Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 47 หลายปีก่อนหน้านี้
กองทหารชิงซานเป็นทหาร ประโยคนี้คุณหนูจวินไม่แปลกหู
ครั้งแรกท่ามกลางค่ำคืนมืดมิดยามถูกลักพาตัวมากะทันหัน ประโยคแรกที่พวกเขาแนะนำตนเองก็คือพวกเราเป็นทหาร
ทหารแบบไหนตกต่ำจนกระทั่งโจรยังสู้ไม่ได้?
ทหารแบบไหนครอบครองอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจมากปานนี้กลับถูกทิ้งไว้ไม่ใช่?
คุณหนูจวินนั่งตัวตรง มองหยางจิ่งอย่างตั้งใจ
“พวกเราเดิมทีเป็นชาวจัวโจวซินเฉิง” เซี่ยหย่งเอ่ย
จัวโจว?
นั่นไม่ใช่ดินแดนของชาวจินหรือ?
คุณหนูจวินตกตะลึงมองเขา
ที่แท้อาจารย์เป็นชาวจัวโจว?
“ไม่ ตอนนั้นจัวโจวยังไม่ใช่ดินแดนของชาวจิน” หยางจิ่งเอ่ย สีหน้าย้อนรำลึกอยู่บ้าง “เวลานั้น จัวโจวเป็นของต้าฉี”
“นอกจากนี้เขาก็ไม่ใช่คนจัวโจว” เซี่ยหย่งลังเลครู่หนึ่งเอ่ยเสริมอีกประโยค
เขาที่ว่าย่อมเป็นอาจารย์ จ้าวจื้ออี้
คุณหนูจวินกำพนักแขนแน่น
“เขา…” เซี่ยหย่งคล้ายอยากพูดก็หยุดอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะ “ที่จริงพวกเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่ไหน”
ไม่รู้? คุณหนูจวินมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“เขาบอกว่าเขาเป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง บ้านอยู่ไกลมากและไม่มีแล้ว” หยางจิ่งเอ่ยต่อ “พลัดหลงมาถึงในหมู่บ้านของพวกเราจึงอยู่เสีย”
ถึงกับเป็นเช่นนี้หรือ…
ดังนั้นคงไม่มีวันได้รู้ว่าอาจารย์เป็นคนที่ไหน
ไม่แปลกที่หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งเคยบอกว่าพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจ้าวจื้ออี้ชื่อนี้เป็นชื่อจริงของอาจารย์หรือไม่
คุณหนูจวินก้มศีรษะเงียบงัน
“เวลานั้นชาวจินกำลังรบกับต้าฉี ต้าโจวก็ฉวยโอกาสแย่งแผ่นดินที่เสียไปและถูกต้าฉียึดครองคืนมา ทุกหนทุกแห่งล้วนทำสงคราม ชีวิตของพวกเราลำบากขึ้นทุกที เขาบอกว่าอยากใช้ชีวิตสบายก็ต้องมีทหารมีอำนาจ ดังนั้นจึงนำพวกเราเริ่มฝึกทหาร พวกเรารับผู้อพยพชาวบ้านใกล้เคียงมามากมาย” หยางจิ่งเล่า “เขาสอนให้พวกเราทำสิ่งต่างๆ มากมายเป็น กองกำลังของพวกเรายิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกที โจรใกล้ๆ ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา ทั้งซินเฉิงพวกเราว่าหนึ่งเป็นหนึ่งว่าสองเป็นสอง”
คล้ายย้อนรำลึกถึงความรุ่งเรืองครั้งนั้น หยางจิ่งที่พูดน้อยยิ้มยากมาตลอดบนหน้าก็ผุดรอยยิ้มขึ้น
“ตอนนั้นพวกเราล้วนคิดว่า นี่ก็คือชีวิตที่ดี แต่เขาบอกว่านี่ยังไม่พอ” เขาเล่าต่อ “บอกว่าต้าฉีรักษาไว้ไม่ได้แล้ว นอกจากนี้พวกเราเดิมก็ไม่ใช่คนต้าฉี พวกเราล้วนเป็นชาวฮั่น จะช่วยเหลือใครก็ย่อมเป็นต้าโจว”
คนในสิบหกเมืองที่เยี่ยนอวิ๋นนี่ล้วนเป็นชาวฮั่น ถูกต้าฉียึดครองนานปี ประชาชนชาวฮั่นเหล่านี้ถูกรังแกข่มเหงอย่างหนัก คนนับไม่ถ้วนวาดหวังว่าจะได้กลับมาร่วมชาติกับชาวฮั่น
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ช่วยต้าโจวทำลายต้าจิน เอาสิบหกเมืองของเยี่ยนอวิ๋นกลับมา นี่ถึงสร้างความดีความชอบ สร้างผลงานใหญ่อย่างแท้จริง นี่ถึงมีชีวิตที่ดีจริงๆ ได้” หยางจิ่งเอ่ย
ทำลายต้าจิน เอาสิบหกเมืองที่เยี่ยนอวิ๋นคืนมา อาจารย์ถึงกับมีปณิธานเช่นนี้
หรือพูดได้ว่าคนที่ดูไปแล้วนิ่งดูดายไม่สนเรื่องทุกสิ่งในใต้หล้าคนนั้น ถึงกับเคยมีช่วงเวลาที่เร่าร้อนเช่นนี้เหมือนกัน
เป็นสิ่งใดดับความเร่าร้อนของเขา? เพียงแค่วันเวลาหรือ?
คุณหนูจวินเศร้าสร้อยอยู่บ้าง ยิ่งกระตือรือร้นอยากฟังต่อไป
“ดังนั้นพวกท่านจึงสมัครเข้าเป็นทหาร?” นางเอ่ยถาม
เซี่ยหย่งส่ายศีรษะ
“ที่จริงก็ไม่นับว่าสมัครเป็นทหาร” เขาเอ่ย “พี่ใหญ่เขาติดต่อแม่ทัพต้าโจว แสดงเจตนาว่าพวกเรายินดีช่วยเหลือ”
“ดังนั้นพวกท่านคือกองทหารอาสา” คุณหนูจวินเอ่ยทันที “ข้ารู้จักสิ่งนี้”
ตอนนั้นนางเคยได้ฟังพระบิดาเล่า ในประวัติการรบกับชาวจิน นอกจากแม่ทัพทั้งหลายของต้าโจวรบดุเดือดเลือดอาบ ยังมีกองทหารอาสามากมายช่วยเหลือด้วย
ยังเคยยกตัวอย่างชื่อแม่ทัพของกองทหารอาสามากมาย คนมากมายล้วนได้รับรางวัลแต่งตั้งยศ
แต่ในนี้ไม่มีจ้าวจื้ออี้ ยิ่งไม่มีกองทหารชิงซานชื่อนี้
“พี่ใหญ่กลับมาบอกพวกเราว่าพวกเราจะยังไม่เข้าทัพโจวชั่วคราว เพราะตัวตนตอนนี้ของพวกเราเหมาะจะเคลื่อนไหวที่ต้าจินฝั่งนี้มากกว่า” หยางจิ่งเอ่ย “แต่แม่ทัพนั่นสัญญาแล้วว่าจะรับพวกเราเป็นทหารโจว พี่ใหญ่กระทั่งชื่อก็แจ้งไปแล้ว แล้วยังทำธงผืนหนึ่งด้วย”
ธงผืนหนึ่ง
คุณหนูจวินมองไปนอกประตู ในเรือนค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิโคมไฟส่องสว่าง โต๊ะหลายตัวผู้ชายผู้หญิงทั้งหลายล้วนยังคงกินดื่มคุยเล่นกันอยู่ กำแพงหลังร่างพวกเขา ธงใหญ่ผืนหนึ่งตั้งอยู่
กองทหารชิงซาน
“ต่อมาพวกเราก็เดินทางตามคำสั่งไปสถานที่มากมาย จากจัวโจวไปถึงอี้โจวมาถึงไหลหยวน” หยางจิ่งเอ่ย
“พวกเราเดินทางไปพลางก็รับผู้อพยพมาเป็นทหารใหม่ไปพลาง กองกำลังก็ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ” เซี่ยหย่งเอ่ย สีหน้าก็ภาคภูมิใจอยู่บ้าง
“น่าเสียดายแต่เพื่อไม่เปิดเผยตัวตน พวกเราจึงไม่เคยได้ใช้ธงของกองทหารชิงซาน” เซี่ยหย่งเอ่ย “พวกเราส่งข่าวให้ทหารโจวตลอด รับคำสั่งช่วยเหลือซุ่มโจมตี พวกเราทำงานมากมายนัก”
“พวกท่านต้องทำงานมากมายแน่” คุณหนูจวินเอ่ยท่าทางเลื่อมใส “อาจารย์กับพวกท่านล้วนร้ายกาจปานนั้น”
เซี่ยหย่งยิ้มแล้ว
“ที่จริงตอนนี้สิ่งของมากมายที่ใช้อยู่ตอนนี้ ตอนนั้นพวกเราก็ไม่มี ข้าวของมากมายทำออกมาต้องการเงินมาก” เขาเอ่ย “ตอนนั้นพวกเราไม่มีเกียรติเท่าตอนนี้ หากไม่ใช่ต่อมาพบองค์หญิงเข้า…”
คำพูดของเขามาถึงตรงนี้ก็พลันชะงัก หยางจิ่งที่อยู่ด้านข้างก็กระแอมหนักๆ ทีหนึ่ง
คุณหนูจวินก็ตะลึงวูบหนึ่งด้วย
ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเขาใส่ พวกเขาใช้ตอนนี้ อาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจเป็นเงินกองพะเนินนับไม่ถ้วน เงินเหล่านี้แม้ไม่เคยนับจำนวนแน่ชัด แต่ประมาณคร่าวๆ อย่างน้อยก็ต้องผลาญทรัพย์สมบัติตระกูลของตระกูลฟางครึ่งหนึ่ง
ส่วนนางก็เป็นองค์หญิงจริงๆ
แต่พวกเขารู้ว่าตนเองเป็นเจ้าหญิงได้อย่างไร… ไม่ ไม่ถูก ที่พวกเขาพูดไม่ใช่ตน เป็นองค์หญิงอีกพระองค์หนึ่ง
ไหลหยวน ต้าฉี เซียว…
‘แซ่นี้ดีหรือ?’
ในหูนางพลันมีเสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้น นึกถึงการคาดเดาในอดีตของตนเองอีกครั้ง
เซียว แดนเหนือตระกูลใหญ่แห่งใดแซ่เซียว? เจ้าแห่งแคว้นฉี แซ่เซียว
องค์หญิงเซียว
เป็นเช่นนี้จริงๆ
คุณหนูจวินมองหยางจิ่งกับเซี่ยหย่ง สีหน้าของพวกเขาไม่สบายใจอยู่บ้าง แล้วยังมองสีหน้าของนางอย่างระมัดระวัง คล้ายกังวลว่านางจะสังเกตหรือไม่
ต้าฉีกับต้าโจวไม่ได้กลมเกลียวอย่างไรนัก หากให้ชาวโจวรู้ว่าองค์หญิงผู้สิ้นชาติของต้าฉีอยู่ในเขตของต้าโจว ต้องจับเอาไว้แน่
“ถ้าอย่างนั้นต่อมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกเล่า?” คุณหนูจวินคล้ายไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่อดทนรอไม่ไหวเอ่ยถาม “พวกท่านไร้ชื่อไร้นามได้อย่างไร แล้วทำไมตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เขาจางชิงซาน แล้วอาจารย์ทำไมจากไปเพียงลำพังไม่กลับไปสิบกว่าปี?”
ที่นางสนใจที่สุดตลอดมาก็คืออาจารย์ของนางนี่นะ ก็ดี ก็ดี หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งล้วนลอบโล่งอกกับตนเอง แล้วถอนหายใจต่อหน้าอีกที
“ต่อมาพวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เซี่ยหย่งเอ่ย “ครั้งนั้นพวกเรารับภารกิจใหญ่อันหนึ่ง ต้องการให้พวกเราไปขวางและโจมตีทัพใหญ่ของชาวจิน บอกว่าทัพหน้ามีเพียงห้าพันคน ผลสุดท้ายพวกเราไปแล้วพบว่าไม่ใช่ทัพหน้าสักนิด แต่เป็นกำลังหลักของทัพใหญ่ กำลังพลเกือบสิบหมื่น”
สิบหมื่น
คุณหนูจวินอดไม่ได้กำมือแน่น
“ด้วยการนำของพี่ใหญ่ ท้ายที่สุดพวกเราก็ฝ่าออกจากวงล้อมแน่นหนาได้ แต่กลับเปิดเผยร่องรอย เพื่อสลัดการไล่ล่าสังหารของทหารจิน พวกเราสิ้นเปลืองแรงอ้อมวกลดเลี้ยวสองปีกว่าถึงพาคนที่โชคดีเหลือรอดพาครอบครัวภรรยากับลูกออกจากเขตจินได้” หยางจิ่งเอ่ย แม้ผ่านไปสิบกว่าปี คิดถึงความโหดร้ายตอนนั้นก็ยังอดไม่ได้ทั้งร่างแข็งทื่อ
มือของคุณหนูจวินกำพนักแขนแน่น
คนที่โชคดีเหลือรอด
ก่อนหน้านี้บอกว่ากำลังพลของพวกเขายิ่งมากขึ้นทุกที บอกว่าพวกเขารับผู้อพยพตามทางเสริมกำลังพล บอกว่าพวกเขาพบกับองค์หญิงแห่งแคว้นเซียว หลังจากนั้นถึงมีเงิน จึงสร้างอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจนานาชนิดออกมาได้
มีอาจารย์ที่ร้ายกาจเป็นผู้นำ มีทรัพย์ของแคว้นฉีที่องค์หญิงเซียวครอบครองเป็นที่พึ่ง มีกำลังคนจำนวนมาก มีอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจ
แต่ท้ายที่สุดคนที่โชคดีเหลือรอดก็คือชาวเขาไม่ถึงหนึ่งร้อยคนเหล่านี้ในเขาจางชิงซาน
ศึกนั้นการหลบหนีเอาชีวิตรอดช่วงนั้นจินตนาการได้เลยว่าคนตายไปเท่าไร จินตนาการได้ว่ายากลำบากไม่ง่ายมากปานใด
“ต่อมาเล่า?” คุณหนูจวินรีบร้อนเอ่ยถาม
“ต่อมาพี่ใหญ่จะไปตามหาแม่ทัพที่รับผิดชอบติดต่อ ประการแรกถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข่าวถึงผิดพลาดใหญ่ปานนี้” เซี่ยหย่งเอ่ย “แล้วถือโอกาสที่กลับมาแล้วจะให้พวกเรากองทหารชิงซานเข้าสังกัดอย่างเป็นทางการ สรุปความดีความชอบมอบรางวัล”
คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ
“นี่เป็นเรื่องสมควร” นางเอ่ย
เซี่ยหย่งยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้กลับคล้ายจะร้องไห้อยู่บ้าง
“แม่ทัพคนนั้นตายแล้ว” เขาเอ่ย
ตายแล้ว…
คุณหนูจวินตะลึง
“แม่ทัพคนนั้นชื่ออะไร?” นางเอ่ยถาม
“ชื่อเจี่ยงเจ๋อ” หยางจิ่งเอ่ย
เจี่ยงเจ๋อ นางรู้จักคนผู้นี้ นี่เป็นแม่ทัพมีชื่อตอนนั้น น่าเสียดายที่ศึกใหญ่เมืองต้าหมิงป่วยกะทันหันตายไป หลังจากนั้นถึงมีแม่ทัพอย่างโจวเจียงรับช่วงต่อแสดงความสามารถสร้างชื่อ
“เขาตายแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่พวกท่านทำหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ย
เซี่ยหย่งส่ายศีรษะ
“พวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนทั้งหมดล้วนไม่รู้จักพวกเรากองทหารชิงซาน” เขาเอ่ย “แต่นับเวลาดู ชัยชนะครั้งใหญ่เมืองต้าหมิงที่พวกเขาพูดก็คือสิ่งที่ได้มาจากการที่พวกเราขวางกำลังหลักของกองทัพจินไว้ นี่ก็คือความดีความชอบของพวกเรา พวกเขาทำไมจะไม่รู้?”
“หลังจากนั้น ชาวจินลอบโจมตี เมืองหลวงถูกล้อม ฮ่องเต้ถูกจับตัว” เซี่ยหย่งเอ่ย “แดนเหนือทั้งหมดวุ่นวายอีกครั้ง ยิ่งไม่มีใครสนใจเรื่องของพวกเราแล้ว”
“เวลานั้นวุ่นวายเหลือเกิน พวกเราก็เสียหายหนักหนา นอกจากนี้ก็ไม่รู้ว่าทหารโจวมองพวกเราอย่างไร ดังนั้นพวกเราจึงหลบไปอาศัยอยู่ที่เขาจางชิงซาน” หยางจิ่งเล่า “พอดีนิวหนิ่วก็เกิดออกมา”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าหยางจิ่งก็มืดหม่นลงอีกหน
ได้ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของคุณหนูจวินก็มืดหม่นลงด้วย
หลังจากนั้นนิวหนิ่วเกิดมาก็ป่วย
อาจารย์กลับอับจนหนทาง
อดีตเร่าร้อนจะสร้างคุณงามความชอบสร้างผลงานใหญ่กลับไม่สำเร็จสักสิ่ง พี่น้องทั้งหลายแทบล้มตายหมดสิ้น ลูกสาวของเขายังเป็นโรคเช่นนี้อีก
คิดดูก็รู้ว่ายามนั้นอาจารย์จะรู้สึกอย่างไร
เป็นคนโง่คนหนึ่ง
เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่ตนทำไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เขาก็เหมือนคนโง่คนหนึ่งสินะ
คุณหนูจวินรู้สึกเพียงดวงตาขัดเคือง
ในห้องจมลงสู่ความเงียบครู่หนึ่งด้วย
เสียงคุยเล่นหัวเราะในลานด้านนอกยังดังอยู่ ลมใบไม้ผลิพากลิ่นสุรามา มอมเมาคนยิ่งนัก