Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 4 เงื่อนไขสงบศึก
ในโลกนี้ถึงกับมีเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้!
หนิงเหยียนมองดูบุรุษสองคนที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงพร้อมรู้สึกสติหลุดลอยอยู่บ้าง
บุรุษสองคนนี้สวมเครื่องแต่งกายไม่เหมือนเหล่าขุนนาง บุรุษคนหนึ่งเส้นผมมันเยิ้มถักเป็นเปียเส้นน้อย รูปร่างกำยำสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมหนัง แสดงชัดว่าเป็นชาวหูคนหนึ่ง เพราะสีผิวดำเมี่ยมหยาบกระด้างจึงดูไม่ออกว่าแท้จริงอายุมากเท่าไร สีหน้าแข็งกร้าวดวงตาชั่วร้าย อีกคนหนึ่งแม้สวมเครื่องแต่งกายชาวหู แต่ผมเผ้าเรียบร้อยดวงหน้าขาวสะอาดเป็นชาวฮั่นคนหนึ่ง
ช่วงก่อนหน้านี้ข่าวด่วนส่งมาบอกว่าชาวจินต้องการสงบศึกหยุดสงคราม
ข่าวนี้สำหรับฮ่องเต้แล้วเป็นข่าวดีใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับขุนนางในราชสำนักก็เป็นข่าวดีข่าวหนึ่งเช่นกัน อย่างไรก็ไม่มีผู้ใดชอบทำสงคราม
หนิงเหยียนก็ปิติยินดียิ่งด้วย ชาวจินยอมสงบศึก นี่ล้วนเพราะถูกเฉิงกั๋วกงข่มขวัญ อาศัยโอกาสนี้ต้องให้บทเรียนอันดีครั้งหนึ่งแก่ชาวจินได้แน่
หลังประชุมขุนนางหลายครั้ง ผ่านขั้นตอนในสภาอำมาตย์ส่งหนังสือตกลงสงบศึกออกไป รอคอยช่วงเวลาหนึ่งทูตของชาวจินก็มาถึงเมืองหลวง กรมพิธีการยื่นสาส์นตราตั้งของชาวจิน ฮ่องเต้ก็พระราชทานอนุญาตให้เข้าเฝ้าทันที นอกจากนี้จัดไว้ในประชุมขุนนางใหญ่อีกด้วย
อย่างไรชาวจินขอสงบศึกสื่อถึงชัยชนะของต้าโจว สื่อถึงเกียรติยศ ฮ่องเต้ย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตกพระทัยหวาดกลัวร้อนพระทัยมานานปานนี้
เหล่าขุนนางก็ดีใจมากเช่นกัน คลี่คลายเรื่องนี้ได้ย่อมไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนแล้ว นอกจากนี้ยังถกผลงานรางวัลได้ด้วย ฉลองปีใหม่ดีๆ กันได้แล้ว
แต่เรื่องราวคล้ายไม่ใช่แบบนั้นอย่างที่พวกเขาจินตนาการ
ชาวหูก้าวขึ้นมา ทั้งไม่คำนับและไม่ก้มศีรษะสีหน้าแข็งกร้าวพูดจาโฮกฮากอยู่พักหนึ่ง ดูท่าทางฟังน้ำเสียงนี่ไม่คล้ายขอร้องนะ
รอล่ามที่พามาด้วยคนนั้นแปลคำพูดของชาวหูคนนี้ออกมา คนในราชสำนักล้วนตะลึงไปแล้ว
“…ผูกพันธมิตรปรองดอง ไม่ก่อความวุ่นวายแก่กัน ประการแรกภายในแลกเปลี่ยนเท่าเทียม เปิดกว้างค้าขายระหว่างแคว้น” เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาของล่ามคนนั้นเอ่ยขึ้น
ภายในแลกเปลี่ยนเท่าเทียมหรือก็คือการเปิดการค้าระหว่างแคว้น ตั้งแต่เฉิงกั๋วกงพิทักษ์แดนเหนือก็ตรวจด่านชายแดนอย่างเข้มงวด ไม่ต้องพูดถึงค้าขายระหว่างแคว้น กระทั่งขายของเถื่อนยังไม่มีเลย
ตอนนั้นการกระทำนี้ไม่เพียงชาวจินขาดทุนหนักหนา บรรดาพ่อค้าผู้มั่งคั่งของแดนเหนือก็ขาดทุนมหาศาลพากันไม่พอใจเช่นกัน พวกเขาก่อเรื่องประท้วงอยู่หลายครั้งยังฟ้องร้องมาถึงในราชสำนัก แต่เฉิงกั๋วกงไม่ไว้หน้าใช้โทษสมคบศัตรูสังหารพ่อค้าใหญ่ผู้ดีชนบทตระกูลขุนนางไปสามคน
“สายลับปลิ้นปล้อน พ่อค้าแสวงหาผลประโยชน์แทรกซึมอยู่ทุกที่ ครั้งนั้นโจรจินลงใต้ซื้อพ่อค้าเป็นคนร่วมมือข้างใน ทำลายเมืองเราสามเมือง สังหารขุนนางประชาชนของเรา ท้ายที่สุดล้อมเมืองจับตัวฮ่องเต้ของเราไป วันนี้กล้าก่อความวุ่นวายในเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวได้ วันหน้าย่อมกล้ารับเงินศัตรูขายประเทศ อีกทั้งโจรจินใช้ม้าหนังสัตว์ข้าวของนอกเหนือจากที่ใช้กินอิ่มห่มกายมาแลกทองคำเงินทรัพยากรสร้างอาวุธชุดเกราะอาวุธหนัก เป็นการใช้โลหิตของพวกเราเลี้ยงศัตรูให้แข็งแกร่ง ภัยร้ายที่ตามมาไม่สิ้นสุดอย่างไม่ต้องสงสัย”
เฉิงกั๋วกงเอ่ยเช่นนี้กับฎีกาที่ถวายราชสำนัก
เอ่ยถึงเรื่องตอนนั้น บวกกับหลักฐานความผิดที่พ่อค้าเหล่านี้สมคบศัตรูซึ่งเฉิงกั๋วกงส่งมา จริงปลอมก็ไม่มีใครถกเถียงแล้ว ใครก็รู้ว่านี่คือเฉิงกั๋วกงเชือดไก่ให้ลิงดูดังนั้นจึงช่างมันไม่สน ฮ่องเต้ยังชมเชยให้รางวัลเฉิงกั๋วกงด้วย
จากนั้นเป็นต้นมาแดนเหนือก็ไม่กล้าค้าขายไปมาหาสู่กับชาวจินอีก นี่สำหรับชาวจินที่ขาดแคลนข้าวของแล้ว ชีวิตยิ่งลำบากยากเข็ญ
เดิมทีตอนนั้นมีคนกล่าวโทษเฉิงกั๋วกงบอกว่าการกระทำนี้จะส่งผลกับม้าของกองทัพและจะส่งผลกับกำลังของกองทัพต้าจวิน แต่สิบปีนี้ไม่มีม้าของแดนเหนือ ภาคตะวันตกรวมถึงตะวันตกเฉียงใต้ล้วนเลี้ยงม้าได้ คุณภาพกับจำนวนล้วนน่าดูชม เวลาผ่านไปก็ไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เมื่อสถานการณ์สงบเรียบร้อย เจียงหนานยิ่งมั่งคั่งขึ้นทุกที เหนือใต้การค้าขายเชื่อมต่อกัน สินค้าทางนั้นของชาวจินสำหรับต้าโจวแล้วมีหรือไม่มีก็ได้ พวกเขาย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้บังคับยังไม่เปิดเมือง ตอนนี้ย่อมไม่สนใจเปิดเมืองสักนิด
ที่ทูตชาวจินคนนี้พูดหมายความว่าอย่างไร?
นี่เป็นการขอร้องหรือ…ข้อเรียกร้อง?
ทำไมฟังดูแล้วไม่ค่อยถูกต้องนัก?
“เปิดการค้าระหว่างแคว้นก็ไม่ใช่ไม่ได้…” ขุนนางคนหนึ่งครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
แต่คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกหนิงเหยียนขัดแล้ว
“ค้าขายระหว่างแคว้นไม่ได้” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ย “การขาดแคลนข้าวของของพวกท่าน หารือวิธีการแก้ไขทีหลังได้”
ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ค้าขายระหว่างแคว้นเรื่องนี้สำหรับพระองค์แล้วไม่นับว่าสำคัญอะไร
“ให้เขาพูดให้จบ” พระองค์ตรัสจากเบื้องบน
พวกหนิงเหยียนค้อมกายขานรับ ขุนนางกรมพิธีการจึงส่งสัญญาณให้ทูตจินคนนั้นเอ่ยต่อ
หลังทูตจินฟังล่ามกระซิบเสียงเบาหลายประโยค ใบหน้ายิ่งแข็งกร้าวแล้วยังมีท่าทีเหยียดหยัน เอ่ยโฮกฮากอีกหลายประโยค
สิ้นเสียงของชาวหูคนนี้ ในท้องพระโรงก็มีหลายคนร้องฮะขึ้นมา เสียงของพวกเขาแม้เบาแต่ก็ชักนำความกระสับกระส่ายระลอกหนึ่ง ขุนนางตรวจการหลายคนที่รับผิดชอบลำดับพิธีการในท้องพระโรงมองไปอย่างไม่พอใจ เห็นเพียงหลายคนนั้นสีหน้าตื่นตะลึง
หลายคนนี้ตำแหน่งไม่สูงคล้ายเข้าใจภาษาหูอยู่บ้าง เห็นชัดยิ่งว่าฟังคำพูดของทูตเข้าใจ
พูดอะไร? ถึงทำให้พวกเขาลืมตัวจนเสียกิริยาส่งเสียง?
ระหว่างที่เหล่าขุนนางคิดในใจ เสียงของล่ามก็ดังขึ้น
“ข้อเรียกร้องข้อที่สองของต้าจินเราก็คือ วาดเส้นเขตแดนใหม่เมืองเป่าโจว สยงโจว ป้าโจว ชิงโจว ฉีโจว เหอเจียนคืนกลับมาให้เราต้าจิน” เขาเอ่ย
วาดเส้นเขตแดนใหม่ ยกหกเมืองให้
นี่มายอมแพ้เจรจาสงบศึกที่ไหน นี่มาเสนอข้อเรียกร้องท้าทายชัดๆ
ในท้องพระโรงเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา
แต่นี่ยังไม่จบ ทูตจินคนนั้นสะบัดมือใหญ่ตะโกนเสียงดังอีกหลายประโยค
ครั้งนี้เสียงของล่ามก็ดังขึ้นด้วย
“ไม่เช่นนั้น ต้าจินเราจะรวมบุรุษอีกห้าหมื่นคนลงใต้ ไม่ได้ดินแดนเดิมคืนไม่เลิกรา” เขาตะโกน
สิ้นเสียงคำพูดนี้ ท้องพระโรงที่เอะอะฉับพลันเงียบลงอีกครั้ง คนทั้งหมดรวมถึงฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรล้วนสีหน้าอึ้งมองทูตจินคนนี้
สถานที่มากมายในแดนเหนือนี้ล้วนเคยถูกชาวจินยึดครองมาก่อน เป็นเฉิงกั๋วกงแย่งชิงกลับมา พวกเขาเคยยึดครองไปไม่ได้หมายความว่านี่เป็นของพวกเขา พูดว่าหกเมืองนี้เป็นแผ่นดินเดิมหน้าไม่อายอย่างแท้จริง
บนโลกถึงกับมีเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้!
แต่นอกจากน่าเหลือเชื่อแล้ว ยังมีสิ่งที่ทำให้คนตื่นตะลึงยิ่งกว่า
ทหารจินห้าหมื่น รวมตัวลงใต้อีก ไม่เลิกรา
อีก
ถ้าแบบนี้นับดูแล้ว ที่ต้าโจวจะต้องรับศึกก็คือทหารจินสิบหมื่น
สิบหมื่น!
นี่มายอมแพ้ที่ไหนเล่า นี่มาข่มขู่ชัดๆ!
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ในท้องพระโรงก็โกลาหลอีกครั้ง
“ใจกล้านัก!”
“บ้าบอ!”
“โจรชั่วใจกล้านัก!”
เสียงผรุสวาทของพวกหนิงเหยียนดังขึ้นต่อกัน
เทียบกับความโกรธแค้น ความตกตะลึง ความตระหนกนานาประการของคนอื่นๆ ในท้องพระโรง หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าดุจเดิม
“ก็บอกแล้วไม่มีทางมีข่าวดีหรอก” เขาเอ่ยเสียงเบา
……………………………………….
กั้นด้วยหน้าต่างหิน เสียงหัวเราะของพวกผู้หญิงพลันดังเข้ามา จมูกได้กลิ่นหอมอบอวล
คุณหนูจวินรั้งสายตากลับมาจากข้างหน้าต่าง มองผู้ดูแลใหญ่ที่ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง
“ใจโจรไม่ดับมอดจริงๆ” นางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ดึงทหารมารวมพลรบตรงๆ ก็ได้แล้ว ยังวิ่งไปเมืองหลวงอวดแสนยานุภาพทำอะไร?”
“ข่มขู่ให้หวาดกลัวกระมัง” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มหยัน
“เอาประชาชนของแผ่นดินเป็นตัวประกัน นี่เขาข่มขู่คนหรือฆ่าตัวตาย?” นางเอ่ย “ถ้าพระ…พระจักรพรรดิองค์ก่อนยังอยู่คงสังหารทูตคนนี้คาท้องพระโรง โยนหัวกลับไปที่โจรจินอยู่แล้ว”
ไม่เหมือนพระปิตุลา ตลอดมาแสร้งทำท่าเมตตาใจบุญมาตลอด
ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า
“ใช่แล้ว ต่อให้มาอีกห้าหมื่นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตนเองจะชนะ” เขาเอ่ย “แค่สงครามรุนแรงขึ้นอยู่บ้าง เวลายาวนานขึ้นอยู่บ้างก็เท่านั้น”
คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน
“นานแล้วอย่างไร ครั้งนั้นพวกเฉิงกั๋วกงใช้เกือบสิบปีขับไล่ชาวจินแย่งแดนเหนือกลับคืนมา อย่างมากก็แค่สิบปีอีกสักครั้งเท่านั้น” นางเอ่ย “ใครกลัวใครเล่า”
ไม่ใช่ข่าวดีอะไรชัดๆ ผู้ดูแลใหญ่กลับอดยิ้มไม่ได้
“คุณหนูจวินสตรีคนหนึ่งยังไม่กลัว พวกเราบุรุษทั้งหลายเหล่านี้ย่อมยิ่งไม่กลัวแล้ว” เขายิ้มเอ่ย
“เฉิงกั๋วกงยิ่งไม่มีทางกลัว” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกท่านวางใจเถอะ”
ผู้ดูแลใหญ่หัวเราะฮ่าฮ่า
“คำพูดนี้เดิมข้าต้องพูดกับคุณหนู” เขายิ้มเอ่ย พร้อมกับการพูดคุยหัวเราะครั้งนี้ ความตึงเคียดยามได้รับข่าวก็สลายไปแล้ว
“ท้องถนนยังไม่ปลอดภัยนัก มีเรื่องอะไรผู้ดูแลใหญ่ท่านไม่ต้องวิ่งไปมา ข้าไปที่นั่นก็ได้” คุณหนูจวินกำชับอีกครั้ง “อย่างไรพวกท่านก็เป็นประชาชน”
พวกเราเป็นประชาชน? ถ้าอย่างนั้นพวกท่านเล่า? ผู้ดูแลใหญ่งุนงงแล้ว เป็นทหารรึ?
“ขอรับ” เขาค้อมกายตอบรับ
เมื่อเปิดประตูเดินมาถึงในลาน เสียงหัวเราะก็ยิ่งโถมเข้ามา ยังมีสตรีสองนางมองเห็นเขาจึงยกกล่องใบหนึ่งมา
“ขนมทำใหม่ๆ ผู้ดูแลใหญ่เอาไปลองชิม” พวกนางยิ้มเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่ก็ไม่เกรงใจ ยิ้มรับไป สายตาอดไม่ได้มองสตรีที่นั่งอาบแดดอยู่ตรงหน้าประตูห้องทีหนึ่ง
ยามมาเขาก็สังเกตเห็นแล้ว นี่เป็นสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง
เห็นเขามา สตรีนางนั้นก็มองมาเช่นกัน ผงกศีรษะเล็กน้อยให้เขา
ผู้ดูแลใหญ่ไม่ทันรู้ตัวรีบก้มศีรษะคำนับ คำนับเสร็จถึงมึนงงอยู่บ้าง การโต้ตอบนี้ของตนคล้ายเป็นไปโดยสัญชาติญาณ เพราะท่าทางของสตรีคนนี้หรือ?
แม้สวมใส่เสื้อลายกระโปรงฝ้ายบ้านๆ ประเภทนั้นเฉกเช่นสตรีทั้งหลายในหมู่บ้าน แต่ท่วงท่าไม่ธรรมดาแตกต่าง
คนผู้นี้เป็นใคร?
เขากำลังลังเลว่าจะถามหรือไม่ก็เห็นมีคนรีบร้อนวิ่งเข้ามา
“คุณหนูจวิน” ชาวบ้านาผอมแกร็นคนนี้ เสียงใสกังวาน ในมือถือหลอดไม่ไผ่อันหนึ่งไว้ “จดหมายจากในเมือง”
นี่เป็นจดหมายที่ส่งมาด้วยพิราบสื่อสาร
ผู้ดูแลใหญ่ประหลาดใจอยู่บ้าง เท้าข้างหนึ่งของตนก้าวออกจากประตู ในบ้านก็มีข่าวส่งมาแล้ว? คงเพิ่งได้รับ
มีข่าวดีอะไรอีกหรือ?
คุณหนูจวินรับหลอดสารไปแกะออก มองเพียงปราดเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“บ้าบอ!” นางตวาด เขวี้ยงหลอดสารกับกระดาษจดหมายในมือทิ้งลงบนพื้น
เสียงคุยเล่นหัวเราะในลานพลันเงียบลง คนทั้งหมดล้วนมองมา สีหน้าประหลาดใจจากนั้นก็หวั่นวิตก
คุณหนูคนนี้โกรธเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?