Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 31 ช่วยได้ช่วยไม่ได้
ปลายเดือนหนึ่ง ต้นเดือนสอง สายลมวสันต์ฤดูโชยพัดอ่อนโยน
แผ่นดินภาคเหนืออันกว้างใหญ่ไพศาลในที่สุดก็มีสีเขียวปกคลุมชั้นหนึ่ง
ท่ามกลางสีเขียวผืนนี้มีชาวบ้านนับไม่ถ้วนกำลังเดินโซเซอยู่
ชาวบ้านเหล่านี้ขนครอบครัวมาเสื้อผ้าขาดวิ่นผมเผ้ากระเซิงหน้าตามอมแมม แต่สภาพจิตใจยังไม่เลว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง
ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกสาวคนหนึ่งไว้ ขนาบอยู่กลางฝูงชน แม้ใบหน้าเหนื่อยล้าแต่ก้าวเดินยังนับว่ามีเรี่ยวแรง
“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว” เด็กหญิงที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของนางเอ่ยพึมพำขึ้นมา
นางลูบปลอบเด็กหญิง
“ใกล้ถึงแล้ว รอผ่านด่านจวินจื่อไปก็จะได้กินข้าวพักผ่อนแล้ว จะปลอดภัยแล้ว” นางเอ่ย
เด็กหญิงไม่โวยวายแต่พยักหน้า
“ท่านหญิงเฉิงกั๋วบอกว่าผ่านด่านจวินจื่อก็รอดแล้ว” นางเอ่ย
คิดถึงท่านหญิงเฉิงกั๋วก็คิดถึงข้าวต้มร้อนชามนั้น ก็เป็นข้าวต้มร้อนนั่นช่วยให้พวกนางสองแม่ลูกมาไกลได้เช่นนี้ นางรู้สึกเพียงในใจอบอุ่น
“ใช่ ท่านหญิงเฉิงกั๋วไม่หลอกลวง” นางเอ่ย
สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนยินดีลอยมาจากด้านหน้าเป็นระลอกๆ นางรีบมองไปด้านหน้า เห็นชาวบ้านที่เดิมทีเดินโซเซยู่ฉับพลันวิ่งเร็วรี่ เบื้องหน้ามองเห็นเมืองแห่งหนึ่งอยู่เลือนราง
ถึงแล้ว!
ถึงแล้ว!
นางอดไม่ไหวอุ้มเด็กขึ้นมาวิ่งด้วยทันที
บนทุ่งกว้างคนทั้งหมดล้วนร้องตะโกนยินดีวิ่งเร็วรี่ ส่วนเมืองด้านนั้นก็เปิดกว้าง มีทหารแถวแล้วแถวเล่าควบม้าเร็วรี่ออกมา
มองเห็นทหารเหล่านี้ ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่วิ่งหนีก็หวาดกลัวอยู่บ้างหยุดก้าวเท้า
จะไม่ให้พวกเขาเข้าเมืองหรือไม่?
ระหว่างที่สงสัยทหารที่เป็นหัวหน้าคนนั้นก็ยื่นมือชี้ด้านหลังพลางอ้าปากเอ่ย
“เข้าเมืองไปทางขวา มีโรงข้าวต้ม” เขาตะโกนบอก
ชาวบ้านทั้งหลายยินดีปรีดาทันที มีคนคุกเข่ากับพื้นโขกศีรษะ คนมากกว่านั้นเพิ่มความเร็วฝีเท้าแห่ไปข้างใน
ทหารจำนวนหนึ่งมุ่งไปข้างหน้าไม่หยุดจนกระทั่งมองเห็นรถม้าคันหนึ่งมีทหารสิบกว่านายห้อมล้อมคุ้มกัน เหล่าทหารจึงพากันลงจากม้า เถียนเหยายิ่งก้าวไวๆ เข้าไปคำนับ
“ท่านหญิงเฉิงกั๋ว” เขาเอ่ย
นายหญิงอวี้เลิกม่านรถขึ้นพยักหน้าให้เขา
“ดีเหลือเกิน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว” ใต้เท้าเถียนเอ่ยอย่างยินดีทั้งยังสะอื้นอยู่นิดๆ “ท่านหญิงท่านปลอดภัยก็พอ”
นายหญิงอวี้ยิ้ม
“ประชาชนป้าโจวโดยส่วนใหญ่มากันหมดแล้ว” นางเอ่ย “จำนวนคนทั้งหมดนับออกมาแล้วหรือยัง?”
เถียนเหยารีบพยักหน้า หยิบสมุดที่พกติดตัวออกมา
“จนถึงเมื่อวานทั้งหมดมีประชาชนสามสิบหมื่นคนเข้าเมืองเหอเจียน” เขาเอ่ยแล้วมองด้านหลังร่างที่ยังมีชาวบ้านเดินโซเซต่อเนื่องไม่ขาด “จำนวนคนที่แน่ชัดรอวันพรุ่งนี้ถึงจะออกมา”
นายหญิงอวี้พยักหน้า
“ลำบากพวกท่านที่เหอเจียนแล้ว ประชากรมากมายปานนี้แห่เข้ามาภาระหนักหน่วงยิ่ง” นางเอ่ย
เถียนเหยาส่ายศีรษะสีหน้าจริงใจ
“ความลำบากเหล่านี้ของพวกเราไม่นับเป็นอะไร” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ประชากรมากมายก็ไม่ได้หยุดอยู่ มีไม่น้อยลงใต้ต่อไปแล้ว ด้านนี้ยังทนรับได้อยู่ขอรับ”
นายหญิงอวี้พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” นางเอ่ย
“ท่านหญิงรีบเข้าเมืองเถิด” เถียนเหยาเอ่ย “มีข่าวดีเรื่องหนึ่ง เซินโจวด้านนั้นท่านชายก็คุ้มครองประชาชนเกือบสิบหมื่นคนกลับมาเช่นกัน จำนวนคนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่านชายยังพาคนไปสยงโจวต่ออีก”
นี่เป็นข่าวดีเรื่องหนึ่งจริงๆ นายหญิงอวี้อมยิ้มพยักหน้า
เถียนเหยาลังเลครู่หนึ่งอยากพูดก็หยุดไป
“ข่าวร้ายเล่า?” นายหญิงอวี้มองท่าทางของเขาแล้วเอ่ยถามออกมาตรงๆ
เถียนเหยาก้มศีรษะ
“เฉิงกั๋วกงยังไม่มีข่าวคราวเลยขอรับ” เขาก้มศีรษะเอ่ย
มือของเหลียงเฉิงต้งอดไม่ได้กำแน่น
พูดให้ชัดก็คือเฉิงกั๋วกงไร้ข่าวคราวมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว
ตั้งแต่หลังข่าวเฉิงกั๋วกงนำทหารอ้อมแม่น้ำจวี้หม่าลอบโจมตีอี้โจวก็ไม่มีข่าวใหม่ส่งมาอีก
“ทหารจินยังคงไม่เข้าเขตแดน เห็นได้ว่าการคุกคามของเฉิงกั๋วกงยังไม่คลี่คลาย นั่นก็คือคนยังอยู่ ทหารยังอยู่” นายหญิงอวี้เอ่ย
ถึงอย่างนั้นแล้วอย่างไร ที่สำคัญก็คือทหารจินล้วนล้อมโจมตีเฉิงกั๋วกงอยู่ ทว่าเฉิงกั๋วกงกลับไม่มีทหารกองหนุน….
เถียนเหยาเงยศีรษะสีหน้าจริงจัง
“พวกเราขอคำสั่งจากราชสำนัก ขอทหารสามทัพรวมถึงทหารกองหนุนที่เมืองต้าหมิงขึ้นเหนือแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
สีหน้าของเหลียงเฉิงต้งเหยียดหยันอยู่บ้าง
นั่นเป็นไปไม่ได้ เจรจาสงบศึกแล้ว นอกจากนี้กำลังพลที่เมืองต้าหมิงล้วนอยู่ในการควบคุมของชิงเหอปั๋ว
ชิงเหอปั๋วยิ่งอยากเห็นเฉิงกั๋วกงตายไปเช่นนี้กระมัง
นายหญิงอวี้สีหน้านิ่งสงบ ไม่โศกเศร้าเสียใจ ไม่คับแค้น ยิ่งไม่โวยวาย
“ขอบคุณใต้เท้าเถียนมาก” นางเอ่ยจริงใจทั้งยังสบายๆ
……………………………………….
ในเขตสยงโจว หลังฝนฤดูใบไม้ผลิหลายหน น้ำในแม่น้ำก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางคนที่ข้ามแม่น้ำ
หยาดน้ำสาดกระจาย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไม่หวาดกลัวสักนิดย่ำข้ามแม่น้ำ
หลังแบกเด็กน้อย มือค้ำไม้เท้า พยุงกันและกัน ปล่อยให้น้ำในแม่น้ำซึมเปียกกางเกง
คนกลุ่มหนึ่งข้ามแม่น้ำเสียงดังซ่าซ่า หลังร่างพวกเขามีนายทหารแถวแล้วแถวเล่าขี่ม้ายืนนิ่ง จนกระทั่งชาวบ้านคนสุดท้ายข้ามแม่น้ำ
ชาวบ้านทั้งหลายที่ข้ามแม่น้ำแล้วไม่ได้วิ่งจากไปทันที แต่หมุนตัวมองกองทหารฝั่งนี้
“พวกเจ้ารีบไปเถอะ” แม่ทัพนายหนึ่งตะโกนโบกมือให้พวกเขา “ไปข้างหน้าต่อก็เป็นค่ายซู่หนิง ไปถึงที่นั่นก็ปลอดภัยแล้ว”
ฉับพลันผู้เฒ่าคนหนึ่งก็คุกเข่าดังตึกลงไป
“ขอบคุณท่านทหาร” เขาโขกศีรษะตะโกน
ผู้คนคุกเข่าพรึบพรับลงไปทันที
“ขอบคุณท่านทหาร”
“ขอบคุณท่านชาย”
“ขอบคุณเฉิงกั๋วกง”
เสียงประสานวุ่นวายลอยมาจากฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ
มองดูชาวบ้านเหล่านี้ จูจั้นที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองทหารก็ก้มศีรษะครุ่นคิดอะไรอยู่ก็มองข้ามมา
“พอแล้ว พูดพร่ำอะไรเล่า” เขาเอ่ยอย่างรำคาญ พูดจบก็หันหัวม้า
ทหารทั้งหลายก็หันหัวม้าติดตามเขาทันที
ได้ยินเสียงกีบเท้าม้า มองกองทหารขึ้นเหนือไปอีก ชาวบ้านฝั่งนี้ก็ลุกขึ้น
“ท่านทหารทั้งหลายไม่ข้ามแม่น้ำด้วยกันกับพวกเราหรือ” มีชาวบ้านเอ่ยพึมพำ ในดวงตาหยาดน้ำตาแวววาว “ยังจะไปช่วยคนมากกว่านี้อีก”
แม้ต้องการหยุดการกระทำของจูจั้นอยู่ตลอด นายทหารส่งสารก็ยังคงติดตามมาจนถึงตอนนี้
เวลานี้เขาควบม้าไปข้างหน้าอีกครั้ง
“ท่านชาย กลับไปได้แล้วขอรับ ประชาชนเดินทางไปได้พอประมาณแล้ว ตอนนี้ที่นี่ไม่ใช่ของพวกเราแล้ว” เขาเอ่ย
จูจั้นหัวเราะฮ่าอ่าแล้ว
“น่าขันนัก” เขาเอ่ย
อะไรน่าขัน?
แผ่นดินที่ปกป้องมาสิบปีฉับพลันกลายเป็นแผ่นดินของผู้อื่นไปแล้ว
นายทหารส่งสารเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“ความหมายของข้าก็คือทหารจินมากขึ้นทุกทีแล้ว” เขาเอ่ย “ท่านชายท่านทำพอแล้ว ไปได้แล้ว”
จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง
“ใช่ ข้าทำพอแล้ว ไม่ขายหน้าแล้ว” เขาเอ่ย สายตามองไปทางด้านหน้า “ข้าไปพบพ่อข้าได้แล้ว”
พบพ่อข้า? เฉิงกั๋วกง?
นายทหารส่งสารอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วตะลึงงันทันที
“ท่านชาย ท่านจะไปอี้โจว?” เขาตะโกน “นี่จะได้อย่างไร?”
นั่นเป็นถึงดินแดนที่แท้จริงของชาวจิน ทัพใหญ่หลายหมื่นสองกองปีกซ้ายขวา ส่วนจูจั้นพวกเขา
นายทหารส่งสารหันกลับไปมอง นับเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็แค่กำลังพลหนึ่งพันนายเท่านั้น
นี่มันไปตายเปล่าแล้ว
“ท่านชาย ไม่สู้กลับไปขอหทหารกองหนุน” นายทหารส่งสารรีบร้อนเอ่ย “ท่านชายท่านช่วยเหลือคุ้มครองประชาชนมากปานนี้ พวกขุนนางเบื้องบนต้องถือเป็นความชอบมอบรางวัลแน่”
จูจั้นหัวเราะลั่นอีกครั้ง
“ทหารกองหนุน” เขาเอ่ย “หากมีทหารกองหนุนตั้งแต่แรกจะเป็นเช่นนี้ได้หรือ?”
พูดจบก็ควบม้าทะยานเร็วรี่
นายทหารส่งสารถูกสลัดทิ้ง มองดูแผ่นหลังที่วิ่งทะยานไปเบื้องหน้านั่นอย่างปวดใจอยู่บ้าง
“ท่านชาย…” เขาอยากพูดอะไร ฉับพลันด้านหน้าก็มีควันสัญญาณลอยขึ้นมา
มองเห็นควันสัญญาณนี้ นายทหารส่งสารสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ส่วนกองทหารที่ควบม้าเร็วรี่อยู่ก็ตระหนกหยุดลงด้วย
“ท่านชาย…” นายทหารส่งสารเอ่ยพึมพำ “ด้านหน้าทหารจินกระจายกำลังทั่วแล้ว ข้ามไปไม่ได้แล้ว”
หากเร็วกว่านี่สองสามวันยังเป็นไปได้
ตอนนี้…สายไปแล้ว
ม้าส่งเสียงร้องทีหนึ่ง จูจั้นชักม้าหมุนร้อนรนอยู่กับที่มองไปด้านหน้า มือที่กำบังเ**ยนเส้นเลือดเขียวปูดนูน
ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้แล้วหรือ?
……………………………………….
“หยุดรถ”
นายหญิงอวี้พลันเอ่ยขึ้น เลิกม่านรถขึ้นมา
รถม้าที่กำลังเข้าใกล้ประตูเมืองหยุดลง เหลียงเฉิงต้งรีบก้าวเข้าไปไถ่ถาม
“คุณหนูจวินพวกเขาทำไมยังไม่ตามมาอีก?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม
คุณหนูจวินนำทหารไปประจำการอยู่ที่ชายแดนป้าโจว ขวางทหารจินที่ลงใต้ให้ใประชาชนทั้งหลายอพยพอย่างปลอดภัย ตั้งแต่สามวันก่อนหน้าประชาชนในเขตของป้าโจวก็อพยพเสร็จสิ้นหมดแล้ว
“กำลังถอนกำลังพลางถือโอกาสสำรวจในเขตรอบหนึ่ง ดูว่ายังมีคนตกหล่นหรือไม่ขอรับ” เหลียงเฉิงต้งเอ่ย
นายหญิงอวี้ร้องอ้อ มองไปทางเถียนเหยา
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ขอรับ” เถียนเหยาเอ่ย “กองทัพใหญ่บอกว่าถอนกำลังกลับมาแล้ว”
นอกจากนี้กองทหารฉางเฟิงสามพันนายแรกสุด กองทหารซุ่นอันที่ประจำการในเหอเจียนก็ส่งห้าพันคนเพิ่มเข้าไปในเขตป้าโจวแล้ว
กำลังพลเหล่านี้ย่อมต้องเชื่อฟังเมืองเหอเจียน
นายหญิงอวี้พยักหน้า สีหน้ายังคงวิตกอย่างไร้ที่มาอยู่บ้าง
“แต่ความเร็วของพวกเขาช้าเกินไปแล้วกระมัง?” นางเอ่ย “เวลานี้ควรกลับมาได้แล้ว”
นางเงยศีรษะมองไปทางด้านหลัง
ทำไมเดินทางช้าปานนี้?