Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 103 เขาไปวังไหวอ๋อง
บนถนนเสด็จพระราชดำเนินท่ามกลางแสงอรุณขมุกขมัว เฉิงกั๋วกงหันหัวม้าจากไป ผู้ติดตามร้อยคนก็ติดตามไปพร้อมเพรียงด้วย
แม้ไม่ได้ยินคำที่เขาพูด แต่ทุกคนล้วนสังเกตทุกกระทำทุกความเคลื่อนไหนของเฉิงกั๋วกงอยู่
“นี่คือจะไปที่ไหน?”
คนทั้งหมดล้วนวิพากษ์วิจารณ์พากันชี้นิ้ว
คงไม่ใช่จะหนีไม่เข้าประชุมหรอกนะ?
เรื่องไหวอ๋องถูกปีศาจรังควานต้องย้ายไปยังสุสานหลวงไม่ได้ปิดเป็นความลับ แต่จงใจจัดการให้หนึ่งวันหนึ่งคืนแพร่ไปทั่วเมืองหลวง แผนร้ายอุบายไม่ปิดบังสักนิด ก็เผยออกมาเปลือยเปล่าเช่นนี้ จะดูปฏิกิริยาของทุกคน
อดีตองค์รัชทายาทสิ้นไปเจ็ดแปดปีแล้ว เรื่องในอดีตเลือนลางไปพอประมาณแล้ว ไหวอ๋องที่ไม่ถูกเอ่ยถึงมานมนานฉับพลันถูกผลักมาตรงหน้าผู้คน ก็คือฮ่องเต้จะลองดูว่าเรื่องในอดีตคนในอดีตนี้ยังชักนำคลื่นใหญ่มาได้เท่าไร ลองดูว่ายังมีใครที่ยากลืมเลือนไมตรีเก่า
คนที่ยากลืมไมตรีเก่าเหล่านี้จะมีจุดจบอะไร เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนคิดออก
นี่ก็คือการกรองค้นรอบสุดท้าย นับจากนี้ไปจะไม่มีเรื่องในอดีตคนในอดีตอีก
คนอื่นล้วนพูดง่าย ทุกคนอยู่ในเมืองหลวงในราชสำนักมานานปีปานนี้ล้วนเคยถูกกรองมาหมดแล้ว ตอนนี้ก็ดูแค่เฉิงกั๋วกง
หลายปีปานนี้เขาไม่เข้าเมืองหลวง ปุบปับได้ยินเกี่ยวกับคนในอดีต จะคะนึงถึงเรื่องในอดีตหรือไม่? จะยากลืมไมตรีเก่าหรือจะตัดขาดวิ่งไปสู่อนาคต?
คนทั้งหมดล้วนกำลังรอดูทางเลือกของเขา นี่เป็นทางเลือกยากสองทาง
เผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากจะเลือก คนมักชอบเลือกหลบหนี นี่บางครั้งก็ไม่ใช่วิธีที่ดี
เรื่องนี้ก็เคยมีขุนนางไม่น้อยทำเช่นนี้ แต่นั่นล้วนเป็นแสร้งป่วยล่วงหน้า เฉิงกั๋วกงมาถึงถนนเสด็จพะราชดำเนินแล้วชัดๆ จะบอกว่าป่วยกะทันหันต้องกลับไปได้หรือ? นี่ก็เสแสร้งทำได้ไม่จริงใจเกินไปแล้ว
ขบวนของเฉิงกั๋วกงจากไปไกลช้าๆ สายตาของผู้คนติดตามอยู่ตลอด ฉับพลันก็มีคนสีหน้าเปลี่ยนไป
“ทิศทางนั่น…” เขาหลุดปากเอ่ย
ทิศทางนั่น!
สีหน้าของคนอื่นพลันเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึงด้วย
“ไม่ใช่กระมัง” มีคนเอ่ยพึมพำ
ทิศทางนั่นทุกคนล้วนไม่แปลกตา ใกล้กับถนนเสด็จพระราชดำเนิน ทำเลดีอย่างที่สุด แต่กลับมีเพียงสองครอบครัวอาศัยอยู่ ครอบครัวหนึ่งคือหัวหน้ากองพันลู่ ส่วนอีกหนึ่งคือวังไหวอ๋อง
เฉิงกั๋วกงไม่มีทางไปจวนหัวหน้ากองพันลู่ ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะไป…
วังไหวอ๋อง!
เฉิงกั๋วกงกำลังจะไปวังไหวอ๋อง!
บนถนนเสด็จพระราชดำเนินระเบิดเหมือนกระทะน้ำมันที่โยนเนื้อกระต่ายชิ้นโตลงไปของร้านผัดกระต่ายจางซึ่งคนมากมายกำลังล้อมอยู่
ทุนคนคาดเดาว่าเฉิงกั๋วกงจะก้าวออกมาแสดงว่าคัดค้านในการประชุม และคาดเดาว่าเขาไม่มีทางส่งเสียง ผลสุดท้ายคงไม่พ้นสองอย่างนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะลงมือก่อนการประชุม
เขาจะทำอะไร?
ไปเยี่ยมไหวอ๋องหรือ?
จะไปจริงรึ?
เฉิงกั๋วกงหยุดเท้า มองตำหนักหลังนี้เบื้องหน้า
คำว่าวังไหวอ๋องสามคำงดงามทั้งยังหนักแน่น สวยงามยิ่ง
แต่ผู้คนที่ยืนอยู่หน้าวังไหวอ๋องกลับไม่น่ามอง
พวกเขาสวมชุดปลาบินเหน็บดาบปักวสันต์สีหน้าเย็นชาซีดขาว แววตาเย็นเยียบ ทำให้คนมองใจผวา
เพียงแต่เวลานี้คนที่เผชิญหน้ากับพวกเขาไม่มีความหวาดกลัวสักนิด
“โปรดแจ้ง เฉิงกั๋วกงมาคารวะไหวอ๋อง” ผู้ติดตามคนหนึ่งถือป้ายชื่อแผ่นหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคารพทั้งยังนับถือ
ไม่มีองครักษ์เสื้อแพรรับป้ายแผ่นนี้ พวกเขาสีหน้างุนงงเล็กน้อย
คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือไม่ว่าอย่างไรไม่อนุญาตให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเข้าวังไหวอ๋อง แต่บิดาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงเล่า?
“ได้ยินว่าไหวอ๋องประชวรจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน” เฉิงกั๋วกงลงม้า เดินเข้ามาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา ผู้ติดตามทั้งหลายด้านหลังร่างก็ติดตาม นอกจากนี้ยังปรากฏรูปกระบวนทัพอย่างไม่รู้ตัวแต่มีระเบียบอีกด้วย
ผู้ติดตามเหล่านี้ของเฉิงกั๋วกงล้วนเป็นทหารกล้าในกองทัพ
พวกเขาไม่ได้เอาอาวุธออกมา ท่านกั๋วกงก็สีหน้าอ่อนโยน ทว่าแต่ละก้าวๆ ที่พวกเขาเดินเข้าใกล้ องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายพลันเกร็งร่างกำดาบในมือ
หากไม่ให้พวกเขาเข้าประตู พวกเขาจะฝืนฝ่า
นี่คือเจตนาของพวกเขาที่ไร้เสียงแต่ส่งมาอย่างชัดแจ้ง
หน้าวังไหวอ๋องฉับพลันบรรยากาศแข็งทื่อทำให้คนหายใจไม่ออกทันที
“ใต้เท้า”
หัวหน้ากองพันเจียงที่ยืนอยู่ใต้กำแพงไกลๆ เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจอยู่บ้าง
ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ
“ให้เขาเข้าไปจริงหรือขอรับ?” หัวหน้ากองพันเจียงอดไม่ได้ถามเพิ่มรอบหนึ่ง
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวเดินไปยังทิศทางของพระราชวัง
“เรื่องนี้ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่ต้องการผลลัพธ์หรือ?” เขาเอ่ย “ตอนนี้มีผลลัพธ์แล้ว”
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องถูกผลักเปิด องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายแยกออกสองด้านถอยหลบ
เฉิงกั๋วกงเงยหน้ามองป้ายอีกหน ห้ามเหล่าผู้ติดตาม จัดเสื้อผ้าก้าวขึ้นบันได ข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปในวังไหวอ๋องเพียงผู้เดียว
สายตาสอดส่องนับไม่ถ้วนรั้งกลับไป ข่าวแพร่กระจายประหนึ่งสายลม
……………………………………….
“เข้าไปแล้วจริงๆ รึ?”
หวงเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องรอเข้าเฝ้าเอ่ยขึ้น
แม้เขาตำแหน่งสูง แต่ทุกครั้งที่ประชุม ขณะที่ผู้อื่นยังทานอาหารเช้าคุยเล่นอยู่บนถนนเสด็จพระราชดำเนิน เขาก็นั่งอยู่ในห้องรอเข้าเฝ้าแล้ว หลายสิบปีล้วนเหมือนเดิม
ไม่ว่างานราชการทำได้อย่างไร ท่าทีที่แสดงออกต้องมาก่อน นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาได้มากับตนเอง
ได้ยินคำถาม เหล่าขุนนางเบื้องหน้าก็รีบร้อนพยักหน้า
“จริงแท้แน่นอนขอรับ ทุกคนล้วนมองเห็น หัวหน้ากองพันลู่ให้คนปล่อยไป เฉิงกั๋วกงเข้าไปคนเดียว” พวกเขาเอ่ย
หวงเฉิงร้องอ้อ
“ใต้เท้าตอนนี้จะทำอย่างไร?” ทุกคนเอ่ยถามอีก
หวงเฉิงหัวเราะแล้ว
“ไม่ทำอย่างไร นี่ไม่ใช่ออกจะดีรึ” เขาเอ่ย ลุกขึ้นจัดชุดขุนนาง สวมหมวกขุนนาง “เฉิงกั๋วกงไม่เสียทีเป็นแม่ทัพสงคราม ทำสิ่งใดเด็ดขาดฉับไวจริงๆ รักเกลียดแบ่งชัด ไม่เลว ไม่เลว”
ถูกหวงเฉิงทอดถอนใจชมว่าไม่เลว นั่นย่อมไม่เลวแล้วแน่นอน ผู้คนล้วนโล่งออกหัวเราะตามออกมาด้วย
และเวลานี้ทุกคนด้านในโรงหมอจิ่วหลิงที่ยังไม่เปิดประตูก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน
หลังตกตะลึงชั่วครู่ สายตาของทุกคนล้วนมองมาหาจูจั้น
“มองข้าทำอะไร? ข้าไม่รู้” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย สีหน้าสับสนอยู่บ้าง
นี่คือสิ่งที่บิดาตัดสินใจไว้ก่อนแล้วหรือคิดขึ้นมาชั่ววูบ?
อีกอย่าง บิดาทำเช่นนี้เพื่อใคร?
เพื่อไม่ส่งผลกับการตัดสินใจของบิดา เขาไม่ได้บอกบิดาเรื่องความยึดติดที่มีต่อวังไหวอ๋องของคุณหนูจวิน
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ครานั้นคุณหนูจวินก้าวออกมาในสถานการณ์เช่นนั้นจะไปรักษาไหวอ๋องให้ได้ จะเพียงเพื่อสร้างชื่อได้อย่างไรเล่า
เรื่องทางโลกเรื่องของคน ไม่ใช่เพื่อคนแล้ว เรื่องบางอย่างก็ไม่มีทางไปทำ
แต่บิดามองทะลุปรุโปร่งปานนั้น ตนไม่พูด เขาจะไม่รู้เชียวหรือ?
จูจั้นมองไปทางคุณหนูจวิน
ถ้าเช่นนั้นเขาทำเช่นนี้ เพื่อคุณหนูจวินหรือเพื่อผู้อื่น? ตัวอย่างเช่นไหวอ๋อง?
คุณหนูจวินก็กำลังมองมาหาเขา สีหน้าสับสนยิ่งเช่นกัน
“คิดไม่ถึงว่า…” นางเอ่ยพึมพำ “ท่านกั๋วกงจะทำเช่นนี้ได้”
ถ้าเช่นนั้นเฉิงกั๋วกงทำเพื่อตอบแทนบุญคุณของนางหรือเพื่ออย่างอื่น? ตัวอย่างเช่นไมตรีครั้งเก่า?
……………………………………….
เฉิงกั๋วกงหยุดยืน มองไปด้านหน้า
ตำหนักด้านหน้าแม้ขนาดเทียบกับตำหนักในพระราชวังจะเล็กกว่าอยู่บ้าง แต่ก็โอ่อ่าหรูหรา หน้าตำหนักขันทีนางกำนัลยืนตรงอยู่ ความน่าเกรงขามของพวกเขาน้อยกว่าขันทีนางกำนัลในพระราชวังมากนัก มักมีท่าทางสั่นเทาอยู่บ้างเสมอ ทำให้บรรยากาศการเข้าเฝ้าที่เดิมควรสง่างามอย่างยิ่งกลายเป็นพิกลอยู่บ้าง
เงาร่างเด็กน้อยคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตูตำหนัก ก้าวข้ามธรณีประตู ยืนอยู่บนบันได อาภรณ์ผ้าไหมเครื่องทรงหรูหรายืนมือไพล่หลัง
นี่ก็คือเด็กคนนั้นสินะ
เฉิงกั๋วกงมองปราดเดียวก็มองออก แน่นอนสถานการณ์กับเสื้อผ้าแสดงชัดยิ่ง แต่ที่เฉิงกั๋วกงกล่าวว่ามองออกคือใบหน้ากับท่าทางของเขา
เหมือนองค์รัชทายาททุกประการ
อ่อนแอแต่เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
องค์รัชทายาทป่วยบ่อยจึงเป็นเช่นนี้ ส่วนเด็กคนนี้ถูกกักขังนานปีปานนี้จึงเป็นเช่นนี้
“เจ้าก็คือเฉิงกั๋วกง?” เสียงเด็กที่อ่อนเยาว์อยู่บ้างดังขึ้น ขัดความคิดล่องลอยของเฉิงกั๋วกง
เฉิงกั๋วกงก้าวเท้ามาข้างหน้า ค้อมกายคุกเข่าข้างหนึ่งคำนับ
ในฐานะแม่ทัพแล้วยังเป็นกั๋วกง พบชินอ๋อง[1]ไม่ต้องคำนับเต็มรูปแบบ แต่เฉิงกั๋วกงยังคงคุกเข่าข้างเดียวลงไป
“กระหม่อมคือจูซานพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เจ้ามาพบข้ามีธุระอันใด?” ไหวอ๋องเอ่ยถาม
เฉิงกั๋วกงเงยหน้าขึ้น มองคนที่อยู่ตรงหน้า
เขาไม่มีความยินดี ไม่มีความระแวง ยิ่งไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความหยิ่งยโสนิดๆ ที่มากยิ่งกว่าคือความสงสัยใคร่รู้ของเด็กน้อย
เฉิงกั๋วกงพลันคิดถึงเด็กคนหนึ่งขึ้นมา
เด็กคนนั้นก็เคยมองเขาเช่นนี้
เด็กคนนั้น ไม่อยู่แล้ว
เฉิงกั๋วกงยื่นมือปลดถุงใบน้อยใบหนึ่งออกมา สองมือทูนขึ้น
“กระหม่อม มาเยี่ยมองค์ชาย” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “องค์ชาย ประสงค์จะเสวยกินผลไม้เชื่อมไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
……………………………………….
[1] ชินอ๋อง (亲王) บรรดาศักดิ์สูงสุดของเชื้อพระวงศ์ฝั่งชายรองจากองค์รัชทายาท