Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 34 ข้ามภูเขาดาบข้ามทะเลเลือดมาพบ
เห็นเพียงด้านหลังควันทึบแถบหนึ่งลอยขึ้นมา
ไฟไหม้แล้ว? แต่ก็ไม่เหมือน….
ความคิดแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มหลายครั้งอีกหน ครั้งนี้เขารู้แล้วว่าควันทึบเหล่านั้นมาอย่างไร นั่นเป็นกระสุนหินสิบกว่าลูกลอยมา
หลังตกถึงพื้นเปลวไฟแถบหนึ่ง แสงโลหิตแถบหนึ่งลอยขึ้นมา โกลาหลไปหมด กระบวนทัพที่เดิมทีเป็นระเบียบประหนึ่งถูกทุบราบ
นี่มันของบ้าอะไร?
ทั่วป๋าอูตะลึงงัน
ไม่มีเวลาให้เขาขบคิด เสียงบึ้มบึ้มดังไม่หยุด กระบวนทัพด้านหลังทั้งหมดโกลาหลอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“สงบไว้!” ทั่วป๋าอูในที่สุดก็ได้สติกลับมา ตะโกนโกรธเกรี้ยว “คนที่มากำลังพลเท่าไร? ไม่อนุญาตให้ถอย! คนถอยตาย! รับศึก!”
ได้ยินคำสั่งนี้ ในกระบวนทัพเห็นสหายวิ่งมาก็ไม่เกรงใจสักนิด พลธนูยิงศรคมออกไปใส่คนเหล่านี้ทันที
ฉับพลันล้มคว่ำลงไปแถบหนึ่ง
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนโจมตีป้อมปราการด่านของเฉิงกั๋วกงที่คนหนีฝั่งนี้ใช้ความตายข่มขู่ก็หยุดการพ่ายแพ้หนีกระเจิงได้
“เป็นกองทหารชิงซาน!”
“กองทหารชิงซาน!”
ท่ามกลางควันทึบตลบอบอวลกระบวนทัพด้านหลังพังทลายอย่างสิ้นเชิง ทหารจินทั้งหลายตะโกนเสียงดังอย่างหวาดผวาพลางหนีกระเจิง สามคำนี้คล้ายภูตผีปีศาจ น่ากลัวมากยิ่งกว่าศรคมที่ยิงประจันหน้ามา พวกเขาหลบศรคมที่กระบวนทัพด้านหน้ายิงมา วิ่งเตลิดไปยังทุ่งรอบด้านสองข้าง
นี่ทำให้กระบวนทัพด้านหลังทั้งหมดวุ่นวายอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ทั่วป๋าอูทั้งโกรธทั้งตกตะลึง
กองทหารชิงซานที่แท้เป็นกองทหารอะไร? ทำไมทำให้ทหารกล้าทั้งหลายของเขาหวาดกลัวเช่นนี้?
เขามองไปด้านหน้า เสียงบึ้มบึ้มนั่นคล้ายหยุดลงแล้ว กระบวนทัพด้านหลังทั้งหมดคล้ายถูกยักษ์กลิ้งผ่าน โหดร้ายจนไม่อาจทนมอง
กระสุนหิน? กระสุนไฟ?
“ตามข้ามา” ทั่วป๋าอูชักดาบร้องตะโกน คนก็ลงจากหอสังเกตการณ์
คนที่เขาหวาดกลัวคือเฉิงกั๋วกง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาทั่วป๋าอูเป็นไอ้คนขี้ขลาด เป็นใครก็ทำเขากลัวได้
เขาจะต้องนำทหารฝีมือดีด้วยตนเอง ออกศึกด้วยตนเอง ให้บทเรียนสักบทกับทหารโจวไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนี่
ในเวลานี้เองเสียงฮูมฮูมแหลมคมระลอกหนึ่งดังขึ้น
นี่เป็นอะไรอีก? ทั่วป๋าอูมองไปโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงหอกยาวมากมายถี่ยิบบินมาจากบนท้องฟ้า
มองเห็นหอกยาวเหล่านี้ ทหารจินที่วิ่งเร็วรี่อยู่ยิ่งร้องตะโกนหวาดกลัวออกมา วิ่งหนีไปสองข้างสุดชีวิต ทหารจินในกระบวนทัพสี่เหลี่ยมที่กำลังจะวิ่งมาพุ่งโจมตีด้านหลังไม่ทันตอบสนอง หอกยาวประหนึ่งสายฝนก็มาถึงตรงหน้า
เสียงกรีดร้องฉับพลันดังขึ้นรอบด้าน ทหารจินนับไม่ถ้วนถูกเสียบทะลุปลิวลอย นอกจากนี้ส่วนมากไม่ใช่แค่คนสองคนแต่เป็นพรวนหลายคน
กระบวนทัพสี่เหลี่ยมทั้งหมดประหนึ่งถูกหมื่นเข็มร่วงใส่ บนพื้นทหารจินพรวนแล้วพรวนเล่าตอกตรึงเต็มทันที
ทหารจินที่ถูกกเสียบทะลุยังไม่ตาย กรีดร้องไปพลาง ดิ้นรนไปพลาง
กระบวนทัพสี่เหลี่ยมด้านหน้าโหดร้ายจนไม่อาจทนมองประหนึ่งนรกบนโลกมนุษย์
ขวานดาบในมือทั่วป๋าอูหวิดร่วงลงกับพื้น
นี่ นี่มันของอะไรอีก?
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง” มีทหารคนสนิทวิ่งโซซัดโซเซมา “รีบถอย รีบถอยขอรับ”
ถอย?
ในดินแดนของตนเอง ในยามที่กำลังจะคว้าชัยชนะครั้งใหญ่ได้อยู่แล้ว กลับถูกเสนอให้ผละถอย? ล้อเล่นอะไรกัน
ทั่วป๋าอูยกมือฟันทหารคนสนิทผู้นี้ล้มลงกับพื้น
“พวกเขากำลังพลเท่าไร?” เขาคำรามขึ้น
“ราวห้าพัน” มีแม่ทัพรีบร้อนเอ่ย
ยังคิดว่าคนหลายหมื่นเสียอีก กำลังพลห้าพัน เขากลัวอะไร! ทั่วป๋าอูยิ่งอับอายโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง มองดูทหารจินที่พ่ายแพ้กระเจิงด้านหน้า กระบวนทัพสี่เหลี่ยมไม่อาจคงรูปได้แล้ว
และด้านหน้าไปอีก กำลังพลแถบหนึ่งบีบเข้าใกล้
พริบตาเดียวมองไปคล้ายมืดฟ้ามัวดิน
วิ่งจู่โจมทางไกลได้ทุกคนย่อมต้องมีม้า แล้วไม่ใช่แค่หนึ่งตัว แต่ละคนๆ สวมเกราะ แม้ห่างอยู่ไกลก็มองออกว่าชุดเกราะเหล่านี้ประณีตชั้นดีอย่างที่สุด บนหมวกเหล็กมีพู่แดงประดับอยู่ ปลิวสะบัดท่ามกลางสายลม
ไม่ใช่แค่กำลังพล ด้านหน้ายังมีรถสิบคันเรียงแถวอยู่ คล้ายเป็นรถสัมภาระ แต่ก็วางเป็นรูปร่างประหลาด เวลานี้ใต้แสงตะวันหอกยาวแถวแล้วแถวเล่าเอนขึ้นอยู่ด้านบนทอประกายเย็นเยียบ
หอกยาวเหล่านั้นก็ยิงออกมาจากตรงนี้นี่เอง
นี่คืออะไร? หน้าไม้? รถยิงศร?
ทั่วป๋าอูสีหน้าตกตะลึง ไม่เคยเห็นในหมู่ทหารโจวมีอาวุธเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ลักษณะเช่นนี้ กำลังพลที่แบ่งสรรเช่นนี้ก็เห็นน้อยอย่างที่สุด
อาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารโจวยากแค้นอยู่บ้างมาเสมอ นอกจากผู้ใต้บังตับบัญชาโดยตรงของเฉิงกั๋วกง น้อยนักจะเห็นทั้งกองทัพสวมเกราะได้
หรือนี่ก็เป็นกองทัพคนสนิทของเฉิงกั๋วกง?
สายตาของทั่วป๋าอูจับอยู่บนธงผืนใหญ่ของทหารกองหนุนกองนี้
ในกระบวนทัพสี่เหลี่ยมธงสีตั้งเรียงราย แต่มีธงใหญ่สองผืน ผืนหนึ่งเป็นธงใหญ่ทหารโจวที่คุ้นเคย จากสีธงและลายขอบไม่ต้องเห็นอักษรเขาก็รู้ว่าเป็นของกองทหารกองไหน นี่เป็นกองทหารซุ่นอัน
กองทหารซุ่นอันของเมืองเหอเจียน ระยะทางจากที่นี่ไกลอยู่บ้าง ตามหลักแล้วถ้าจะมาก็ควรเป็นกองทหารหย่งหนิงจะใกล้และสะดวกกว่า
ส่วนธงผืนใหญ่อีกผืนหนึ่ง… กลับไม่เคยเห็นมาก่อน
ทั่วป๋าอูหรี่ตามอง นั่นเป็นธงสีแดงสด ยาวถึงหกฉื่อ ด้านบนอักษรตัวโตสามคำ
นั่นก็คือ…กองทหารชิงซานหรือ?
“โผล่ออกมาจากที่ใด?” เขาเอ่ย กำขวานยาวแน่นอีกครั้ง จะก้าวเข้าไป “ทหารกล้าทั้งหลายจง…”
คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศแหลมคม หอกยาวบนรถสัมภาระคันนั้นจู่โจมมาประหนึ่งสายฝนทันทีอีกครั้ง
เคยเห็นความร้ายกาจของสายฝนหอกยาวนี่มาแล้ว กองทัพใหญ่ของทหารจินตกสู่ความโกลาหลแถบหนึ่งทันที ปีกซ้ายทั้งหมดพ่ายแพ้ย่อยยับเสียหมด
แม้ห่างกันไกล แต่เมื่อหอกยาวเหล่านั้นบินขึ้นมา ทั่วป๋าอูก็ถอยหลังยกขวานดาบขึ้นขวางโดยจิตใต้สำนึก
น่ากลัวเกินไปแล้ว
ใช้หอกยาวเป็นลูกศร กำลังนี่มากปานใด กำแพงเมืองยังแทงทะลุได้กระมัง
ร่างเลือดเนื้อของมนุษย์จะเทียบกับกำแพงเมืองได้อย่างไร
ทหารโจวมีอาวุธวิเศษศาสตราร้ายกาจระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หากทหารโจวครอบครองศาสตราร้ายกาจเช่นนี้ ไยไม่ใช่เหยียบราบทุกทิศ?
ทั่วป๋าอูรู้สึกเพียงในใจเย็นเยียบ
หลังศรระลอกนี้ กำลังพลเหล่านั้นก็ถอยหลัง กำลังพลของอีกฝ่ายเปลี่ยนสภาพกองทัพรวมพลกลายเป็นกระบวนทัพวงกลมอันหนึ่งโจมตีมาข้างหน้า
บอกว่ากระบวนทัพวงกลมก็ไม่คล้ายกระบวนทัพวงกลม
ทั่วป๋าอูมองดูตะลึงงัน กระบวนทัพทหารนั่นดูไปแล้วเชื่องช้ายิ่ง แต่ก็รวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งเข้ามาในค่ายทัพของทหารจิน
ค่ายทัพด้านหลังที่เดิมทีกระจายตัวแล้วประหนึ่งกระทิงป่าตัวหนึ่งฝ่าทะลวงเข้ามา
การรบด้วยหอกยาวกับดาบฟันม้าโหดร้ายอย่างที่สุด
เสียงฆ่าฟันประหนึ่งอสนีบาต ทหารจินที่รับศึกรวมตัวเป็นกระบวนทัพหลายครั้ง แต่ล้วนถูกกระบวนทัพวงกลมนี้พุ่งทลาย
ด้านในกระบวนทัพวงกลมนั่นซ้ายขวามีทหารม้าวิ่งแยกออกมาโจมตีอยู่เป็นระยะ ฟันสังหารตัดกระบวนทัพทหารของทหารจินอย่างรวดเร็ว แล้วเก็บกลับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ประหนึ่งสองแขนอันว่องไว
การพุ่งโจมตีทุกครั้งล้วนมีคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน มีทหารจินแล้วก็มีทหารโจว แต่ไม่ว่าคนเท่าไรล้มลง ทหารโจวนั่นล้วนใบหน้าไร้ความรู้สึก กระบวนทัพทหารก็ไม่พังทลายสักนิด
เห็นทหารฝีมือดีใต้บังคับบัญชาล้มลงไม่หยุด ในที่สุดทั่วป๋าอูก็ได้สติกลับมาจากความตื่นตะลึง
ทหารกองหนุนชาวโจวดุร้ายทั้งยังกล้าหาญปานนี้ไม่ด้อยกว่ากองทัพใหญ่ทหารคนสนิทของเฉิงกั๋วกงสักนิด ไม่ อาจร้ายกาจยิ่งกว่า
หรือนี่เป็นมือขวาที่เฉิงกั๋วกงซ่อนไว้?
ทำไมข่าวคราวสักนิดก็สืบไม่ได้? โผล่ออกมาจากไหน?
“กองทหารชิงซานนี่ก็คือกองทหารที่ไม่กี่ร้อยคนสังหารพวกเราพันคนที่ป้าโจว” แม่ทัพข้างกายรีบร้อนเอ่ย “ท่านอ๋องพวกเรารีบถอยเถอะ”
“ใช่แล้ว กองทหารชิงซานนี่ไม่เพียงศาสตราวุธร้ายกาจ กระบวนทัพก็พิสดารอย่างที่สุด” คนอื่นก็รีบกล่อมห้าม “พวกเรารีบถอนกำลังกลับค่ายกันเถิด”
ถอนกำลัง?
ทั่วป๋าอูสีหน้าอับอายเคืองแค้น หันหลังมองป้อมปราการด่านที่ยังล้อมโจมตีเข่นฆ่าอยู่หลังร่าง
ท่าทางคงได้ยินว่ามีทหารกองหนุนมาแล้ว จิตใจของทหารด้านนั้นของเฉิงกั๋วกงจึงฮึกเหิม ส่วนทหารจินที่เดิมทีครองความเหนือกว่าหวาดกลัวอยู่บ้างถอนร่นต่อเนื่อง
จูซานกำลังจะถูกสังหารตายอยู่แล้ว!
“ให้เวลาอีกหน่อย” ทั่วป๋าอูคำรามเอ่ย
ต่อให้ทหารกองหนุนนี่อาวุธวิเศษศาสตราร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจโจมตีทำลายกระบวนทัพทหารของเขาอย่างง่ายดายได้เหมือนกัน ขอเพียงยืนหยัดอีกช่วงหนึ่ง จูซานย่อมถูกสังหารตายแน่
นั่นคือสังหารจูซานตายได้เชียวนะ!
สังหารจูซานตาย! สังหารจูซานตาย! จังหวะไม่อาจพลาด โอกาสไม่อาจมีอีก!
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องกองทหารชิงซานนี่เจ้าเล่ห์นัก องค์ชายเจ็ดยังอยู่ในค่ายนะขอรับ” แม่ทัพคนสนิทคนหนึ่งรีบร้อนเอ่ย
ทั่วป๋าอูฉุกคิดได้ และในเวลานี้เองเสียงสะเทือนไหวก็ดังมาไกลๆ
เสียงนี้ดังเหมือนเสียงที่ร่วงลงมายังค่ายทหารด้านนี้เมื่อครู่
ทั่วป๋าอูสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน ส่วนในกองทหารเสียงอุทานตกใจดังขึ้นแล้ว
“ค่ายใหญ่!”
“มีคนลอบโจมตีค่ายใหญ่!”
คิดไม่ถึง!
แม่ทัพหลายคนคว้าทั่วป๋าอูไว้
“ท่านอ๋อง องค์ชายเจ็ดอยู่ในค่ายนะขอรับ!”
“อาวุธเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“รีบกลับไปช่วยป้องกันเถิด”
ทุกคนพากันตะโกน
ทั่วป๋าอูได้เห็นความร้ายกาจของกระสุนหินนี้แล้ว ยังมีฝนศรหอกยาวนั่นอีก นี่หากตกลงในค่าย ก็อาจจะ…
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็มองดูการรบของป้องปราการด่านด้านนั้นฟัน ขวานดาบในมือลงพื้นอย่างชิงชัง
“ถอนทหารกลับค่าย” เขาคำราม
……………………………………….
เห็นทหารจินประหนึ่งน้ำหลากถอยไป ทหารโจวที่ป้อมปราการด่านในที่สุดก็ปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้าย บางคนค้ำอาวุธคุกเข่าอยู่กับพื้น บางคนคลายลมหายใจเฮือกหนึ่งก็หมดสติไปทันที
“ทหารกองหนุน!”
“ทหารกองหนุน!”
คนมากกว่านั้นส่งเสียงตะโกนออกมา ตะเบ็งสุดเสียงแล้วยังมีเสียงร้องไห้
มีทหารกองหนุนจริงๆ?
เมื่อครู่พวกเขารบห้ำหั่นเอาเป็นเอาตาย ไม่สังเกตรอบด้านอย่างสิ้นเชิง ได้ยินเพียงเสียงตะโกนบ้าคลั่งฝ่ายนั้นของทหารจินว่ามีทหารกองหนุน พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจมอง แล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจสักนิด คิดไม่ถึงทหารจินถอยไปแล้วจริงๆ
แม่ทัพหลายคนแม้ไม่ถึงกับสียกิริยาเช่นนี้ แต่ในดวงตาก็มีม่านน้ำผุดออกมาเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคาดหวัง แต่เมื่อทหารกองหนุนมาถึงจริงๆ ความสะเทือนอารมณ์ในหัวใจนี่ยากเอื้อนเอ่ยแสดงออกมาจริงๆ
พวกเขาเงยหน้ามองไป บนสนามรบที่ระเนระนาดไปหมด ทหารจินประหนึ่งน้ำหลากถอยไป ส่วนกำลังพลกองหนึ่งมาอย่างทรงพลังไม่อาจขวาง
กองทหารนี่วางกระบวนทัพโจมตีสองปีกซ้ายขวา ธงทัพปลิวสะบัด กีบเท้าม้าเหล็กเหยียบย่ำ หอกยาวดุจผืนป่าพาบรรยากาศองอาจประหนึ่งขุนเขาลูกหนึ่งบดขยี้โครมครามเข้ามา
แม่ทัพทั้งหลายมองปราดเดียวย่อมจดจำธงกองทัพที่คุ้นเคยได้
“ท่านกั๋วกง! เป็นกองทหารซุ่นอันขอรับ!”
แม่ทัพคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดร้องตะโกนยินดีไม่หยุด หมุนตัวมองไปด้านหลัง
กลับมองเห็นตรงที่เฉิงกั๋วกงอยู่ถูกแม่ทัพนายทหารกลุ่มหนึ่งล้อมไว้ สีหน้าของพวกเขาเศร้าสลด ทำเหมือนไม่ได้ยินไม่สนใจทหารกองหนุนด้านนี้สักนิด
เงาร่างของเฉิงกั๋วกงมองไม่เห็นแล้ว
ในใจแม่ทัพคนนี้กระตุกวูบ สีหน้าซีดขาว แข้งขาอ่อนทันที
เฉิงกั๋วกง!
เฉิงกั๋วกง!
เขาตะเบ็งเสียงทีหนึ่ง โซซัดโซเซโจนเข้าไป
ส่วนในกระบวนทัพด้านนั้นก็มีกำลังพลขบวนหนึ่งออกจากกระบวนทัพควบม้าเร็วรี่มา มองเห็นนายทหารแม่ทัพด้านนี้ล้วนแห่ไปยังทิศทางหนึ่ง สีหน้าของกำลังพลกองนี้ก็เปลี่ยนโดยพลัน
“เฉิงกั๋วกง!”
หลี่กั๋วรุ่ยที่ทั้งร่างห่มโลหิตตะโกนเสียงดัง ไม่รอเข้าใกล้ก็กระโดลงจากม้า ร่างกายชาหนึบสั่นระริก
มาสายไปแล้วหรือ?
จำนวนของทหารจินเหล่านี้รวมถึงความแข็งแกร่งเมื่อครู่เขาสัมผัสได้ด้วยตาตนเองแล้ว เฉิงกั๋วกงตรากตรำทำศึก มาครึ่งเดือนแล้ว กำลังพลหมื่นกว่าสูญเสียล้มตายหมดสิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉิงกั๋วกงเขา…
“ข้าน้อย…” หลี่กั๋วรุ่ยเสียงแหบพร่าแทบจะเอ่ยวาจาไม่ออก “ข้าน้อยมาสาย…”
คนด้านหลังร่างพวกเขาก็ทยอยลงจากม้าด้วย บรรยากาศหนักอึ้ง
“ยังไม่สาย”
เสียงทุ้มนุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลางวงล้อมของแม่ทัพและทหาร
แม้ไร้เรี่ยวแรงอ่อนแอ แต่คำที่เอ่ยชัดเจนยิ่ง
เสียงนี้ทำให้หลี่กั๋วรุ่ยมีชีวิตชีวาทันที พร้อมกับประโยคนี้แม่ทัพทหารที่ล้อมอยู่ก็พากันหลีกทางออก ในเวลาเดียวกันก็ล้วนหันหน้ามองมา
ในสายตาพวกหลี่กั๋วรุ่ยปรากฏบุรุษชุดเกราะขาวคนหนึ่ง
บุรุษรูปร่างกำยำ เวลานี้ไม่ยืนตระหง่านดุจขุนเขาแต่นั่งอยู่บนพื้น พิงอยู่หน้าร่างรองแม่ทัพคนหนึ่ง มือซ้ายกำดาบยาวเล่มหนึ่งค้ำพื้นดิน นี่ทำให้ถึงแม้เขาเอนพิงอยู่ก็แลดูแผ่นหลังเหยียดตรง
หมวกเกราะของเขาถอดลงมาแล้ว เผยใบหน้า
อายุของเขาสี่สิบกว่าปี เครื่องหน้าหล่อเหลาสีหน้าอบอุ่น แม้เวลานี้ทั้งร่างเปื้อนเลือด ทั้งร่างบาดเจ็บ แววตายังคงอ่อนโยน ทำให้คนมองเขาพลันสงบ
นี่ก็คือเฉิงกั๋วกงจูซานเทพสงครามทิศอุดรของต้าโจว
หลี่กั๋วรุ่ยตื่นเต้นยินดี แต่ครู่ต่อมาเมื่อเห็นอาภรณ์ใต้ชุดเกราะสีขาวของจูซานแดงฉานเป็นแถบ
หอกยาวเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในหน้าอกของเขา ด้ามหอกถูกตัดทิ้งแล้ว เหลือเพียงหัวหอก
“เฉิงกั๋วกง!” มองเห็นหัวหอกตรงหน้าอกนั่น หลี่กั๋วรุ่ยก็ขาอ่อนอีกครั้ง
“ยืนดีๆ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม
เสียงนี้อ่อนโยนแต่กลับมีพลังไม่อาจปฏิเสธ ขาของหลี่กั๋วรุ่ยยืนตรง สีหน้าตื่นเต้นทั้งยังเศร้าโศกมองเฉิงกั๋วกง
“ให้ข้าดูซิ บุรุษผู้กล้าคนไหนมาช่วยข้าจูซาน” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ สายตาจับอยู่บนร่างหลี่กั๋วรุ่ย
คนอื่นๆ ก็ล้วนมองไปทางหลี่กั๋วรุ่ยเช่นกัน
แม่ทัพคนนี้แปลกหน้านัก ในใจพวกเขาคิด
แต่เห็นหลี่กั๋วรุ่ยไม่ได้ก้าวเข้ามาแจ้งชื่อสังกัดของตนกลับหลีกออกไปยืนหลบ บุรุษหลายคนด้านหลังร่างเขาก็หลีกออกตามด้วย
หรือไม่ใช่เขา มีคนอื่น?
คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตะลึงไปแล้ว หลังจากนั้นก็มองเห็นสตรีเยาว์วัยห่มผ้าคลุมแดงคนหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา
ท่ามกลางบุรุษสวมเกราะตัวใหญ่โตโขยงหนึ่ง รูปร่างของนางยิ่งแลดูบางกระจ้อย ลมวสันต์ฤดูโชยพัดผ้าคลุมของนาง เผยชายกระโปรงจีบรอบปักบุปผา
นางยื่นมือออกมา ก้มศีรษะยกกระโปรงเบาๆ ใช้ร้องเท้าบู้ทหนังกวางคู่น้อยเหยียบผืนดินที่คราบเลือดซึมย้อม ร่างกายสะบัดเบาๆ ทั้งจริงจังทั้งมีความเคารพและระวังระไว อ้อมศพของนายทหารที่ตายไปคนหนึ่ง
คนทั้งหมดล้วนกลั้นหายใจ คล้ายกับว่านาทีนี้ไม่ได้อยู่บนสนามรบคลุ้งคาวเลือด แต่ตัวอยู่ในเจียงหนานยามฤดูใบไม้ผลิ ต้นหลิวเรียงราย พฤกษาเขียวขจีบุปผาบานสะพรั่ง นงเยาว์เนื้อละอ่อนย่างเหยียบหญ้าเขียววุ่นวาย
ในดวงตาเฉิงกั๋วกงยากปิดบังความตกตะลึง มองดูสตรีคนนี้ก้าวว่องไวเข้ามา นางเงยศีรษะขึ้น ดวงหน้างามดั่งภาพวาดมีความขัดเขินอยู่บ้าง กระวนกระวายอยู่บ้าง
นางคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี รีรออยู่ครู่หนึ่งเล็กๆ ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากใต้ผ้าคลุม
กลางฝ่ามือน้อย ถือเม็ดกลมๆ ที่ห่อกระดาษเงินเม็ดหนึ่งอยู่
“ท่าน กินผลไม้เชื่อมไหม?” นางมองบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บนั่งอยู่ตรงหน้า เอ่ยขึ้นจริงจัง