Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 24 มีหวังไม่ทอดทิ้งจนถึงที่สุด
พวกจินสือปาห้าคนตามอยู่ในกองทหารชิงซานอยู่ตลอด
ไม่ทราบว่าเจอวิธีการของชาวหมู่บ้านเหล่านี้จนเอียน หนีไม่ได้จึงตัดใจ หรือเหตุผลอะไรอย่างอื่น พวกเขาไม่ได้วางแผนใช้ลูกไม้อะไรถึงขั้นแทบไม่เอ่ยวาจา เหมือนกับชาวหมู่บ้านเหล่านี้กระทั่งชาวหมู่บ้านยังลืมว่าพวกเขาเป็นใคร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบรรดาทหารของเมืองเหอเจียน
เหลยจงเหลียนแม้ไม่กลัวพวกจินสือปาแต่ก็ระวังป้องกันอยู่ เวลานี้เขาก็ยิ้มหยันเช่นกัน
“ขอโทษด้วยจริงๆ ทำให้เจ้าผิดหวังอยู่ตลอด” เขาเอ่ย
พูดจบก็เดินผ่านข้างร่างเขาไป ไม่กลัวเลยว่าพวกจินสือปาจะลงมือฆ่าหรือวิ่งรี่หนีไปลับหลัง
เขาวิ่งไปยังที่ซึ่งรถสัมภาระล้อมอยู่ไม่ไกล คุณหนูจวินกำลังพูดอะไรกับพวกหยางจิ่ง
“ที่แท้พวกนี้ก็ทำเช่นนี้เอง” หยางจิ่งฟังคำพูดคุณหนูจวินจบก็สีหน้ากระจ่างเข้าใจพยักหน้า “พวกเราล้วนไม่รู้ หากไม่ใช่คุณหนูจวินบอก ดินระเบิดเหล่านี้ใช้หมดก็คงใช้หมดแล้ว”
คุณหนูจวินมองดูกระสุนหินที่ทำเสร็จใหม่กองพะเนินอยู่เบื้องหน้าก็ใจหายยิ่งนัก
“ที่แท้พวกนี้ก็ใช้เช่นนี้” นางเอ่ยแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “หากไม่ได้พบพวกท่าน ชีวิตนี้ข้าก็คงไม่รู้ว่าการละเล่นสเปะสะปะเหล่านั้นที่เขาพาข้าเล่น ที่แท้ใช้ประโยชน์เช่นนี้”
ตั้งแต่พาคนติดตามคุณหนูจวินมา การที่พวกเขาจะติดตามไปด้วยกันกับนาง คุณหนูจวินไม่ได้ปฏิเสธหรือพูดอะไร เพียงมองดูชุดเกราะของพวกเขา มองดูศาสตราอาวุธที่พวกเขานำมา
หลังจากนั้นตลอดทางก็เดินทางไปพลาง ซื้อวัตถุดิบนานาชนิดทำอาวุธเหล่านี้เพิ่มขึ้นไปพลาง สอบถามถึงกระบวนทัพทหารที่พวกเขามักใช้ แล้วจัดกระบวนทัพทหารใหม่ตามจำนวนคน
พวกเขาก็เหมือนกับดาบเล่มหนึ่งที่เก็บรักษาไว้นานนม วันหนึ่งชักดาบออกจากฝักย่อมต้องพิถีพิถันเช็ดถูลับคม ให้กลิ่นคาวเลือดซึมซาบ ถึงเวลานี้นาทีนี้เผยประกายคมเย็นเยียบน่าขนลุก เหยียบราบทุกทิศ
เหลียงเฉิงต้งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สะเทือนใจอยู่บ้างเช่นกัน เขามองดูกระสุนหินที่วางเป็นระเบียบ แล้วยังรถสัมภาระนี่อีก
หม้อไหจานชามข้าวสารที่วางไว้บนรถช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยที่พบตามทางได้อย่างสะดวก แต่ในเวลาเดียวกันรถก็รื้อออกมาเป็นโล่ป้องกันได้ แล้วทั้งคันรถยังเปลี่ยนเป็นคันศรคันหนึ่งได้อีก ศรที่ยิงออกไปกำลังมากความเร็วไวว่องจนทะลุทหารจินได้เป็นขบวน
รถคันนี้เป็นพระโพธิสัตว์ในสายตาชาวบ้านผู้ประสบภัย แล้วพริบตาก็กลายเป็นวัชรยักษ์ ได้อีก
นี่เป็นอาวุธหนักที่บุกก็โจมตีได้ ถอยก็ป้องกันได้ เขาไม่กล้ารังเกียจกองทหารชิงซานนี่ว่าทำไมพารถหนักอึ้งที่ส่งผลต่อความเร็วคันนี้มาด้วยตลอดอีกต่อไป
อีกอย่างชุดเกราะของพวกเขาดูไปแล้วไม่ต่างอันใดกับทหารและแม่ทัพของต้าโจว แต่มองดูให้ละเอียด ชุดเกราะนี้มีถึงสามชั้น ประณีตอย่างที่สุด ลูกศรของชาวจินโหดเ**้ยม ชุดเกราะเช่นนี้มีประโยชน์ต่อการกั้นขวางมากที่สุด
ครั้งก่อนตอนรบกับทหารจินกองนั้น นายทหารของกองทหารซุ่นอันกับทหารของกองทหารชิงซานล้วนถูกยิง นายทหารหลายคนของกองทหารซุ่นอันจบชีวิตทันที แต่บุรุษสองคนของกองทหารชิงซานดูเหมือนเลือดไหลหลั่งริน ถอดเสื้อเกราะออกมากลับเข้าเนื้อไม่ลึก นี่จึงเก็บชีวิตกลับมาได้ ชีวิตในสนามรบสำคัญเพียงไรทุกคนล้วนรู้ ทว่าภายหลังเหลียงเฉิงต้งดูเสื้อเกราะของพวกเขาโดยละเอียดก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำเสื้อเกราะเช่นนี้ให้ตนเองบ้างไป
ชีวิตล้วนเป็นเงินกองขึ้นมา ค่าใช้จ่ายทำเสื้อเกราะตัวนี้เท่ากับร้อยชุดที่ในกองทัพของพวกเขาใช้
นี่เป็นไปไม่ได้
นี่มีแต่มหาโจรเหล่านี้ถึงทำได้ เหลียงเฉิงต้งทั้งอิจฉาทั้งจนปัญญา
ยังมีข้าวของเล็กน้อยบางอย่าง ตัวอย่างเช่นกระบอกไม้ไผ่ที่ห้อยอยู่ข้างเอวหยางจิ่ง ของสิ่งนี้ถึงกับทำให้คนมองเห็นสถานที่ไกลมากๆ ได้ เนตรพันลี้ในตำนานชัดๆ ชวนให้บรรดาแม่ทัพทั้งหลายในกองทหารซุ่นอันแย่งส่องกันเป็นเรื่องสนุก
ไม่ต้องถาม ของสิ่งนี้ต้องราคายิ่งไม่ธรรมดาแน่
โจรเหล่านี้ปล้นจวนเทพเซียนมารึ? ทำไมข้าวของเหล่านี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อน?
เหลยจงเหลียนวิ่งเข้ามาบอกข่าวที่เซี่ยหย่งส่งมาแก่คุณหนูจวิน
“ทหารจินจำนวนคนไม่น้อย นอกจากนี้เข้าใกล้ชายแดนแล้ว” เขาเอ่ย “จับประชาชนไว้ก็ไม่น้อย ปล้นหรือไม่ปล้น?”
“แน่นอนปล้นสิ” คุณหนูจวินเอยขึ้นไม่ลังเลสักนิด “ต่อให้เข้าใกล้ชายแดนก็ไม่อาจมองดูประชาชนของพวกเรา สหายร่วมมาตุภูมิของพวกเราถูกผู้อื่นปล้นไปได้”
พูดจบก็มองไปด้านข้าง
“ฮั่นชิง”
จ้าวฮั่นชิงที่นั่งแกว่งสองขาอยู่บนหลังคารถสัมภาระขานรับคำหนึ่ง กระโดดลงมา
“เจ้าพาคนไปตรวจสอบให้ว่าชัดทหารจินกำลังคนเท่าไร เดินผ่านเส้นทางเส้นไหน ความเร็วการเดินทาง นอกเขตมีทหารจินรอรับหรือไม่” คุณหนูจวินเอ่ย
จ้าวฮั่นชิงขานรับพลิกกายขึ้นม้า มีอีกสองคนติดตาม สามคนควบม้าเร็วรี่จากไป
……………………………………….
ตอนที่ขอบฟ้าสว่างขมุกขมัว จวงเหล่าซานหลับไปงีบหนึ่งพลันได้สติตื่นขึ้นมา เขามองดูแสงสีครามขมุกขมัวอย่างมึนงงอยู่บ้าง แล้วก็ใจหายอยู่บ้าง
รอดไปอีกวันหนึ่งแล้ว
รอดอยู่ได้เป็นเรื่องโชคดีมากเท่าไร แต่จวงเหล่าซานสีหน้ากลับไม่ดีใจเท่าไรนัก
ในฐานะคนที่อายุมากขึ้นทุกทีคนหนึ่ง ตอนนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่ารอดอยู่เป็นโชคดีหรือตายไปเป็นโชคดี
ข้างหูเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น
“ย่าจ๋า ย่าจ๋า ย่าลุกขึ้นมาสิ”
จวงเหล่าซานหันหน้าไปเห็นบนพื้นด้านข้างเด็กผู้ชายอายุห้าหกขวบคนหนึ่งกำลังเขย่าร่างหญิงชราคนหนึ่ง
หญิงชรานิ่งไม่ขยับคล้ายหลับใหล
จวงเหล่าซานในหัวใจกระตุกวูบหนึ่ง รีบยื่นมือตรวจดูลมหายใจที่จมูกของหญิงชราคนนี้ จากนั้นสีหน้าเศร้าสลด
มีคนทนไม่ไหวตายลงอีกแล้ว
ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บพื้นดินเย็นเยียบนี่ทั้งเหนื่อยทั้งหิว นอนหลับบนพื้นเย็นยะเยือกคืนหนึ่ง คนมากมายล้วนไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
เขาก้าวเข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
“เฮยเสี่ยวเอ๋ย ย่าของเจ้าเหนื่อยแล้ว อย่าเสียงดังกวนนาง” เขากล่อมปลอบ
เด็กน้อยอย่างไรก็เป็นเด็กน้อยไม่นานก็ถูกปลอบจนหยุดร้องไห้แล้ว
“ปู่สาม ข้าหิว” เขากะพริบตากัดนิ้วหัวแม่มือดำปิดปี๋แล้วเอ่ยขึ้น
จางเหล่าซานถอนหายใจ
“ใกล้ถึงแล้ว รอไปถึงที่ก็มีของกินแล้ว” เขาเอ่ย
สิ้นเสียงพูดก็ได้ยินเสียงตะโกนโฮกฮากพักหนึ่ง ในเวลาเดียวกันสียงแส้หวดป้าบๆ ก็ดังขึ้นควบคู่กัน เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยทั้งหลาย เสียงกรีดร้องของผู้หญิง เสียงครางเจ็บปวดของบุรุษดังขึ้นตามมา แผ่นดินที่เดิมทีดำมืดหม่นสั่นไหว รอบด้านผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยเต็มไปหมด
พวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านประชาชนที่ถูกชาวจินปล้นชิงจับมาต้องการพาไปเป็นทาส
มีบุรุษคนหนึ่งขยับช้าไปบ้างจึงถูกทหารจินคนหนึ่งที่ไล่ปลุกหวดสองทีสามทีจนล้มลงกับพื้น ชักกระตุกสองทีก็ถูกตีตายไปทั้งเป็น
รอบด้านเสียงร้องไห้เสียงหวาดกลัวดังขึ้นแต่กลับไม่มีคนก้าวออกมา
จวงเหล่าซานกอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่นบังสายตาของเขาไว้ ในดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยน้ำตา
เมื่อถึงที่ของชาวจิน เป็นเยี่ยงวัวม้า จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร
“รีบเดิน รีบเดิน” ชาวจินคนหนึ่งที่แต่งกายเหมือนล่ามขี่ม้าวิ่งมา เท้าเอวตะคอก “เดินช้า ถ่วงเวลาการเดินทางของใต้เท้าทั้งหลาย จะต้องถูกตีตาย”
ชาวบ้านทั้งหลายประคับประคองกันพลางมองดูทหารจินรูปร่างสูงใหญ่ชุดเกราะเด่นสะดุดตามากมายยั้วเยี้ยสองข้าง ท่ามกลางแสงอรุณขมุกขมัวประหนึ่งสัตว์ป่าจับจ้อง
“รีบเดินเข้า วันนี้ก็จะถึงแล้ว” ล่ามเอ่ยต่อ
ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของบรรดาชาวบ้านยิ่งหวาดหวั่น เสียงร้องไห้ยิ่งดัง
บ้านแม้ไม่เหลือนานแล้ว แต่ใต้ฝ่าเท้ายังเป็นแผ่นดินที่คุ้นเคย ตอนนี้กระทั่งแผ่นดินผืนนี้ก็จะต้องจากไปแล้ว
เสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ นี่ทำให้ทหารจินรอบด้านไม่พอใจยิ่ง ทหารจินสิบกว่าคนควบม้าเข้ามา ชูดาบฟันม้าฟันเข้าใส่ศีรษะใบหน้าของประชาชนทั้งหลายเหล่านี้ เสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นทันที
จางเหล่าซานอุ้มเด็กน้อยแน่น หดหัวไหล่ เบียดอยู่ตรงกลางฝูงชนออกแรงเดินไปข้างหน้า
แม้เอาชีวิตรอดจะยากเย็นปานนี้ก็ยังอยากมีชีวิตรอด คล้ายยังคงรอคอยความหวังน้อยนิด แม้ตัวเขาเองจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองรอคือสิ่งใด
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ ประชาชนกับกองทหารเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้าๆ ฉับพลันทหารจินด้านหน้าก็วุ่นวายพักหนึ่ง ขบวนที่เคลื่อนที่อยู่หยุดลง
เกิดอะไรขึ้น? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ผู้เฒ่าจวงเงยศีรษะขึ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง กระบวนทัพสี่เหลี่ยมของทหารจินไม่ใช่แค่หยุดลง ยังมีเสียงเอะอะดังขึ้นด้วย แม้ฟังภาษาของพวกเขาไม่เข้าใจ แต่เห็นสีหน้าของพวกเขาด่าสาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่ใช่เพียงเท่านี้ทหารจินที่ดุร้ายมาตลอดยังคล้ายหวาดกลัวอยู่บ้าง
หวาดกลัว? มีอะไรทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้ด้วยหรือ?
จวงเหล่าซานอดไม่ได้มองไปด้านหน้า แสงครามถดถอยไป ขอบฟ้ามีแสงอรุณแรกปรากฏ เบื้องหน้ากลางแสงอรุณนี้มีกระบวนทัพสี่เหลี่ยมกองหนึ่งยืนนิ่งอยู่
กระบวนทัพสี่เหลี่ยมนี้ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร ประหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า
กระบวนทัพสี่เหลี่ยมด้านนี้หอกยาวประดุจป่า ใต้แสงอรุณชุดเกราะวับวับ ยืนสง่ามั่นคงอยู่บนแผ่นดิน ดุจดั่งขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่ง
“เราคือกองทหารต้าโจว รับบัญชาฮ่องเต้ปกป้องประเทศคุ้มครองประชาชน บัดนี้ขอสั่งพวกเจ้ามอบประชาชนต้าโจวของเราออกมา ไม่เช่นนั้นจะลงโทษเด็ดขาดไม่ละเว้น!”
เสียงตะโกนเสียงแล้วเสียงเล่าดังก้องขึ้นท่ามกลางขุนเขา
นี่คือกองทหารต้าโจว?
แสงอรุณยิ่งสว่างขึ้นทุกที ส่องภูเขาใหญ่ลูกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีเช่นกัน ทิวธงประหนึ่งผืนป่า ในนั้นธงใหญ่ผืนหนึ่งสีแดงสดสว่าง ท่ามกลางแสงอรุณของฤดูหนาวสะบัดพลิ้วตามสายลม
จวงเหล่าซานเบิกตาเพ่งมองดูธงผืนนั้น ในที่สุดตัวอักษรกองทหารชิงซานสามคำก็เข้ามาในสายตา
กองทหารชิงซาน
กองทหารชิงซาน
จวงเหล่าซานอุ้มเด้กน้อยคุกเข่าดังตึกลงกับพื้น เขาโขกศีรษะกับผืนดิน ริมฝีปากแห้งผากแนบชิดติดผืนดินเย็นเยียบ จูบครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำตาหลั่งรินดั่งสายฝน
ไม่ทอดทิ้งข้า
ไม่ทอดทิ้งข้า