Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 38 ลมวสันต์โชยไล้ใบหน้า ในที่สุดก็ไม่หนาวแล้ว
เรื่องเฉิงกั๋วกงนำทหารเข้าอี้โจว ราชสำนักย่อมรู้เช่นกัน
การกระทำฝ่าฝืนราชโองการเช่นนี้ หวงเฉิงไม่มีทางปิดบังให้เฉิงกั๋วกง เขาตีไข่ใส่สีฟ้องฮ่องเต้ ส่วนทูตชาวจินที่มาเจรจาสงบศึกก็โวยวายใหญ่โตยกหนึ่งตามด้วย
แรกสุดเฉิงกั๋วกงไร้ข่าวคราว ต่อมาข่าวส่งมาว่ารบจนตัวตายย่อยยับทั้งกองทัพ
ทั้งแคว้นฮือฮอา
แม้เฉิงกั๋วกงไม่ได้เข้าเมืองหลวงหลายปีแล้ว แต่ชาวบ้านไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับเขา อย่างไรแรกสุดก็เป็นเขาขับไล่โจรจินขจัดเภทภัยให้แก่ประชาชนแดนเหนือ แล้วยังประจำการอยู่ที่ชายแดนทำให้ทุกคนไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการรุกรานของโจรจิน
แม้สิบปีนี้สงบสุขปลอดภัยจนคุ้นชิน บางครั้งรู้สึกว่าเฉิงกั๋วกงคล้ายถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงรบจนตัวตายไม่อยู่แล้ว คนทั้งหมดก็ล้วนตระหนก
ชายแดนจะทำอย่างไร?
เจรจาสงบศึกแล้วไม่ทำสงครามแล้ว
ไม่ทำสงคราม? ชาวจินเชื่อถือได้ที่ไหน
ยี่สิบปีก่อนพวกเขาก็เคยเจรจาสงบศึกมาก่อน สามสิบปีก่อนพวกเขายังเคยเป็นประเทศบริวารของต้าฉีเลย สุดท้ายเล่า ทำลายต้าฉี กวาดราบแดนเหนือ ลักพาตัวฮ่องเต้แคว้นโจวไป
วาจาที่คนป่าเถื่อนเหล่านี้เอื้อนเอ่ยจะเชื่อได้อย่างไร
นอกจากนี้ยังยกเมืองสามแห่งให้อีก ระยะห่างระหว่างชาวจินกับแผ่นดินตอนในก็ยิ่งใกล้แล้ว ก่อนหน้านี้แม่น้ำใหญ่ชายแดนกว้างกั้นห่างข้ามมาลำบากอยู่บ้าง ตอนนี้แทบจะชิดติดกัน ก้าวเท้าก็เข้ามาแล้ว ยื่นมือทีเดียวยืดมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ความโศกศัลย์ที่มีต่อการตายของเฉิงกั๋วกง ความหวาดหวั่นต่อชีวิตในอนาคต ทำให้คนที่ได้ยินข่าวล้วนร่ำไห้
ผู้ใหญ่ร่ำไห้ เด็กน้อยร่ำไห้ ชั่วขณะทั้งใต้หล้าแทบจะร่วมเศร้าโศก
สถานการณ์นี้ทำให้ราชสำนักตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าข่าวการตายในศึกของเฉิงกั๋วกงจะนำความหวั่นไหวมามากเช่นนี้
ยังมีข่าวลือบางอย่างเริ่มเล่าลือไปทั่ว บอกว่าเฉิงกั๋วกงถูกราชสำนักทำร้ายจนตาย เพราะต้องการเจรจาสงบศึก เพื่อประจบชาวจินจึงตั้งใจส่งเฉิงกั๋วกงไปตาย
แน่นอนไม่นานก็มีความเห็นที่แตกต่างไปอีก บอกว่าเฉิงกั๋วกงกระหายความชอบขัดพระบัญชาไม่ถอยกลับ ผลสุดท้ายจึงทำให้ทหารชั้นดีม้าพ่วงพีตายไป ถึงขั้นยังมีคนบอกว่าที่จริงเฉิงกั๋วกงยังไม่ตาย แต่เปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายศัตรูแล้ว
ความเห็นเช่นนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็วยิ่ง ฮือฮากลบทับข่าวลือก่อนหน้านี้
“ฝ่าบาทให้ถอนทหารครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงเฉิงกั๋วกงไม่ถอย เพราะเหตุใด?”
เดือนสามแสงฤดูใบไม้ผลิงดงาม ในร้านน้ำชาติดแม่น้ำบุรุษผอมแห้งโม้น้ำลายกระเซ็น
รอบด้านตรงนี้คนล้อมเป็นวง บ้างนั่งบ้างยืน สีหน้าพิกล
“เฉิงกั๋วกงผูกพันกับแดนเหนือ…” บุรุษคนหนึ่งเอ่ยตอบ
ยังไม่ทันตอบจบก็ถูกบุรุษผอมแห้งคนนั้นถ่มน้ำลาย
“ใช่เสียที่ไหน นั่นเพื่อตัวเขาเอง ถอนกำลังทหารแล้ว เจรจาสงบศึกแล้ว เขาเฉิงกั๋วกงยังวางอำนาจที่แดนเหนือได้อีกอย่างไร?” เขาแค่นเสียงเอ่ย “ข้าบอกกับพวกเจ้า ใต้หล้านี้ผู้ที่ชอบทำสงครามที่สุดก็คือเฉิงกั๋วกง เขาย่อมไม่ยินยอมเจรจาสงบศึก ไม่เช่นนั้นเขายังมีเหตุผลอะไรโอ้อวดแสนยานุภาพที่แดนเหนืออีก?”
นี่ก็เหมือนจะมีเหตุผล รอบด้านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเบาๆ
เฉิงชีมองไปทางน้ำในแม่น้ำ ยื่นมือกอดแขนไว้
“เย็นจริงๆ นะ” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฝั่งตรงข้ามสีหน้าซับซ้อนเช่นกัน
“ใช่แล้ว เย็นนัก” เขาเอ่ย “นี่ใบไม้ผลิเดือนสามแล้ว ทำไมยังทำให้คนหนาวเหน็บจากก้นบึ้งหัวใจอยู่อีก”
บุรุษด้านข้างมองเห็นคนรอบด้านสนใจฟังแล้วจึงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ยกเท้าเหยียบบนเก้าอี้
“ดังนั้นถึงบอกว่าเฉิงกั๋วกงต้องจงใจไปอี้โจวจะทำลายการเจรจาสงบศึกครั้งนี้แน่…” เขาเอ่ยเสียงดัง
แต่คำพูดเพิ่งออกจากปากก็ได้ยินข้างนอกมีคนร้องตะโกนอ้ากจากนั้นก็มีของสิ่งหนึ่งเขวี้ยงเข้ามา
เขารู้สึกเพียงกลิ่นเหม็นฉึ่งสายหนึ่งจู่โจมใบหน้า แทบทำให้คนอาเจียนลมออกมาจากนั้นก็เจ็บปวด
เขาร้องอ้ากทีหนึ่งถอยไปข้างหลัง เดิมทีน่าจะพิงโต๊ะตัวหนึ่ง แต่อยู่ดีๆ เท้าไม่รู้ถูกสิ่งใดขัด คนทั้งร่างจึงหงายหลังล้มตึง
ผู้คนรอบด้านฮือฮา
“นี่เกิดอะไรขึ้น? นี่เกิดอะไรขึ้น?” เฉินชีกระโดดลุกขึ้นมาไปประคองบุรุษผู้นั้น
เขาลุกขึ้นมา เตะรองเท้าสกปรกซกมกที่เขวี้ยงใส่หน้าออกไป
“ขอบคุณน้องชาย” เขาเอ่ยอย่างขอบคุณ หลังจากนั้นมองไปด้านนอกอย่างโกรธเกรี้ยว “ใคร?”
ผู้คนรอบด้านก็ล้วนมองไปด้านนอกด้วย เห็นขอทานเสื้อผ้ามอซอขาดวิ่นสี่ห้าคน ขอทานผอมแห้งคนหนึ่งที่นำหน้าเท้าเหลือรองเท้าเพียงข้างเดียว
ขอทาน?
ขอทานตอนนี้ไม่ขอทาน จะปล้นแล้วหรือ?
ขอทานที่หวาดกลัวหัวหดขอข้าวกินเลี้ยงชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เวลานี้สีหน้าโกรธแค้นถึงขั้นดุร้าย
“ทำอะไร?” บุรุษคนนั้นโมโหโกรธาจะก้าวเข้าไป
“เจ้า เจ้าทำไมด่าเฉิงกั๋วกง!” ขอทานที่เป็นหัวหน้าตะโกน
น้ำเสียงแข็งกร้าวติดขัด เห็นชัดว่าเป็นสำเนียงแดนเหนือ
บุรุษคนนั้นฮะทีหนึ่ง
“เฉิงกั๋วกงทำลายชาติทำร้ายประชาชน…” เขาเอ่ย
ครั้งนี้เสียงพูดยังไม่ทันจบ ขอทานหลายคนนั้นก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“ไม่อนุญาตให้ไม่เคารพเฉิงกั๋วกง”
ไม่เพียงตะโกนขึ้นมา ครั้งนี้คนก็พุ่งเข้ามาด้วย โถมเข้ามาต่อยใส่หัวใส่หน้าบุรุษคนนั้นแล้ว
บุรุษคนนั้นไม่ทันตั้งตัวหงายล้มลงกับพื้น
เสียงตะโกน เสียงร้อง ร้านน้ำชาวุ่นวายไปหมดทันที
“อย่าตีคน อย่าตีคน มีอะไรพูดกันดีๆ” เฉินชีร้องตะโกนโวยวายกระโดดซ้ายเบียดขวาอยู่ในที่เกิดเหตุ คล้ายอยากหยุดคนวิวาท แต่ก็ไม่ตั้งใจเบียดคนที่ต้องการห้ามปรามหยุดการวิวาทรอบด้านออกไปด้วย
ที่นี่อย่างไรก็เป็นเมืองหลวง ผนวกกับสถานการณ์แดนเหนือไม่มั่นคง กองทหารม้าห้าเมืองเพิ่มความเข้มงวดการลาดตระเวน ไม่นานก็เร่งมาถึง ห้ามสองฝ่ายไว้
บุรุษคนนั้นถูกขอทานหลายคนตีจนอเนจอนาถอย่างที่สุด บนหน้ายังถูกข่วนอีกหลายรอย เขาเช็ดเลือดที่จมูกไปพลาง โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งฟ้องร้องจะจับคนไปพลาง
ขอทานตีคนย่อมต้องจับขอทาน นายทหารของกองทหารม้าห้าเมืองกำลังจะก้าวเข้าไป
“ทำไมตีคนเล่า? ขอทานตีคนตามใจ” เฉินชีตะโกนอยู่ด้านข้าง “ไม่พูดให้ชัดเจน ขอทานทั้งเมืองย่อมต้องไล่ออกไป”
“ไม่ผิด พูดให้รู้เรื่องทำไมตีคน” มีเสียงร้องรับด้านหลังเขา
นั่นก็ใช่ วันนี้ในเมืองหลวงขอทานผู้อพยพมากขึ้นทุกทีๆ หากก่อเรื่องขึ้นมาทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ
ดังนั้นเสียงมากกว่าเดิมจึงดังขึ้น
เสียงตะโกนนี่ทำให้การเคลื่อนไหวของนายทหารทั้งหลายหยุดลง ส่วนเหล่าขอทานก็เอ่ยปากท่าทางคับแค้นโกรธเกรี้ยวอยู่บาง
“เพราะเขาด่าเฉิงกั๋วกง” บุรุษคนหนึ่งเอ่ย ดวงตาแดงก่ำโกรธแค้นไม่ซา “หากไม่ใช่เพราะเฉิงกั๋วกง พวกเรากระทั่งมาเมืองหลวงเป็นขอทานก็เป็นไม่ได้ คงอดตายถูกกักตายอยู่ที่แดนเหนือตั้งนานแล้ว เจ้ากลับบอกว่าเฉิงกั๋วกงทำลายประเทศทำร้ายประชาชน เจ้าพูดจาเหลวไหลทั้งเพจริงๆ”
ถึงกับเพราะเรื่องนี้?
คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตะลึง ขอทานเหล่านี้ถึงกับอยู่ดีๆ ทำร้ายคนเพราะมีคนพูดว่าร้ายเฉิงกั๋วกง
นี่โง่หรือเคารพเฉิงกั๋วกงลึกถึงกระดูก?
“พวกเจ้าสิพูดเหลวไหลทั้งเพ ข้าด่าเฉิงกั๋วกงเกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า” บุรุษคนนั้นโกรธกระทืบเท้า
“ย่อมเกี่ยวกับพวกเรา”
ขอทานทั้งหลายตะโกนพร้อมกัน สีหน้าโศกเศร้าคับแค้น
“เจ้าไม่ใช่คนแดนเหนือสักหน่อย เจ้าเอาอะไรมาบอกว่าเฉิงกั๋วกงไม่ดี”
“พวกเราเป็นคนแดนเหนือ พวกเราใช้ชีวิตอย่างไรพวกเจ้าใครรู้บ้าง?”
“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงปกป้องพวกเรา พวกเราก็ตายใต้ดาบทหารจินไปนานแล้ว เขาขวางโจรจินปกป้องประชาชน เจ้ากลับบอกว่าเขาละโมบอำนาจความดีความชอบ นี่เรียกละโมบ เจ้าไปละโมบเอาสิ เจ้าไปสิ ดูซินี่จะง่ายดายสักเท่าไร”
“วันนี้เฉิงกั๋วกงขัดขวางทหารจินโดยไม่สนว่าตัวตกอยู่ในอันตราย ภรรยากับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงอยู่ที่แดนเหนือแจกข้าวต้มตามทาง ไม่ให้ทุกที่ปฏิเสธพวกเราไว้นอกประตู บอกว่าเขาวางอำนาจ อำนาจนี่พวกเจ้าทำไมไม่ไปวาง? พวกเจ้าไปวางดูสิ ดูซิง่ายดายสักเท่าใด”
“เพื่อให้ประชาชนสามเมืองอพยพออกมาอย่างปลอดภัย เฉิงกั๋วกงส่งบุตรชายเฉิงกั๋วกงกับภรรยาของท่านชายพากำลังคนไปช่วยเหลือ เจ้าว่าเขาชอบทำสงคราม ไม่ทำได้หรือ? ไม่ทำพวกเราก็ตายไปแล้ว”
พวกขอทานเอ่ยอยู่ ผู้หญิงหลายคนยังร้องไห้ขึ้นมาด้วย
“พวกเจ้าใช้ชีวิตมีความสุข ใช้ชีวิตสุขสบาย กลับใส่ร้ายคนเช่นนี้ รังแกกันเกินไปแล้ว” ขอทานเฒ่าคนหนึ่งสะอื้นเอ่ยขึ้นอย่างโศกเศร้าคับแค้น
ขอทานเหล่านี้ล้วนเป็นชาวบ้านผู้ลี้ภัยที่มาจากแดนเหนือ เรื่องที่แดนเหนือ เรื่องของเฉิงกั๋วกง คำอธิบายของพวกเขาย่อมทำให้คนเชื่อถือ
คำพูดนี้ทำให้รอบด้านตกสู่ความเงียบพักหนึ่ง
ใช่แล้ว เฉิงกั๋วกงทำมากมายปานนี้ยังถูกคนเดาส่งเดชเช่นนี้ รังแกคนอยู่บ้าง
เห็นสถานการณ์ท่าไม่ดี บุรุษคนนั้นก็อับอายโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง
“อย่าฟังพวกเขาพูดเหลวไหล” เขาเอ่ยพลางมองนายทหาร “รีบจับคนสิ”
นายทหารหลายคนมองเขาอย่างเย็นชา
“อย่าก่อเรื่องบนถนน” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ย “กระทำผิดอีก จับเข้าคุก”
เขาพูดพลางมองดูขอทานหลายคนนั้น
“ยังไม่รีบไปอีก”
ขอทานหลายคนนั้นตะลึงนิดหนึ่ง แม้ด้วยโกรธแค้นความอยุติธรรมจึงบุ่มบ่ามชั่วขณะ แต่ในใจก็ยังหวาดกลัวอยู่ คิดไม่ถึงว่าทหารกลับไม่จับพวกเขา ดังนั้นจึงรีบประคองคนแก่จูงเด็กรีบร้อนเดินออกไป
ผู้ชายคนนั้นงงงัน
หมายความว่าอย่างไร? นี่เตือนใครกัน? ทำไมปล่อยคนจากไปแล้ว
“เฮ้ยพวกเจ้า..” เขารีบตะโกนจะไล่ตามไป ด้านหลังก็มีคนโผล่ออกมาชนเขา
เขาไม่ทันตั้งตัวถูกชนล้มไปด้านหน้า เท้ากระแทกมุมโต๊ะเข้า เจ็บจนเขาร้องโอยโอยไม่ทันสนใจเอ่ยวาจาตั้งคำถาม
“พลาดแล้ว พลาดแล้ว” เฉินชีตะโกนรีบเร่งไปด้านนอก “จะสายแล้ว สายแล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกลั้นยิ้มติดตามไป
ส่วนนายทหารทั้งหลายสีหน้าเย็นชามองผู้คนในร้านน้ำชา
“ไม่มีอะไรก็แยกย้ายได้แล้ว” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยบอก “อย่าสร้างข่าวลือทำให้ประชาชนสับสน”
โทษนี้หนักนัก ผู้คนในร้ายน้ำชาตกใจสะดุ้งโหยง เป็นฝูงสัตว์กระเจิงทันที
พริบตาก็เหลือเพียงบุรุษคนนี้ตัวคนเดียวอยู่ในร้านน้ำชากุมเท้าจมูกที่เลือดไหลดวงตาข้างหนึ่งบวม ทั้งโกรธทั้งอายด่าสาปแช่ง
คำด่าสาปแช่งของบุรุษหลังร่าง เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหันกลับไปมองทีหนึ่งก็มองหน้ากันยิ้มอีกครั้ง
พวกเขามองไปยังขอทานหลายคนที่เดินช้าๆ ออกไปไกลบนถนน พร้อมกันนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
“อย่างไรก็ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ก็คงไม่หนาวเช่นนั้นไปตลอดหรอก” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
“เฉิงกั๋วกงทำสิ่งใด คนเมืองหลวงมองไม่เห็น คนแดนเหนือล้วนมองเห็น” เฉินชีเอ่ย “โลกมีความยุติธรรม”
สิ้นเสียงเขาก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้ารีบร้อนดังขึ้น บนถนนอลหม่านพักหนึ่ง
แต่ทุกคนก็ล้วนคุ้นชินแล้ว ช่วงนี้คนส่งสารด่วนของเมืองหลวงมาก
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหลบออกไปข้างทาง หันกลับมองไป เห็นนายทหารคนหนึ่งควบม้าเร็วรี่วิ่งมา
แต่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ นายทหารคนนี้เวลานี้ชูธงไหมที่เดิมวางอยู่ด้านหลังร่างขึ้นในมือ
“ข่าวด่วน” เขาตะโกนเสียงดัง เสียงตื่นเต้น “เฉิงกั๋วกงนำทัพกลับมาจากอี้โจว”
เฉิงกั๋วกง!
เสียงตะโกนนี่ทำให้บนถนนเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา
เฉิงกั๋วกง! เฉิงกั๋วกงไม่ตาย!
เฉินชีกุมสองมือ สีหน้าตกตะลึงอยู่บ้าง
“ข้าก็แค่พูดไปงั้นๆ สวรรค์นี่มีความยุติธรรมจริงๆ หนอ” เขาเอ่ย