Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 67 พวกเจ้ามีความผิด
เสียงร้องสรรเสริญค่อยๆ หายไป
ความตื่นเต้นฮึกเหิม ความสงสัยใคร่รู้บนใบหน้าชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็สลายไปด้วย ที่มาแทนที่คือไม่รู้จะทำอย่างไร
ผู้ร่ำเรียนหนังสือเหล่านี้ชาวบ้านทั้งหลายนับถือย่างสูง เรื่องที่พวกเขาทำ คำที่พวกเขาพูด เวลาส่วนใหญ่ฟังไม่เข้าใจ แต่รู้ว่ามีเหตุผลยิ่ง
เวลานี้เห็นนักเรียนและบัณฑิตเหล่านี้สวมชุดผ้าป่านยาว สีหน้าเคร่งขรึมนั่งหลังตรง ไม่ร้องไห้ตะโกนกล่าวโทษ แต่ทุกคนก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องสำคัญมาก
ภาพนี้คลับคล้ายว่าเคยเห็นมาก่อน ครั้งนั้นรัชทายาทจากไปเพราะประชวร อดีตฮ่องเต้ประกาศให้ฉีอ๋องเป็นรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังค์ บรรดาขุนนางฮือฮา เหล่าบันฑิตก็ไม่อยู่เฉย เหล่าขุนนางสวมชุดขุนนางคุกเข่าขอร้องอยู่หน้าพระราชวัง ส่วนเหล่านักเรียนและบัณฑิตสนับสนุนการสืบสันติราชวงศ์อยู่นอกเมือง
ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะเรียกร้องอะไรอีก ทำไมต้องด่าเฉิงกั๋วกงว่าเป็นทหารล่มชาติด้วย?
อีกอย่างการเรียกร้องของพวกเขาครั้งก่อนถูกองครักษ์เสื้อแพรผู้ประหนึ่งพยัคฆ์ประหนึ่งสุนัขป่าทำลาย ไม้กระบองดาบหอกโลหิตกลั่นกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้คนพูดถึงก็ใจผวา
ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เล่า?
สายตาของชาวบ้านทั้งหลายมองไปทางกองทหารของเฉิงกั๋วกงด้านนั้น
ทหารหลายพันที่ตั้งกระบวนทัพเวลานี้หยุดยืนนิ่ง นอกจากธงในกองทัพที่ถูกลมพัดขยับก็เงียบไปหมด คันศรสะพายอยู่ด้านหลัง ดาบหอกห้อยอยู่ด้านข้าง บรรยากาศฆ่าฟันเต็มเปี่ยม
เทียบกับองครักษ์เสื้อแพร ทหารเหล่านี้หากลงมือสังหารคงยิ่งน่ากลัวกระมัง
“ทำไมพูดเช่นนี้ จะเอาเฉิงกั๋วกงมาเทียบกับองครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไร” มีคนเอ่ยพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นเฉิงกั๋วกงจะกลายเป็นอะไรเล่า”
ขุนนางชั่วช้าข้าราชการผู้โหดเหี้ยม?
นั่นยังเป็นเฉิงกั๋วกงที่ทุกผู้คนเลื่อมใสในคำเล่าลืออีกหรือ?
หรือ คำเล่าลือก็เป็นเพียงคำเล่าลือ?
คำเล่าลือเป็นเพียงคำเล่าลือ
เล่าลือว่าทุกผู้คนเคารพขอบคุณที่พวกเขาปกบ้านป้องเมือง ทว่าตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเห็นคืออะไร?
“ทำไม?” เหลยจงเหลียนเอ่ยพึมพำ
เผชิญหน้ากับพ่อค้าเหล่านั้นที่ขวางทาง เขายอมรับคำอธิบายว่าชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวายสร้างเรื่องได้ แต่บัณฑิตกับนักเรียนเหล่านี้เล่า?
พวกเขาเป็นผู้ร่ำเรียนหนังสือ พวกเขารู้แจ้งเหตุผล รู้จักละอายบาป พวกเขาย่อมไม่ใช่ชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวาย นอกจากนี้เรื่องที่พวกเขาทำก็ย่อมมีเหตุผลแน่นอน เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
พวกเขาถูก ถ้าอย่างนั้นพวกเราคนเหล่านี้ก็เป็นคนผิดหรือ?
ทำไม? ทำไมต้องทำเช่นนี้กับพวกเรา?
ครั้งนี้คนด้านข้างก็ยังคงยิ้มหยัน แต่ไม่ได้เยาะหยันมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเช่นนั้นอย่างก่อนหน้า
“ไหนเลยมีทำไมมากปานนั้น” จินสือปาเพียงเอ่ยเย็นชา
ความคิดของพวกทหารทั้งหลายกับเหลยจงเหลียน จ้าวฮั่นชิงกลับไม่มีอย่างสิ้นเชิง มองเห็นคนขวางทางก็ปลดคันศรควบม้าจะไปข้างหน้าทันที
แม่ทัพหลายคนตกใจสะดุ้งโหยง พวกเขาล้วนรู้ว่าเด็กสาวคนนี้กล้าฆ่าคนจริงๆ
ไม่เพียงสังหารโจรจิน กระทั่งประชาชนต้าโจวก็ฆ่า ขอแค่สั่งคำเดียว
กองทหารชิงซานเหล่านี้แม้ไม่ใช่แค่ไม่กี่สิบคนอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว แล้วก็กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาแล้ว แต่ในใจพวกเขาล้วนรู้ชัดยิ่ง พูดถึงอิทธิพลในกองทหารชิงซาน พวกเขายังสู้เด็กสาวสองคนไม่ได้
“แม่นางเสี่ยวชิง แม่นางเสี่ยวชิง ครั้งนี้ลงมือฆ่าไม่ได้” พวกเขารีบร้อนตะโกนเรียกนางไว้
จ้าวฮั่นชิงรั้งม้ามองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมเล่า? พวกเขาขวางทางนะ” นางเอ่ย
แต่พวกเขาเป็นปัญญาชน เป็นคนมีการศึกษา เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน เป็นบัณฑิต
เดิมทีแม่ทัพฝ่ายทหารต่อหน้าปัญญาชนก็ต่ำกว่าขั้นหนึ่งอยู่แล้ว ไหนเลยจะเข่นฆ่าสังหารพวกเขาได้?
เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ยต่อ
“ไปลองถามพวกเขาก่อนเถอะว่าขวางทางทำไม” เขาเอ่ย
บรรดาแม่ทัพทั้งหลายก้าวออกมาทันที
“ท่านกั๋วกงพวกเราไปถามเอง” พวกเขาเอ่ยขึ้นเสียงพร้อมเพรียง ยากปิดบังความโกรธแค้น
คนเหล่านี้รังแกกันเกินไปแล้ว หากท่านกั๋วกงไปพบพวกเขาเช่นนี้ เสียหน้าเกินไปแล้วจริงๆ
เฉิงกั๋วกงยกมือห้าม
“ไม่ต้อง” เขาเอ่ยขึ้น
แน่นอนเวลานี้เฉิงกั๋วกงออกหน้าย่อมโน้มน้าวผู้คนได้มากกว่า แสดงให้เห็นว่าถ่อมตัวใกล้ชิดประชาชน
บรรดาแม่ทัพคิดในใจ กลับเห็นเฉิงกั๋วกงพยักหน้าให้จ้าวฮั่นชิง
“ฮั่นชิงก็พอแล้ว” เขาเอ่ย
เอาเถอะ ท่านกั๋วกงก็คือท่านกั๋วกงจริงๆ
จัดการพ่อค้าก็แม่นางน้อยคนนี้ จัดการนักเรียนและปัญญาชนเหล่านี้ก็แม่นางน้อยเหมือนกัน เสมอภาคเท่าเทียมจริงๆ
บางครั้งเสมอภาคเท่าเทียบกลับเป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง
“มีคำสั่งไม่ปฏิบัติตาม ตีได้ไหม?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม
“แน่นอน” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย
ตี ตีจริงหรือ?
บรรดาแม่ทัพทั้งหลายสีหน้าลังเล เพราะแนวคิดขวาฝ่ายพลเรือนซ้ายฝ่ายทหารซึมลึกอยู่ในจิตใจคน แม้พวกเขาตำแหน่งขุนนางไม่เล็ก แต่ผู้มีการศึกษาเหล่านี้ต่อให้ตัวเปล่าก็ยังยำเกรงอยู่บ้าง
ไม่ ก็ไม่อาจพูดว่าขุนนางฝ่ายทหารล้วนกลัวปัญญาชน มีคนฐานะหนึ่งที่ไม่กลัว นั่นก็คือองครักษ์เสื้อแพร
ความคิดแล่นผ่านบนใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มขมขื่น
พวกเขาออกหน้าพรั่งพรมโลหิตร้อนร้อยสงครามกลับมา ไม่กล้าเรียกตนเองว่าภักดีกล้าหาญ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะตกต่ำจนมีภาพลักษณ์เยี่ยงองครักษ์เสื้อแพร
จ้าวฮั่นชิงไม่ลังเลสักนิดควบม้าเร็วรี่จากไป
เสียงกีบเท้าม้ากุบกับท่ามกลางกองทัพที่นิ่งขรึมสะดุดหูอย่างยิ่ง ตัดผ่านกองทัพ หยุดอยู่กลางถนนตรงหน้าเหล่าปัญญาชนกับนักเรียน
“นี่ พวกเจ้าก็ไม่พอใจคำสั่งอะไรของทางการเหมือนกันหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม
นักเรียนหลายคนที่อยู่หน้าสุดเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กสาวปรากฎตัวตรงหน้าไม่ได้ประหลาดใจ แล้วก็ไม่ได้ไม่พอใจที่สตรีก้าวออกมาถาม
พวกเขาสีหน้านิ่งสงบ
“หาใช่ไม่” บัณฑิตคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “พวกเราไม่ได้ไม่พอใจอะไรต่อทางการ”
ไม่รึ?
จ้าวฮั่นชิงงุนงงเล็กน้อย
“พวกเราเพียงไม่พอใจต่อเฉิงกั๋วกงเท่านั้น” บัณฑิตเอ่ยต่อ
เฉิงกั๋วกงบอกเพียงว่าคนที่ไม่พอใจต่อทางการฆ่าได้ แต่ไม่ได้บอกว่าหากไม่พอใจเขาให้ทำอย่างไร จ้าวฮั่นชิงไม่ได้เอาคันศรดาบหอกออกมาแล้วก็ไม่ได้ออกคำสั่ง ยื่นมือนวดหว่างคิ้ว
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องการอย่างไร?” นางเอ่ยถาม
“พวกเราขอให้เฉิงกั๋วกงลงจากม้า สลายทหาร ถอดเกราะวางหมวก สวมเครื่องจองจำขอรับโทษหน้าวังหลวง” บัณฑิตที่เป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง
ขอรับโทษ?
ชาวบ้านรอบด้านฮือฮา
ราชสำนักบอกว่าจะพระราชทานรางวัลให้เฉิงกั๋วกงชัดๆ ทำไมคนเหล่านี้จะให้เขาขอรับโทษ?
ผู้มีการศึกษาเอ่ยวาจาย่อมต้องมีเหตุผลอยู่ประมาณหนึ่ง บรรดาชาวบ้านทั้งหลายสีหน้าประหลาดใจไม่เข้าใจ แต่ก็แค่พากันถกเถียงเสียงเบา ไม่มีใครออกปากโต้แย้ง
“ทำไม?” จ้าวฮั่นชิงถามคำถามที่ทุกคนสงสัยออกมา “เฉิงกั๋วกงมีความดีความชอบอยู่ชัดๆ”
คำพูดนี้ออกจากปาก แม่ทัพทั้งหลายในกระบวนทัพพลันสีหน้าร้อนรน
คำนี้ถามไม่ได้นะ
อย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ตนเองสงสัยไม่เข้าใจก็หลุดปากถามแล้ว
นาทีนี้เวลานี้ไม่อาจให้คนเหล่านี้มีโอกาสพูดได้นะ
พวกเขาอดไม่ได้จะก้าวออกไป แต่สายไปเสียแล้ว
“เฉิงกั๋วกงไร้ความชอบมีความผิด”
บัณฑิตด้านนั้นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้นเสียงใสกังวาน ไม่รอจ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามอีกก็มองมาทางกระบวนทัพด้านนี้แล้วยกมือขึ้น
“ความผิดประการที่หนึ่ง ไม่เชื่อฟังบัญชาฮ่องเต้ ละโมบความชอบบุ่มบ่ามบุกจนทหารหลายหมื่นจบชีวิต”
“ความผิดประการที่สอง จิตใจเจ้าเล่ห์ แก่งแย่งยึดติดอำนาจ จนไม่สนความปลอดภัยของชาติความสงบสุขของประชาชน”
“ความผิดประการที่สาม ชอบศึกกระหายสงครามจนอาวุธไม่ได้วาง สิ้นเปลืองท้องพระคลัง ลำบากประชาชนสูญเสียทรัพย์”
“ความผิดประการที่สี่ กำเริบเสิบสานหลงระเริง เรียกร้องรางวัลต้องการชื่อเสียง ชักนำให้ขุนนางผู้อื่นลอกเลียนทำลายการปกครองกองทัพ”
ยังไม่จบ บัณฑิตมากกว่าเดิมลุกขึ้นยืน ยื่นมือชี้ทหารในกระบวนทัพ พวกเขาสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว แววตาโกรธแค้น
“แต่ไหนแต่ไรมาพวกเจ้าชมชอบรบทัพจับศึก ถือสงครามเป็นเกียรติยศ ชายแดนไม่มีวันใดสงบ สงครามไม่มีวันจบสิ้น”
“พวกเจ้ามีแต่ใจหวังผลประโยชน์ ไม่มองเรื่องของประเทศชาติ มองข้ามประชาชน การกระทำของพวกเจ้าเป็นการทำลายชาติทำร้ายประชาชนอย่างแท้จริง”
“พวกเจ้ายังกล้าอวดความดีเรียกร้องความชอบเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ต่อไปต้าโจวของพวกเราจักยิ่งไม่สงบ บ้านเมืองจะล่มด้วยน้ำมือของพวกเจ้า”
“เฉิงกั๋วกงจูซานจึงเป็นขุนนางล่มชาติ พวกเจ้าจึงเป็นทหารล่มชาติ”
แม้คนมากมายกำลังเอ่ยวาจาอยู่ แต่พวกเขาทุกคนเสียงชัดใสกระจ่าง กังวานมีพลัง แต่ละประโยคๆ ขว้างเข้ามาใส่กองทัพทหารด้านนี้ และดังกระจ่างชัดเจนในหูของชาวบ้านรอบด้าน
เป็นเช่นนี้หรือ?
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
พวกเขาทำสงครามกล้าหาญไม่ใช่เรื่องดีอะไร แล้วก็ไม่ใช่มีความชอบตรงกันข้ามกลับมีความผิดสินะ
พูดไปแล้วตอนแรกที่เกิดสงคราม ทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวนวันคืนไม่วางใจ ตอนที่ได้ยินว่าจะเจรจาสงบศึกก็ดีใจอย่างที่สุดจริงๆ แต่เฉิงกั๋วกงกลับคัดค้านการเจรจาสงบศึกแล้วยังทำสงครามกับชาวจินอีก
ชาวจินโกรธแค้นมากลั่นวาจาว่าจะส่งทหารมาอีกสิบหมื่น เป็นเช่นนี้ต่อไปสงครามคงไม่จบไม่สิ้นจริงๆ
สิ้นเปลืองเงินทอง ร้านค้าล้วนเริ่มเรียกเก็บเงิน เบี้ยหวัดของขุนนางทั้งหลายก็หยุดจ่าย เห็นได้ว่าท้องพระคลังว่างเปล่าถึงขั้นใดแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนต้องใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนไม่มีสักวันได้สงบสุข
ทหารคืออาวุธร้าย เป็นเช่นนี้จริงๆ
สีหน้าของประชาชนทั้งหลายอารมณ์สับสนปนเป สายตาที่มองไปทางทหารทั้งหลายเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว
บรรดาทหารทั้งหลายก็สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน
แม้ถ้อยคำที่บัณฑิตพูดนี้ส่วนใหญ่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ แต่ประโยคสุดท้ายฟังเข้าใจแล้ว
ส่วนสายตาของประชาชนทั้งหลายรอบด้าน พวกเขาก็มองเข้าใจแล้ว
ทหารผู้ล่มชาติ ทหารผู้มีความผิด
ที่แท้พวกเขาคือตัวตนเช่นนี้หรือ?