Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 132 ยกมือขยี้
ของที่เขาต้องการยังไม่ทันขนออกมาเลย
นี่หากขนย้ายจะถูกคนว่างงานเหล่านี้ของหยางเฉิงรื้อค้นหรือไม่? ของข้างในนั่น…
แม้เขามีคนเพียงพอ ทว่าหาก
เรื่องอื่นก็ช่างเถิด เรื่องนี้สิ่งไม่คาดฝันสักนิดก็ไม่อาจเกิดได้จริงๆ
เขาไม่กล้าเสี่ยงอันตราย
ชายร่ำรวยสีหน้าเขียวคล้ำโมโหอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนกลายเป็นพิกล เรื่องนี้บังเอิญเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
ลูกสาวตระกูลฟางก่อเรื่องครานี้ คงไม่ใช่เล่นงานตนกระมัง?
สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นมา
“อาจเพราะพวกเรา แล้วก็อาจไม่ใช่เพราะพวกเรา” ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “คลังสวรรค์ของตระกูลฟางนี่ไม่เคยเปิดมาก่อน เป็นความลับยิ่งมาตลอด ว่ากันว่าสมบัติล้ำค่าของตระกูลฟางล้วนซ่อนไว้ข้างใน นายหญิงผู้เฒ่าฟางอยู่ดีๆ จะเปิดคลัง คงกระตุ้นคุณหนูทั้งหลายของตระกูลฟางเข้าแล้ว”
“ถูกต้อง ฝ่าบาทมอบเกียรติยศเช่นนี้ให้ตระกูลฟาง ทั้งนายน้อยตระกูลฟางก็ร่างกายแข็งแรง พวกนางเองก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว รักษากิจการมานานปีปานนี้ จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร” ผู้ติดตามอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “นอกจากนี้คุณหนูสองคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ถูกพ่อค้าอบรมเลี้ยงดูมา ทั้งยังยุ่งอยู่กับกองเงินนานปีปานนี้ ผลประโยชน์มากเช่นนี้บอกจะทิ้งก็ทิ้งได้อย่างไรเล่า”
ชายร่ำรวยมองพวกเขาทีหนึ่ง
“พวกเจ้าอธิบายมีเหตุผลยิ่ง” เขาเอ่ย “ทว่าเรื่องยิ่งมีเหตุผลดูแล้วยิ่งเหมือนเล่นละคร”
สิ้นเสียงของเขาก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังมาด้านหลังจึงเอี้ยวศีรษะมองไปโดยไม่รู้ตัว ในดวงตาอดไม่ได้หรี่ลงเล็กน้อย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาแล้ว
เสียงตะโกนส่งต่อจากด้านหลังมาถึงในฝูงชนที่เอะอะ สายตาล้วนมองไปข้างหลัง เห็นบ่าวชายสิบกว่าคนรุมล้อมรถม้าคันหนึ่ง
รถม้าที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางมักใช้นั่นเอง
“นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาแล้ว”
“ให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางพูด”
ฝูงชนทั้งหลายพูดกันวุ่นวาย
บนหน้าฟางอวิ๋นซิ่วปรากฎความวิตกอยู่บ้าง
“ไม่ต้องกลัว มีอะไรพูดกันดีๆ นะ” สตรีทั้งหลายใกล้ๆ ข้างหน้าสัมผัสได้จึงรีบเอ่ยปลอบ
นายหญิงใหญ่ฟางส่ายศีรษะ สีหน้าหลากหลายอารมณ์ มองฟางอวี้ซิ่วสองพี่น้องที่ถูกฝูงชนล้อมอยู่
“พูดดีๆ นายหญิงผู้เฒ่าฟางแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนที่จะพูดจาดีๆ” นางเอ่ย “พวกเจ้าสองคน ก่อเรื่องเกินไปแล้วจริงๆ”
สิ้นเสียง รถม้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางด้านนั้นก็หยุด แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกลับไม่ได้ลงจากรถ กลับเป็นหญิงรับใช้ที่นั่งอยู่รถคันหน้าคนหนึ่งโบกมือให้บรรดาบ่าวชาย
ผู้คุ้มกันทั้งหลายลงรถม้าอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกันนั้นก็ปลดไม้กระบองลงมาจากบนหลังม้า สีหน้าเคร่งขรึมก้าวเร็วไวไปหาฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่ว
ฝูงชนทั้งหลายอึ้ง
นี่คือจะ…
ความคิดเพิ่งแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงเด็กสาวสองคนกรีดร้องทีหนึ่ง ต่างถูกผู้คุ้มกันสองคนจับไว้ ไม่พูดสักคำก็หิ้วจากไป
ชาวบ้านทั้งหลายฉับพลันฮือฮา
“มีอะไรพูดจากันดีๆ สิ”
“ทำกับเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ดีเลวก็เป็นคุณหนูของตระกูลตนนะ เหมือนจับนักโทษได้อย่างไร”
ผู้คนแห่เข้ามาขวาง
แต่ไม่เหมือนกับหญิงรับใช้ไม่กี่คนนั้นก่อนหน้านี้ ผู้คุ้มกันสิบกว่าคนเล็งไม้กระบองในมือใส่ชาวบ้านเหล่านั้นอย่างพร้อมเพรียง
“ถอยไป!” พวกเขาตวาดเอ่ย
ถึงขั้นจะลงมือกับพวกเขาหรือ? ชาวบ้านทั้งหลายฮือฮอา
“ทำอะไร!”
“ยังจะตีพวกเราด้วยรึ!”
“ตีสิ ตีสิ”
สตรีไม่น้อยโถมเข้ามาทันที
สถานการณ์ตกสู่ความโกลาหล เสียงตะโกน เสียงร้อง เสียงด่าทอของผู้คุ้มกัน
“ตี!”
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้เสียงตวาดที่ชราแต่เต็มไปด้วยกำลังพลันดังขึ้น
ผู้คนอึ้งมองไป เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เดินออกมาจากในรถม้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มีหญิงรับใช้สองคนเคียงข้าง ในมือกุมไม้เท้า สีหน้าเย็นเยียบ
“ตี!” นางตวาดอีกหน
พร้อมกับที่เสียงนี้สั่ง ผู้คุ้มกันทั้งหลายของตระกูลฟางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ยกไม้กระบองในมือขึ้นตีเข้าใส่ผู้คนที่ล้อมอยู่จริงๆ ฉับพลันเสียงกรีดร้องเสียงร้องเจ็บปวดดังระงม มีคนล้มลง มีคนถอยหลัง เจ้าผลักข้าข้าผลักเจ้า ชุลมุนยุ่งเหยิง
นางหยวนแอบอยู่หลังร่างนายหญิงใหญ่ฟาง กลัวจนทนดูไม่ได้
“ตีแล้วอย่างไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ ไม่หวาดกลัวความชุลมุนด้านนี้สักนิด เอ่ยเสียงกังวาน “กล้าแย่งสมบัติตระกูลข้า ยุ่งเรื่องตระกูลข้า กระทั่งมารดาข้า ข้ายังตี พวกเจ้านับเป็นอะไร!”
ท่ามกลางห่าฝนพายุกระบองครั้งนี้ ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่อเนจอนาถกระจายออก ได้ยินคำพูดนี้ของนางสีหน้าล้วนซีดขาว
“ถึงอย่างนั้นท่านก็ตีคนไม่ได้นะ” มีคนที่ถูกตีตะโกนขึ้นมา
“นั่นเพราะพวกเจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองไปตรงที่ส่งเสียง ตวาดขึ้นทันที “เรื่องตระกูลฟางของพวกเราผลัดถึงพวกเจ้าชี้มือชี้ไม้รึ บอกพวกเจ้าประโยคหนึ่งว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้ชิด พวกเจ้าก็คิดว่าตนเองเป็นคนสำคัญจริงๆ แล้วรึ? พวกเจ้ากันเด็กตระกูลข้าไว้คิดจะทำอะไร? ลักพาตัวหรือเรียกข้าไถ่? ตีพวกเจ้า ส่งพวกเจ้าไปพบทางการข้าก็มีเหตุผล!”
ใช่แล้ว…
ผู้อื่นเป็นครอบครัวเดียวกัน นี่จริงๆ ก็…
ที่นั่นตกสู่ความเงียบ
นายหญิงผู้เฒ่าฟางหันหน้ามองไปทางฟางอวิ๋นซิ่วฟางอวี้ซิ่วพี่น้องที่ถูกผู้คุ้มกันหิ้วไว้อีกครั้ง
“สมบัติตระกูล” นางเอ่ยเสียงเย็นชา “สมบัติตระกูลของตระกูลฟาง ขอแค่ข้าอยู่วันหนึ่ง ก็เป็นของข้า ข้าบอกให้พวกเจ้าก็ให้พวกเจ้า ข้าบอกว่าไม่ให้พวกเจ้า สักอีแปะเดียวพวกเจ้าก็เอาไปไม่ได้! พูดถึงสมบัติตระกูลกับข้า พวกเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร?”
นางมองสองพี่น้องตระกูลฟาง
“พวกเจ้าเหนื่อยยากเพื่อตระกูลฟางมีความชอบ นี่ไม่ใช่ความชอบของพวกเจ้า นี่เป็นของพ่อเจ้า เป็นของแม่เจ้า เป็นพวกเขาเลี้ยงดูพวกเจ้ามา หากไม่เช่นนั้นจะมีเรื่องอันใดของพวกเจ้า”
นางยื่นมือชี้นายหญิงใหญ่ฟาง แล้วชี้ตนเอง เชิดคางขึ้น
“ส่วนที่พ่อเจ้าเลี้ยงพวกเจ้าได้ ก็เพราะมีข้า ดังนั้นนี่ล้วนเป็นของข้า ข้าให้พวกเจ้าได้ พวกเจ้าเรียกร้องเอาจากข้าไม่ได้”
ฟางอวี้ซิ่วดิ้นรนนิดหนึ่งมองนาง
“ท่านย่า นี่ไม่ยุติธรรม” นางเอ่ย
“ยุติธรรม” นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเย็นชา “เจ้าเด็กกว่าข้า เจ้าเป็นหลานสาวของข้า นี่ตัวมันเองก็ไม่ยุติธรรม”
พูดจบพลันโบกมือ
“พาไป”
นางมองไปยังผู้คนที่ล้อมอยู่ “ข้าจะดูซิใครกล้าขวาง”
ชาวบ้านทั้งหลายรอบด้านบ้างปิดหน้าบ้างถอยหลัง ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอีก
ฟางอวี้ซิ่วสองพี่น้องถูกผุ้คุ้มกันหิ้วไป หญิงรับใช้ด้านนั้นก็รีบเข้ามาผลักขึ้นรถม้า
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินไปหลายก้าวยืนนิ่งอยู่หน้าเต๋อเซิ่งชาง
“ไม่มีตราประทับของพวกนางไม่ออกเงิน ไม่เดินบัญชี น่าขำจริงๆ” นางเอ่ย “เต๋อเซิ่งชางของข้านี่ อาศัยคน ไม่ใช้สิ่งของไร้ชีวิต ข้าก็อยากดูซิ ข้าบอกว่าจะเดินบัญชี จะเปิดคลัง ใครกล้าไม่ฟัง”
ผู้ดูแลใหญ่เการีบก้าวเข้าไปคำนับ
“ไม่กล้า ไม่กล้า” เขาเอ่ยย้ำๆ แล้วหมุนตัวโบกมือ “เปิดประตูๆ เปิดร้านๆ”
พนักงานและผู้ดูแลทั้งหลายรีบวุ่นทันที บานประตูของเต๋อเซิ่งชางถูกถอดออก พนักงานทั้งหลายต่างทำหน้าที่ของตนยืนอยู่ด้านในเรียบร้อย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกวาดสายตามองรอบด้านอย่างเย็นชา
“พวกเด็กน้อยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ น่าขำจริงๆ” นางเอ่ย หยุดไม้เท้านิดหนึ่ง หมุนร่างก้าวยาวเดินไปทางรถม้า
นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนรีบก้มศีรษะติดตาม
ชาวบ้านที่ล้อมมุงอยู่มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางขึ้นรถม้าไปท่ามกลางการรุมล้อมของหญิงรับใช้กับผู้คุ้มกันประหนึ่งสายลมหอบหนึ่ง ฉับพลันมาแล้วก็ฉับพลันไป
สายลมพัดผ่านกวาดราบความวุ่นวาย รถม้าที่แตกกระจายถูกเก็บกวาด ประตูร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางที่ปิดสนิทมาหลายวันก็เปิดออกด้วย ทุกสิ่งเหมือนสิ่งใดล้วนไม่เคยเกิดขึ้น
“บอกแล้วไง กระทั่งเด็กน้อยคนหนึ่งจะจัดการไม่ได้ได้อย่างไร” ชายร่ำรวยที่มุมถนนอมยิ้มลูบเครา “นี่ก็ปลอมเกินไปแล้ว”
พวกผู้ติดตามก็โล่งอกเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นนายท่าน วันพรุ่งนี้พวกเราก็…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ชายร่ำรวยมองชาวบ้านที่ยังวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบายังไม่กระจายตัวไปบนถนนแล้วส่ายศีรษะ
“รออีกสักหน่อย ปลอดภัยไว้ก่อน” เขาเอ่ยแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่งอีกหน “ก็ไม่อาจรอนานเกินไปได้ ไม่ให้ค่ำคืนยาวฝันมาก แค่สามสี่วันแล้วกัน”
ผู้ติดตามขานรับ
……………………………………….
……………………………………….
โอ้ยเสียงร้องแผ่วเบาคำหนึ่ง ฟางอวี้ซิ่นอนคว่ำบนเตียงจากนั้นก็ร้องเจ็บอีกหน
“เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถามอย่างกังวล ก้าวเข้าไปพยุง
ฟางอวี้ซิ่วยื่นมือตบไม้กระดานเตียง
“เตียงนี้แข็งเกินไปแล้ว” นางเอ่ย “ทำข้ากระอักแล้ว”
ฟางอวิ๋นซิ่วหลุดหัวเราะอยู่บ้าง มองรอบด้านทีหนึ่ง พวกนางไม่ได้ถูกมัดกลับไปห้องของตนเอง แต่ถูกโยนไว้ในห้องเก็บฟืนอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ใช้แผ่นไม้ต่อเป็นเตียงชั่วคราวฉพาะหน้า รอบด้านไม้ฟืนวางกองไว้ หน้าต่างบานน้อย ในห้องกลิ่นราชื้นกระจายอยู่
“ตอนนี้ทำอย่างไรเล่า?” นางเอ่ยขึ้น
ฟางอวี้ซิ่วอยู่บนเตียงบิดคอนิดหนึ่ง
“ตอนนี้หมดหนทางแล้ว” นางเอ่ย
ฟางอวิ๋นซิ่วร้องอ้อทีหนึ่ง ยังไม่ทันตอบสนองก็เห็นฟางอวี้ซิ่วลุกขึ้นมาบนเตียงอีกหน
“ท่านย่า ท่านย่า” นางเดินไปถึงข้างประตู เกาะอยู่บนประตูตะโกนผ่านรอยแยกไปข้างนอก “ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านปล่อยข้าออกไปเถอะ”
ฟางอวิ๋นซิ่วเกือบเป็นลม
อะไรกัน!
ฟางอวี้ซิ่วตบประตูตะโกนต่อ
“ต่อให้ไม่ปล่อยข้าออกไป ก็เอาน้ำลิ้นจี่กาหนึ่งมาให้ข้าเถอะ
“ส้มทองก็ได้”
“เอาขนมบัวมาอีกจาน”
……………………