Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 129 ค่อยๆ ครึกครื้นขึ้นทุกที
คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลฟางตกสู่ความชุลมุน คฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลหนิงที่เป่ยหลิวเงียบสงบดังปกติ
ความเงียบสงบนี่ถึงขั้นวังเวงอยู่บ้าง
นายหญิงใหญ่หนิงวางชาในมือลงหนักๆ ทำให้หญิงรับใช้ที่พูดอยู่เบื้องหน้าตกใจจนตัวสั่น
“ทำไมไม่เข้าร่วม? พวกเราตระกูลหนิงทำภูเขาโคมไม่ไหวหรือไม่กล้าทำรึ?” นางเอ่ย “พวกเขาถามอะไร? ปีก่อนวันที่สิบห้าพวกเราทำอย่างไร ปีนี้แน่นอนก็ยังทำเช่นนั้น”
หญิงรับใช้ขานรับถอยออกไปแล้ว
นายหญิงใหญ่หนิงพรูลมหายใจยาว
ใกล้แปดเดือนแล้ว เทศกาลโคมไฟวันที่สิบห้าต้องเตรียมพร้อมแล้ว ในอำเภอกลับมาถามตระกูลหนิงว่ายังจะเตรียมภูเขาโคมไฟหรือไม่ ทำให้คนโมโหจริงๆ เรื่องเช่นนี้ยังต้องถามอีกหรือ? ขอเพียงเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาล้วนจะทำ นอกจากนี้พวกเขาตระกูลหนิงตลอดมาก็มีส่วนด้วยมาตลอด
นายหญิงใหญ่หนิงก็รู้ว่าในอำเภอทำไมมาถาม ย่อมเพราะเรื่องหนิงเหยียนถูกปลด
คิดถึงตรงนี้ก็ทำให้นายหญิงใหญ่หนิงยิ่งโมโห
พวกตาสุนัขดูถูกคนพวกนี้
สายตาของนายหญิงใหญ่หนิงจับอยู่บนโต๊ะ จดหมายที่แกะเปิดสองฉบับทำให้นางสีหน้าผ่อนคลายลง ฉบับหนึ่งคือจดหมายของหนิงอวิ๋น ฉบับหนึ่งของนายหญิงรองหนิงส่งมา ในจดหมายล้วนเอ่ยถึงเรื่องเดียวกัน ก็คือหนิงอวิ๋นเจาไม่เพียงไม่ถูกหางเลขจากการลดขั้นของหนิงเหยียน กลับกันยิ่งถูกฮ่องเต้ให้ความสำคัญ ข่าวว่ากันว่าก่อนปีใหม่ก็คงจะเลื่อนขึ้นหนึ่งขั้นแล้ว
หากบอกเช่นนี้เพียงในจดหมายของนายหญิงรองหนิงนางอาจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รู้สึกว่ากำลังปลอบนาง แต่หนิงอวิ๋นเจาก็บอกเช่นนี้ด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีข้อสงสัยแล้ว
บุตรชายของนางไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาปลอบคนหรอก บุตรชายของนางจะอาศัยเพียงทำบางสิ่งได้จริงๆ มาปลอบประโลมคน
ดูเถอะ ใช้เวลาไม่นานนักคนเหล่านี้ก็จะรู้ว่าตระกูลหนิงของพวกเขายังคงเป็นตระกูลหนิงที่ตำแหน่งสูงอำนาจมากดังเดิม บุตรชายของนางจะกลายเป็นเสาหลักของตระกูลหนิง
ดวงตาของนายหญิงใหญ่หนิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่เมื่อคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา สีหน้าก็พลันทะมึนอยู่บ้าง ถอนหายใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง
ถึงสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้ว แต่สร้างครอบครัวนี่ไม่ได้ดั่งใจเสียที
นางถือจดหมายของนายหญิงรองหนิงขึ้นมา ในจดหมายของนายหญิงรองหนิงเขียนแล้วก็เอ่ยถึงการแต่งงานกับหลายตระกูลนัก รูปโฉมคุณสมบัติของคุณหนูตระกูลฝั่งตรงข้ามล้วนดีอย่างที่สุด ทว่าหนิงอวิ๋นเจาล้วนตอบปฏิเสธ ทั้งยังขอให้นายหญิงรองหนิงยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องแต่งงงานกับเขาชั่วคราวอีกด้วย บอกว่าอยากรออีกสักหน่อย
ทำไมต้องรออีกสักหน่อย นายหญิงรองหนิงไม่ได้พูดชัด แต่กลับเอ่ยถึงเรื่องคุณหนูจวินคนนั้นกลับเมืองหลวง
คุณหนูจวินคนไหนเล่า นายหญิงใหญ่หนิงก็ได้ยินมาแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้เฉิงกั๋วกงประกาศความชอบกับใต้หล้า ก็เอ่ยถึงคุณหนูจวินคนนี้ นางถึงกับกลายเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง นำทหารช่วยประชาชนทำสงครามที่แดนเหนือไปแล้ว
เรื่องใหญ่เช่นนี้ตระกูลฟางที่หยางเฉิงย่อมยิ่งอวด ถนนตรอกซอกซอยล้วนเล่าลือกันทั่ว ในสายตาทุกคนคุณหนูจวินคนนี้ประหนึ่งเทพเซียนไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ ใครยังจดจำเด็กสาวกำพร้าหยาบคายที่ก่อเรื่องน่าขันมากมายปานนั้นคนนั้นครั้งกระนั้นได้อีก
นางก็ใกล้จะลืมแล้ว แต่เห็นชัดยิ่งว่าบุตรชายลืมไม่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้นายหญิงรองหนิงบอกว่าเดิมทีการแต่งงานกับตระกูลเฉิงกั๋วกงก็เป็นเรื่องหลอก ได้ฮ่องเต้สรรเสริญล้างฐานะให้ผุดผองแล้ว
หลอกอีกแล้ว การแต่งงานของสตรีคนนี้เป็นเรื่องหลอกลวงมากี่ครั้งแล้ว ยังมีของจริงไหม?
ก็มีนะ ครั้งแรกเรื่องแต่งงานกับหนิงอวิ๋นเจาเป็นเรื่องจริง
นายหญิงใหญ่หนิงส่ายศีรษะ จากนั้นก็ผิดหวังเหม่อลอยอยู่บ้างอีกครั้ง เพื่อสตรีคนนี้ บุตรสาวถึงแต่งออกไปเร็วนอกจากนี้ยังถูกแม่สามีกักไว้ไม่ให้กลับบ้านมารดา บุตรชายอายุมากเช่นนี้เรื่องแต่งงานก็ยังไม่สำเร็จ ครอบครัวนี้กลายเป็นแห้งเหี่ยวเงียบเหงาอยู่บ้าง
เรื่องครั้งนั้นเสียใจอยู่บ้างใช่หรือไม่? หากเวลานั้นยอมรับการหมั้นหมาย ตอนนี้ไม่แน่อาจมีหลานแล้ว นอกจากนี้หมอเทวดานี่ก็ดี การสรรเสริญความชอบที่แดนเหนือก็ดี ล้วนจะเป็นของพวกเขาตระกูลหนิงใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ในบ้านจะต้องครึกครื้นมากแน่เลยใช่ไหม?
“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ” มีหญิงรับใช้เดินเข้ามาขัดอาการเหม่อลอยของนายหญิงใหญ่หนิง “ในเมืองครึกครื้นแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่หนิงขานอืมทีหนึ่ง
“ครึกครื้นอะไร?” นางเอ่ยถามอย่างหมดความสนใจ
“เต๋อเซิ่งชางเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้เอ่ย
“ข้าได้ยินมาเลาๆ ไม่มีเงินแล้วรึ?” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น
ตระกูลที่มีชาติตระกูลหน่อยล้วนมีธุรกิจอยู่กับร้านแลกเงิน แม้ตอนนั้นเพราะเรื่องถอนหมั้น นายหญิงใหญ่หนิงโม้ว่าตระกูลหนิงไม่ติดต่อค้าขายด้วยกันอีก แต่เมื่อชื่อเสียงหมอเทวดาของคุณหนูจวินโด่งดังขึ้น ในตระกูลหนิงก็มีคนไม่น้อยบ้างโจ่งแจ้งบ้างลับๆ ฝากเงินแลกเงินที่เต๋อเซิ่งชางต่อ เล่ากันว่าจะแตะโชคดีของหมอเทวดาได้ นายหญิงใหญ่หนิงก็ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง
เรื่องเงินแต่ไหนแต่ไรก็เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับชีวิตครอบครัว เต๋อเซิ่งชางครั้งนี้อยู่ดีๆ แลกเงินไม่ได้ย่อมชักพาการโวยวายขึ้นมา นายหญิงใหญ่หนิงก็ได้ยินมาแล้ว
ได้ยินทุกคนคาดเดาว่าช่วงก่อนหน้านี้คุณหนูจวินอยู่ที่แดนเหนือทำสงครามช่วยประชาชนผลาญทรัพย์สินของตระกูลฟางไปสิ้นแล้ว
“ทำสงครามผลาญทรัพย์สินที่สุด” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “ราชสำนักยังเสียไม่ไหวเลย ตระกูลฟางแห่งเดียวไม่ประมาณตนจริงๆ”
หญิงรับใช้รีบส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ นายหญิง ไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่ตระกูลฟางทะเลาะกันแล้ว คุณหนูสองคนจะแย่งสมบัติตระกูล” นางเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
นายหญิงใหญ่หนิงอึ้ง
“คุณหนูสองคนแย่งสมบัติตระกูล?” นางเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว บอกกันว่าครั้งกระโน้นนายหญิงผู้เฒ่าฟางรับปากไว้แล้วว่าจะปฏิบัติกับพวกนางเหมือนบุตรชาย แบ่งสมบัติตระกูลให้ ตอนนี้นายน้อยตระกูลฟางร่างกายหายดีแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ยอมรับ คุณหนูสองคนจึงโวยวายขึ้นมา” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น แม้ข่าวเล่าลือออกมาเพียงกระท่อนกระแท่น แต่ชาวบ้านทั้งหลายมีพลังจินตนาการมากพอเติมเรื่องราวจนครบ
เรื่องลับในตระกูล การแก่งแย่งสมบัติตระกูลเป็นเรื่องสนุกที่ทุกคนชอบดูที่สุดเสมอ
ตอนนั้นหลังนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางตาย ระหว่างตระกูลฟางในตระกูลเองกับตระกูลเครือญาติก็ทยอยทะเลาะแย่งชิงทำให้ประชาชนทั้งหยางเฉิงล้วนไม่คิดถึงชาไม่คิดถึงข้าว วันๆ นั่งเฝ้าชมละครใหญ่ ทุกวันยังมีคนต่อยตีกันเพราะความคิดเห็นขัดแย้ง เหมือนที่แย่งกันคือสมบัติตระกูลของตนเองที่ลงทุนไป
วันนี้ตระกูลฟางมีทายาทชายแล้ว ยังคิดว่าไม่มีทางมีละครแย่งชิงสมบัติตระกูลอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่มีคนนอก พี่น้องในบ้านตนจะแย่งกันขึ้นมา
“ผู้หญิงตระกูลฟางก็ช่าง…” นายหญิงใหญ่หนิงไม่ทราบว่าควรพูดอะไรดี “พวกนางก็อุตส่าห์ทำออกมาได้”
“สิ่งใดทำออกมาไม่ได้เล่าเจ้าคะ ตระกูลฟางมีค่าเป็นเงินเท่าไร คุณหนูสองคนยังดูแลกิจการมาตลอดอีก ถึงเวลาแต่งให้ผู้อื่น สินเดิมเจ้าสาวมากเท่าใด ไหนเลยจะเทียบกับร้านแลกเงินที่สร้างเงินให้ได้” หญิงรับใช้ยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย “นายหญิงผู้เฒ่าฟางร้ายกาจเท่าไร หลานสาวที่นางเลี้ยงมาจะด้อยกว่านางได้หรือ”
ที่ชมว่าร้ายกาจนี่ไม่ใช่ควาหมายในทางดีอะไร นายหญิงผู้เฒ่าฟางร้ายกาจจริงๆ ตอนนั้นเพื่อทรัพย์สิน มารดาของตนก็ผรุสวาทว่าจะตีจะฆ่าได้
นายหญิงใหญ่หนิงส่ายศีรษะ
“พ่อค้าเห็นแก่ผลประโยชน์ไร้หัวใจจริงแท้” นางเอ่ย
สตรีตระกูลฟางนี่บ้ากันหมดจริงๆ ความเสียใจน้อยนิดเพราะเรื่องตอนนั้นเมื่อครู่ฉับพลันสลายหายดั่งหมอกควัน
หนิงอวิ๋นเจาก็แค่ตกอยู่ในความลุ่มหลงชั่วครู่เท่านั้น เวลานานเข้าก็คงจืดจาง แต่ยั่วโมโหครอบครัวที่สตรีบ้าคลั่งเช่นนั้นเป็นเรื่องทั้งชีวิต
นายหญิงใหญ่หนิงถือลูกประคำข้างกายขึ้นมาหลับตาฝึกสมาธิ
ส่วนถนนใหญ่ซอยน้อยในหยางเฉิงเวลานี้ล้วนคึกคักไม่ธรรมดา ประตูใหญ่ของร้านแลกเงินเต๋อเซิ่งชางแห่งหนึ่งปิดสนิท แต่นี่ไม่อาจขวางชาวบ้านผู้ว่างงานที่รวมตัวอยู่หน้าประตูได้
“ร้านแลกเงินที่ถนนตะวันออกเปิดแล้ว” มีคนพาข่าวล่าสุดมา
นี่ทำให้ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ฉับพลันฮือฮา
“ที่นั่นไม่เชื่อฟังคำของคุณหนูทั้งสองหรือ?”
“นายหญิงผู้เฒ่าฟางดูท่าคงโกรธแล้ว”
“ต้องโกรธสิ นี่เรียกเรื่องอะไรกัน”
“ก็ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ คุณหนูทั้งสองก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม ตั้งแต่เล็กเป็นวัวเป็นม้า แล้วยังแต่งงานออกไปไม่ได้ บอกว่าจะรับลูกเขย ลากมาถึงอายุปานนี้ จะถูกไสส่งไปเปล่าๆ เช่นนี้หรือ เปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็ไม่ยอม”
“สตรีหนอสตรี มีที่ไหนแย่งสมบัติตระกูล สมบัติตระกูลนี่เดิมทีก็เป็นของบุรุษ นายน้อยฟางพอใจจะให้สินเดิมเจ้าสาวกับพวกนางมากสักหน่อยก็คือเขาใจกว้างสงสารพี่สาวของเขา ไม่ให้ นั่นก็สมเหตุสมผล มาแย่งช่างทำลายขนบจริงๆ”
“โฮ่ ตอนนั้นนายน้อยฟางง่อยเปลี้ยเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ในเรือนหลังช่วงหนึ่ง ทำไมไม่สงสารพี่สาวทั้งหลายของเขาที่ลำบากทำงานล่ะ?”
ชาวบ้านทั้งหลายหน้าประตูยิ่งพูดยิ่งครึกครื้น โต้เถียงกันหน้าแดงคอเป็นเอ็น ถลกแขนเสื้อจะเล่นงานกัน ทะเลาะกันจนบนถนนครึกครื้นยิ่งกว่าวันปีใหม่
“ร่วมทุกข์ได้ร่วมสุขไม่ได้จริงๆ” ผู้เฒ่าที่ชมเรื่องสนุกคนหนึ่งส่ายศีรษะถอนหายใจอยู่ข้างถนน “คนโบราณไม่หลอกข้า”
สิ้นเสียงพูดก็ได้ยินข้างกายมีคนแค่นเสียงคำหนึ่ง
ผู้เฒ่าหันไปมองเห็นบุรุษอ้วนวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมผ้าไหมแพรพรรณใบหน้าเมตตา เพียงแต่สีหน้าบนใบหน้าเวลานี้อารมณ์ไม่ดีนัก
“บ้าบอ” เขาสะบัดแขนเสื้อเอ่ยแล้วหมุนตัวเดินออกไป
นี่ก็คงเป็นคนร่ำรวยคนหนึ่ง ดูท่าเห็นสถานการณ์คงเป็นห่วงลูกหลานของตระกูลตนหรือคิดถึงการแก่งแย่งสมบัติในตระกูลที่ตนเองเคยผ่านมาครั้งนั้นกระมัง
คนร่ำรวยก็มีความปวดหัวของคนร่ำรวยนะ ผู้เฒ่าคิดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง
ชายร่ำรวยเลี้ยวเข้าซอยหนึ่ง สีหน้ายิ่งถมึงทึง
มีผู้ติดตามสองคนติดตามมาข้างหลังอย่างเงียบเชียบ
“นายท่าน ทำอย่างไรขอรับ?” คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้ยังขนใส่รถไหมขอรับ?”
“ตอนนี้ใส่ทำบ้าอะไร” ชายร่ำรวยหันกลับมาตวาดเสียงเบา “คนมากมายเช่นนี้มาชมดูเรื่องสนก หากถูกพบเข้า เจ้าข้าล้วนต้องตาย”
ผู้ติดตามทั้งสองก้มศีรษะ
“แต่ใต้เท้าหยวนด้านนั้นยังรออยู่….” คนหนึ่งยังอดไม่ได้เอ่ยขึ้นเสียงเบา
ได้ยินชื่อนี้ ชายร่ำรวยพลันสีหน้าหวาดกลัวอยู่บ้าง
“นายหญิงผู้เฒ่าฟางคนไร้ประโยชน์คนนี้คงไม่กระทั่งหลานสาวตัวน้อยสองคนก็จัดการไม่ได้หรอกกระมัง?” เขาทั้งโมโหทั้งยังท่าทางโหดเหี้ยมอยู่บ้าง “ไป บอกนาง ข้าไม่มีเวลารอนางพูดจาดีๆ กล่อมหลานสาวตัวดีทั้งหลายของนาง”
ผู้ติดตามก้มศีรษะขานรับ ถอยไปด้านหลังอย่างเงียบเชียบ
เทียบกับความวุ่นวายด้านนอก ด้านในคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลฟางบรรยากาศหนักอึ้ง
“พวกเจ้าเลอะเลือนใช่หรือไม่? นี่อนาคตจะขาดของพวกเจ้าได้หรือ?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยอย่างติดจะเหนื่อยล้า
หลายวันนี้โทสะก็สาดใส่แล้ว พูดดีๆ ก็พูดแล้ว ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ฟัง
ฟางอวิ๋นซิ่วก้มศีรษะสีหน้ากระวนกระวายคล้ายตนก็ไม่อยากทำเช่นนี้ ใช่แล้ว นางไม่อยากจริงๆ แต่กลับเชื่อฟังฟางอวี้ซิ่วท่าเดียว
ก็ไม่รู้ว่าควรบอกว่านางไม่มีความเห็นหรือบื้อเกินไป
นายหญิงใหญ่ฟางคร้านจะสนใจนาง วันนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดคือฟางอวี้ซิ่ว
“ท่านแม่ อนาคตคืออนาคต ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย ไม่ร้อนรน ไม่โมโห สีหน้านิ่งสงบ “อย่างไรตอนนี้ตกลงแบ่งให้ชัดเรียบร้อยถึงดี”
นายหญิงใหญ่ฟางพรูลมหายใจ
“ตกลงกันก็พูดกันดีๆ เจ้าเปิดคลังก่อน เปิดบัญชีเสีย” นางเอ่ยขึ้น
พูดถึงเรื่องนี้นางก็ร้อนใจจนตาดำอีกหน
ตั้งแต่ฟางเฉิงอวี่รับช่วงกิจการ นางกับนายหญิงผู้เฒ่าล้วนวางมือ เต๋อเซิ่งชางยอมรับเพียงตราประทับกับคำสั่งของฟางเฉิงอวี่ ส่วนอำนาจของฟางอวี้ซิ่วกับฟางอวิ๋นซิ่วเป็นรองฟางเฉิงอวี่ วันนี้ฟางเฉิงอวี่เดินทางอยู่ยังไม่กลับมาจึงทำให้พวกนางถึงขั้นคลี่คลายสถานการณ์นี้ไม่ได้
“มีสิ่งใดอยากพูดพวกเจ้าก็พูดกับครอบครัวตนเองดีๆ ไยต้องให้คนข้างนอกเห็นเรื่องน่าขายหน้า นี่มีสิ่งใดดีเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย “อวี้ซิ่ว เจ้าไม่ใช่เด็กเหลวไหลนี่”
ฟางอวี้ซิ่วยิ้มกำลังจะเอ่ยคำพูด นอกประตูเสียงตะโกนของนางหยวนพลันดังขึ้น
“นายหญิงผู้เฒ่าส่งคนมาแล้ว”
เสียงนี้ถึงขั้นหวาดผวาอยู่บ้าง
นายหญิงใหญ่ฟางมองผ่านม่านกั้นออกไปข้างนอก เห็นในลานหญิงรับใช้บึกบึนสิบกว่าคนเดินเข้ามา ในมือถือไม้กระบองและเชือก
นางรู้สึกเพียงหัวใจหยุดเต้น คนก็ลุกขึ้นยืน
“พวกเจ้าทำท่านย่าของพวกเจ้าโมโหแล้ว” นางเอ่ยเสียงสั่น “พวกเจ้าลืมแล้วใช่หรือไม่ว่าท่านย่าของพวกกเจ้าอารมณ์ร้ายอย่างไร”
………………