Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 70 ด่าคำหยาบหนึ่งประโยค
เรื่องที่เกิดขึ้นฝั่งนั้นของเฉิงกั๋วกงจะหนีพ้นสายตาขององครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไร
เป็นเช่นนี้ก็ดี ให้ลู่อวิ๋นฉีพูดออกมา ดีกว่าพวกเขาพูดออกมา
ในใจขุนนางใหญ่โล่งออกหลุบตาถอยหลัง ปลายหางตาเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างตัวคือหวงเฉิง
เหมือนเช่นฮ่องเต้ เวลานี้สีหน้าเขาเคร่งขรึม
แต่นี่ไม่ถูกต้องสิ เมื่อครู่หวงเฉิงยังยิ้มอยู่เลย
หวงเฉิงไม่เคยปิดบังความแตกแยกระหว่างตนกับเฉิงกั๋วกง ยิ่งไม่ปิดบังความดีใจยามได้เห็นเฉิงกั๋วกงพบการกลั่นแกล้ง
ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงยิ้มอยู่ตลอด
ตอนนี้ยิ่งสมควรหัวเราะ ฮ่องเต้รู้เรื่องของเฉิงกั๋วกงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เสียหน้ายิ่ง น่าโมโหยิ่ง และต้องทรงพาลโกรธเฉิงกั๋วกงแน่ ความดีความชอบสรรเสริญไม่สำเร็จกลับจะถูกประณาม
นี่เป็นเรื่องที่หวงเฉิงอยากเห็นมากยิ่งกว่า เขาสมควรยิ้มสิ? หรือเพื่อแสดงว่าร่วมโศกเศร้ายินดีกับโอสรสวรรค์?
เสียงโห่ร้องอื้ออึงของชาวบ้านยังคงดังมา ฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ถามถึงเฉิงกั๋วกงอีก ดูเหมือนหมดความสนใจ
เหล่าขุนนางใหญ่ย่อมไม่เอ่ยถึงอีก ทิ้งมือลงยืนเคร่งขรึม
ลู่อวิ๋นฉีเดินลงมาจากกำแพงวังแล้ว สีหน้าของหัวหน้ากองพันเจียงที่รออคอยอยู่เคร่งขรึมและยากปิดบังความวิตกบนนั้น
“เพราะพักนี้คนที่เดินทางมาเมืองหลวงมากเป็นพิเศษ ผู้น้อยจึงเลินเล่อ…” เขาเอ่ยเสียงเบา
“เกือบหมื่น” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น
หัวหน้ากองพันเจียงสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวก้มศีรษะลง
นั่นเป็นคนเกือบหมื่น คนเป็นๆ เดินได้วิ่งได้พูดได้ ต้องกินต้องดื่มต้องนอน ไม่ใช่สามคนแล้วก็ไม่ใช่คนตายที่ซ่อนได้
คนมากมายปานนี้จนกระทั่งนาทีนี้ถึงเพิ่งถูกพบ น่าขันเกินไปแล้วจริงๆ
พวกเขาได้ชื่อว่าองครักษ์เสื้อแพรที่ไม่มีสิ่งใดไม่รู้ ในเมืองหลวงขอทานคนหนึ่งพูดอะไรพวกเขาล้วนสืบออกมาได้ คนอพยพแดนเหนือนับหมื่นมาถึงเมืองหลวงเงียบๆ ถึงกับไม่รับรู้สักนิด
เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลมาบอกปัดจริงๆ
“ผู้น้อยยินดีตายรับโทษ” หัวหน้ากองพันเจียงคุกเข่าลงเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีเดินผ่านเขาไปด้านหน้า
“นี่เกี่ยวอันใดกับเจ้า” เขาเอ่ย “ก็ไม่ใช่เจ้าส่งคนมานี่”
ลู่อวิ๋นฉีถูกเรียกว่ายมราช กับบางคนบางเรื่องกำหนดเป็นตายได้จริงๆ
ไม่มีใครยินดีตาย ในใจหัวหน้ากองพันเจียงก็ยินดีคลุ้มคลั่งที่หนีรอดพ้นความตาย แต่ก็ยังวิตกกระวนกระวายอยู่ เขาย่อมรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับฮ่องเต้
“ใต้เท้า” เขารีบลุกขึ้นตาม “แต่ฝ่าบาท…”
“ฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้พวกเราทำเรื่องนี้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางเดินตัดผ่านในแถวของขุนนางไป
แบบนี้ก็ได้หรือ? ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฝ่าบาทเพียงให้พวกเขาจับตาการเคลื่อนไหวของแต่ละฝั่ง แต่ละฝั่งนี่ไม่ได้รวมถึงผู้อพยพแดนเหนือ
หัวหน้ากองพันเจียงก้าวเท้าตามลู่อวิ่นฉี
“คนเหล่านี้ปะปนอยู่ในหมู่พ่อค้า มาจากทางน้ำทางบกสลับผลัดเปลี่ยน เพราะพักนี้คนเข้าเมืองหลวงมาก พ่อค้าก็ดี มาดูเฉิงกั๋วกงก็ดี ส่วนผู้อพยพก็ยิ่งเห็นบ่อย…” เขายังคงเอ่ยอธิบาย “ประมาทเลินเล่อแล้วจริงๆ”
นี่ก็คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นถึงคนเกือบหมื่นเชียวนะ ต่อให้องครักษ์เสื้อแพรไม่ได้สนใจจริงๆ แต่หากไม่ได้ตั้งใจปะปนแยกย้ายเข้ามาย่อมต้องดึงความสนใจแน่ นอกจากนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการวางแผนปิดบังกลบเกลื่อนร่องรอยอย่างตั้งอกตั้งใจ แค่ค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองไปของคนหมื่นคนนี้ก็ราคาสูงเท่าฟ้าแล้ว
วิธีนี้คนธรรมดาคิดไม่ออกจริงๆ …
“วิธีนี้ก็มีแต่นางที่ทำออกมาได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยแล้วยิ้ม
นางที่ทำให้ลู่อวิ๋นฉียิ้มได้มีเพียงคนเดียว
“แต่ไม่พบร่องรอยของคุณหนูจวินเลยนะขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย “หนูดินก็ไม่มีข่าวคร่าว คิดว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี”
“แม้หนูดินร้ายกาจ แต่จัดการท่านชายก็ยังด้อยอยู่บ้าง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
“ข่าวสุดท้ายคือพวกเขาเดินทางร่วมกัน ต่อให้พวกเขาสลัดคนของพวกเรา แต่จัดการผู้อพยพเกือบหมื่นไม่มีทางไม่เผยร่องรอยแม้แต่นิดได้” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย หากไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางไม่ค้นพบเรื่องผู้อพยพนี่ หาแล้วว่าไม่เห็นคุณหนูจวิน
ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้า เวลานี้พวกเขาดินมาถึงบนถนนเสด็จพระราชดำเนินแล้ว องครักษ์เสื้อแพรสองฝั่งยืนนิ่ง
“นางต้องมาแน่” เขาเอ่ยขึ้น
……………………………………….
……………………………………….
ฝูงชนมืดฟ้ามัวดินมาถึงตรงหน้าทุกคน ความเงียบที่เกิดขึ้นเพราะความตื่นตะลึงยามแรกหายไปไม่เหลือแล้ว ต่อให้บัณฑิตกับชาวบ้านฝั่งนี้ยังคงรักษาความเงียบอยู่ คนหมื่นคนที่รวมตัวกันยังไม่ต้องพูดถึงทุกคนเอ่ยหนึ่งประโยคจะสร้างเสียงอื้ออึงได้มากเท่าไร เพียงหายใจก็ทำให้ฟ้าดินผืนนี้ร้อนระอุ
เมื่อนายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ฟื้นกลับมาจากความตื่นตะลึงก็รีบร้อนก้าวเข้ามาเอ่ยถาม
“พวกเรามาชมเฉิงกั๋วกง!”
เสียงนี้ดังขึ้นระงม คนที่อยู่ด้านหน้าได้ยินคำถามพลันตอบเสียงดัง ด้านหลังไม่ได้ยินคำถาม แต่ได้ยินคนด้านหน้าตอบก็แย่งชิงกันตอบทันที
เสียงของคนหมื่นคนประหนึ่งสายฟ้าคำราม สะเทือนจนคนด้านนี้หวาดกลัวหน้าถอดสีอย่างไม่มีสาเหตุ
แต่ขณะที่ใจผวาเนื้อตัวสั่นก็มีคนสังเกตว่าท่ามกลางเสียงตะโกนประหนึ่งสายฟ้านี้นอกจากเฉิงกั๋วกง ยังมีคำที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินจำนวนหนึ่งเพิ่มมาด้วย
“พวกเรามาชมกองทหารชิงซาน”
กองทหารชิงซาน?
แม้แปลกหูไปบ้าง แต่ยังคงมีคนนึกขึ้นมาได้แล้ว ก็กองทหารที่ช่วยเฉิงกั๋วกงที่อี้โจวไง
เพียงแต่ทุกคนรู้สึกว่าล้วนเป็นกองทหารของเฉิงกั๋วกง ล้วนเป็นเกียรติยศของเฉิงกั๋วกง จึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นพิเศษ
มาดู คนมากมายเช่นนี้มาดู จะดูคนให้ตายเลยไหม?
คนมากมายเช่นนี้มาดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังปรากฏตัวพร้อมกันอีก
แต่มองให้ละเอียดก็คล้ายจะไม่แตกต่างอะไรกับชาวบ้านที่มุงดูเหล่านั้นก่อนหน้าที่พาทั้งครอบครัวพยุงผู้เฒ่าจูงเด็กมา ตื่นเต้นฮึกเหิมสงสัยใคร่รู้
บางทีนี่คงเป็นแผนของคนที่มีเจตนา เหมือนกับคนบางคนที่แฝงอยู่ในหมู่คนตอนนี้
เคลื่อนย้ายคนมากปานนี้มาสรรเสริญสร้างความฮือฮาก็มีเพียงคนใหญ่คนโตถึงทำได้ล่ะนะ
บุรุษผู้ไม่สะดุดตาคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนหรี่ตาสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุดครู่หนึ่ง ท่าทางกระจ่างขึ้นบ้างพยักหน้าให้คนไม่กี่คนในหมู่บัณฑิตและนักเรียน
บัณฑิตและนักเรียนพลันได้สติกลับมา ไม่มองชาวบ้านที่มาใหม่เหล่านี้อีกต่อไป มองกองทหารตรงหน้า ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
“เฉิงกั๋วกงลงม้า”
“เฉิงกั๋วกงถอดเกราะ”
พวกเขาตะโกนเสียงกร้าว มือชี้นายทหารตรงหน้าอีกหน
เหล่าทหารก็หวาดหวั่นอีกครั้ง อาชากรีดร้องกระสับกระสาย
ชาวบ้านที่มุงดูก็จดจ่ออีกหนเช่นกัน ทั้งยังตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะคนมากมายมาเกรงว่าตำแหน่งของตนจะถูกแย่ง พวกเขาจึงพากันแห่แหนเข้ามาด้วย
นายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ยิ่งเคร่งเครียดแล้ว พวกเขาด่าทอพยายามใช้กระบองดาบขวางขาวบ้านทั้งหลายสุดกำลัง
แต่พวกเขาก็รู้ ต่อหน้าคนนับหมื่นนี้เปล่าประโยชน์ หากคนเหล่านี้แห่เข้ามา พวกเขาคงต้านไม่อยู่แม้แต่น้อย
ยังดีชาวบ้านที่มาใหม่เหล่านี้ซื่อนัก ได้ยินเสียงด่าทอว่าไม่ให้เข้าไปก็ไม่เข้าไปจริงๆ แต่สีหน้าฮึกเหิมชะเง้อมองมาในเหตุการณ์
“เฉิงกั๋วกงจะออกมาหรือ?”
ได้ยินเสียงตะโกนของบัณฑิตนักเรียนทั้งหลาย ในหมู่พวกเขาก็มีเสียงไม่น้อยเอ่ยถาม
“คนเมืองหลวงต้อนรับอบอุ่นจริงๆ”
ดังนั้นเสียงตะโกนจึงดังขึ้นวุ่นวาย
“เฉิงกั๋วกง!”
“เฉิงกั๋วกง!”
ต่อให้ไม่ใช่คนทั้งหมดกำลังตะโกน แต่ในหมื่นคนคนน้อยนิดขยับนิดหน่อยก็เพียงพอข่มขวัญคนแล้ว
เฉินชีที่นั่งอยู่บนหลังคารถสีหน้าซีดขาว อดไม่ได้คว้าหลังคารถไว้ มองผู้คนรอบด้าน
ตอนนี้รถม้าของเขาถูกรุมล้อมอยู่ท่ามกลางฝูงชนดุจดั่งเรือใบไม้กลางผืนน้ำกว้างแล้ว
“ดีนัก ครานี้เฉิงกั๋วกงออกมา หนึ่งคนถ่มน้ำลายคำหนึ่งก็ท่วมเขาตายแล้ว” เฉินชีเอ่ยพึมพำ
“ไม่แน่” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ยังคงยืนอยู่พลันเอ่ยขึ้น เขาก็มองผู้คนรอบด้านด้วย “พวกเขาสำเนียงแดนเหนือ”
สำเนียงแดนเหนือแล้วอย่างไรเล่า? เฉินชีอึ้งไปวูบหนึ่งหลังจากนั้นความคิดหนึ่งก็โผล่พรึบออกมา ประหนึ่งไฟถูกจุดติด เผาเขาจนสะดุ้งโหยง
ไม่มีทางหรอก…
เห็นฝูงชนมากมายยุบยับที่ล้อมมา ฟังเสียงตะโกนชื่อเฉิงกั๋วกงที่สะเทือนแก้วหูแทบดับ คนในกระบวนทัพสีหน้ายิ่งไม่น่ามอง
“พวกเราทำอะไร ทำไมฟ้าพิโรธคนคั่งแค้น?” หลี่กั๋วรุ่ยที่เข้าเมืองหลวงครั้งแรกหมดความฮึกเหิมไปนานแล้ว สีหน้าซีดขาวแววตางุนงง “ทำไมกล้าหาญสังหารศัตรูไร้ความชอบแล้วยังมีความผิด?”
เขาพูดพลางหันหน้ามองข้างกาย สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือเซี่ยหย่งหยางจิ่งสีหน้านิ่งสงบ ไร้ความหวาดกลัวความวิตกยิ่งไม่มีความโกรธแค้น มีเพียงสีหน้าเรียบเฉยกว่าปกติ
“มีอะไรน่าโมโหเล่า” หยางจิ่งเอ่ยเรียบเฉย “ก็ไม่ใช่พบครั้งแรกเสียหน่อย”
อะไรเรียกไม่ได้พบครั้งแรก หรือก่อนหน้านี้พวกเขาก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน? หลี่กั๋วรุ่ยฟังจนเลอะเลือน
เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งกลับไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงนิ่งเฉยไม่ขยับ ในดวงตายังคงฉายแววเศร้าโศกลึกล้ำ
ดังนั้นครั้งนี้ก็ยังคงเป็นผลลัพธ์เช่นนี้หรือ
เหล่าแม่ทัพในกระบวนทัพสีหน้ายากปิดบังความหวาดกลัวเช่นกัน ภาพตรงหน้าเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการ ถึงกับปลุกระดมจัดการชาวบ้านมากปานนี้ได้ เห็นเฉิงกั๋วกงที่จะเดินไปข้างนอกต่ออีกหน พวกเขาก็ขวางไว้อีกครั้ง
“ท่านกั๋วกงไปไม่ได้นะขอรับ” พวกเขาเอ่ย “ครานี้หากออกไปก็มีแต่ยอมรับความผิดแล้ว”
เหล่านี้ล้วนเป็นประชาชนที่ถูกปลุกปั่น ทำร้ายไม่ได้ ด่าไม่ได้ อธิบายก็พูดได้ไม่ชัด ถึงเวลารุกไม่ได้ถอยไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้คนเหล่านี้จับวาง”
“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็พูดกันสักหน่อยเถิด” เฉิงกั๋วกงยังคงสีหน้านิ่งสงบเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
และเวลานี้พลันได้ยินเสียงร้องรับที่ดังกังวานยิ่งขึ้นรอบด้าน เหล่าบัณฑิตกับนักเรียนกสีหน้าก็ยิ่งแน่วแน่ ท่าทางเหมือนชัยชนะอยู่ในกำมือห้าวหาญไม่ลังเล
“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด!”
“ทหารกบฏไสหัวออกไปจากเมืองหลวง!”
หลังสองประโยคนี้ตะโกนออกมาฉับพลันรอบด้านพลันเงียบลง
ความเงียบนี้ไม่ใช่จะบอกว่าไม่มีคนร้องรับ แต่เทียบกับจำนวนคนที่รุมล้อมรอบด้านตอนนี้เวลานี้ คนที่ร้องรับยังคงเป็นชาวบ้านเหล่านั้นก่อนหน้านี้ ส่วนคนเหล่านี้ที่มาใหม่กลับสีหน้าประหลาดมองสถานการณ์
“เฉิงกั๋วกงมีความผิดรึ?”
“เฉิงกั๋วกงมีความผิดอะไร?”
“พวกเจ้าพูดผิดหรือไม่?”
จากนั้นเสียงเหล่านี้ก็ดังขึ้น กลบเสียงตะโกนของบันฑิตและนักเรียนกกับชาวบ้านก่อนหน้า
คนมาใหม่ก็ลำบากตรงนี้ ต้องอธิบายกันใหม่อีกรอบ บัณฑิตกับนักเรียนทั้งหลายในที่นั้นคิดในใจ
แม้รำคาญ แต่ประกาศความผิดของเฉิงกั่วกงอีกครั้งก็เป็นสิ่งที่พวกเขายินดียิ่ง ดังนั้นจึงมีคนสาธยายความผิดที่ไล่เรียงไปก่อนหน้านี้อีกครั้ง
สิ้นเสียงหนักแน่นและฮึกเหิมของพวกเขา ฝูงชนข้างกายก็อึกทึกฮึกเหิมตามอีกครั้งด้วย แต่ชาวบ้านเหล่านี้ที่มาใหม่ยังคงเงียบงันคล้ายกับตกตะลึงไปแล้ว
บนถนนใหญ่คล้ายเกิดเป็นโลกสองใบ ใบหนึ่งอึกทึก ใบหนึ่งเงียบสงบ ดูไปแล้วแปลกยิ่งนัก
เหล่าบัณฑิตและนักเรียนไม่ได้ไม่พอใจกับความเงียบงันเหล่านี้ ชาวบ้านน่ะเบาปัญญา ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขาชี้ทางสว่างให้เถอะ
“เฉิงกั๋วกง ลงม้า ถอดเกราะ สวมเครื่องจองจำรับโทษ” พวกเขาตะโกนโบกสะบัดป้ายผ้าทหารล่มชาติผืนนั้นในมือ
เสียงยังไม่ทันจบ ฉับพลันเสียงตวาดก้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“บัดซบ มารดาเจ้าสิ”
พร้อมกับเสียงตวาดก้องเสียงนี้ ของสิ่งหนึ่งก็ขว้างมา ตรงลงกลางศีรษะนักเรียนคนที่สะบัดป้ายผ้าคนหนึ่งพอดี
นักเรียนไม่ทันตั้งตัวถูกขว้างโซเซหลายก้าว มึนศีรษะตาลาย ไม่รอเขาได้สติ รอบด้านเสียงด่าก็ระเบิดกระหึ่มกึกก้อง
“บัดซบ มารดาเจ้าสิ”
เสียงประหนึ่งอสนีบาต คนประหนึ่งคลื่น มืดฟ้ามัวดินถาโถมโหมซัด
ชาวบ้านเมืองหลวงที่ต้องการเบียดครองตำแหน่งที่ดีที่สุดล้มคว่ำโซเซประหนึ่งถูกเขาถล่มใส่
ทหารผู้ทำหน้าที่ซึ่งต้องการรักษาระเบียบกระบองดาบพลันร่วงตกพื้น อึ้งงันถอยหลัง
ฝูงชนนับหมื่นพริบตาก็ล้อมคนเหล่านี้ไว้แล้ว
เฉินชีมองดูแล้วขนหัวลุก
“บัดซบ มารดาเจ้าสิ” เขาเอ่ยพึมพำกำหมัดแน่นเหวี่ยงสะบัดรุนแรง