมหายใจ
“ช่างมัน ให้ข้อเรียกร้องอีกข้อหนึ่งของเจ้าสมหวังก็แล้วกัน” เขาเอ่ยพลางหมุนตัวมา “วันนี้เจ้าค้างคืนในห้องข้าได้หนึ่งคืน”
คุณหนูจวินถลึงตาจากนั้นก็พ่นเสียงหัวเราะ
นี่ข้อเรียกร้องพิเรนทร์อะไร?
ยังสมหวังอีก?
พูดไปพูดมาล้วนไม่ลืมยกยอตัวเขาเอง
เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ อ่อนโยนอีกหน ดีใจยิ่งที่สิบกว่าปีให้หลังยังได้รู้จักกัน แต่ที่เขาพูดก็ถูก หลังจากนี้ก็เป็นแขกแล้ว หลังจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงจิ่วหลิงในอดีตอีกแล้ว หลังจากนี้คนที่เขารู้จักรวมถึงแขกของพวกเขาคือจวินจิ่วหลิง
ถ้าเช่นนั้นก็ให้เป็นคนในอดีตเรื่องในอดีตครั้งสุดท้ายเถอะ
“ได้สิ” นางเอ่ยพลางเลิกคิ้วอีกครั้ง “ด้วยกันไหม?”
จูจั้นสบถ หมุนตัวก้าวยาวจากไป
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าเดินตาม
……………………………………….
……………………………………….
เมื่อราตรีมาเยือน จูจั้นยืนอยู่ตรงประตูห้องกวาดตารอบหนึ่ง
“เฮ้” เขามองคุณหนูจวินที่มองรอบด้านอย่างอยากรู้อยากเห็นอยู่ในห้อง “อย่าขยับของของข้ามั่วสั่วล่ะ”
เขาพูดพลางชี้มือไปด้านข้าง
“เจ้านอนตรงนี้”
“วันนี้ที่นี่เป็นของข้า ท่านยุ่งไม่ได้ ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นมา
จูจั้นแค่นเสียงเหอะหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อ บนหน้าปรากฏรอยยิ้มย่ามใจอีกครั้ง
โง่หรือไม่ จวนเฉิงกั๋วกงนี่ล้วนเป็นของเขา เขาเปลี่ยนที่พักอีกรอบก็ได้ มีสิ่งใดเสียหาย ดังนั้นมีแต่พวกผู้หญิงเหล่านี้ที่ถูกเรื่องเพ้อฝันทำให้ลุ่มหลงงมงาย
คุณหนูจวินไม่สนใจความย่ามใจเล็กๆ ของจูจั้น จวนเฉิงกั๋วกงแห่งนี้นางอาศัยอยู่ที่ใดล้วนเหมือนกัน ก็แค่ย้อนความทรงจำครั้งหนึ่งเท่านั้น
เสียงฝีเท้าดังขึ้นในห้อง
“คุณหนู อาบน้ำได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งคำนับเอ่ยขึ้นมา
คุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างเตียงได้สติกลับมาจึงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นตามสาวใช้สองคนเข้าไปในห้องอาบน้ำ ในห้องอาบน้ำมีสาวใช้งานกุลีอีกสองคนหิ้วถังไม้ก้มศีรษะหลีกทางหลบไปด้านข้าง คุณหนูจวินเดินผ่านข้างกายพวกนางไป ฉับพลันก็หยุดเท้าอีกหน
นาง
“เสวี่ยเอ๋อร์” นางหันควับเอ่ยเรียก
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งในนั้นที่กำลังหิ้วถังไม้เดินออกไปข้างนอกไม่ทันรู้ตัวลุกขึ้นยืนขานรับแล้วหันหน้ามา
โคมไฟแกว่งไกว ห้องอาบน้ำเงียบกริบ คุณหนูจวินรู้สึกขนหัวลุก ในสมองเสียงเปรี้ยงดังทีหนึ่ง ทุกสิ่งขาวโพลน
…………………