Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 109 ส่งคนเดินทางรวมถึงรอคนมา
เรื่องของไหวอ๋องประหนึ่งสายฝนฤดูร้อน สายลมหอบหนึ่งพัดมา สายลมหอบหนึ่งพัดไป
ฮ่องเต้ไม่ตรัสเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เฉิงกั๋วกงก็ไม่ยืนกรานจะส่งทหารมาขับไล่ปีศาจ เรื่องนี้เหมือนดั่งไม่ได้เกิดขึ้น แต่ใครๆ ต่างรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางผ่านไปแค่นี้ ทว่าเพิ่งเริ่มต้น
เวลานี้คุณหนูจวินไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้ ดังนั้นเรื่องส่งน้าเซียวไปสุสานของอาจารย์จึงได้แต่ผลัดไป
แต่น้าเซียวกลับปฏิเสธ
“สถานที่ เจ้าเขียนออกมาวาดออกมา พวกเราก็ไปได้” นางเอ่ยบอก
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งก็พยักหน้าด้วย
“พวกเราไปก็พอแล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ยบ้าง
“เจ้าก็ไม่ต้องไม่วางใจ” น้าเซียวอมยิ้มเอ่ย “ที่จริงเจ้าไม่ตามพวกเราไปยิ่งจะไม่เป็นไร คนที่พวกเขาเฝ้าระวังจับจ้องคือเจ้า พวกเราเคลื่อนไหวลำพังกลับจะไม่มีคนสนใจ”
นี่เป็นความจริงแน่นอน ตอนนี้คนที่จับจ้องนางไม่ใช่แค่องครักษ์เสื้อแพรแล้ว ฮ่องเต้ หวงเฉิงล้วนระแวงนางแล้ว หากนางออกไปข้างนอกระหว่างทางไม่สงบสุขแน่นอน
เพียงแต่…
“จิ่วหลิง” น้าเซียวลูบหัวไหล่นาง “ที่สำคัญที่สุดคือข้าไม่อยากรอแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่านาทีต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น เหมือนเขาที่ตอนนั้นบอกว่าไปสักพักก็จะกลับมา หลังจากนั้น…”
หลังจากนั้นก็ไม่กลับไปอีกเลย
คุณหนูจวินสูดจมูก
“ข้าไม่อยากรอ บอกจะไปตอนนี้ก็ไปเลย ส่วนเรื่องที่เจ้าทำก็ไม่อาจรอได้เช่นกัน” น้าเซียวเอ่ย “พวกเราต่างทำธุระของตนเอง ใครก็ไม่ต้องรอใคร หลังจากนั้นล้วนสำเร็จสมดั่งใจได้ทั้งหมด เช่นนี้ไม่ดีมากหรือ?”
คุณหนูจวินพักหน้า
“เจ้าค่ะ” นางเอ่ย “ข้าจะวาดออกมาเขียนออกมาเดี๋ยวนี้ อาหยางกับอาเซี่ยล้วนอ่านแผนที่เป็น พวกท่านต้องหาพบแน่ พวกท่านพาคนให้หมด”
น้าเซียวส่ายศีรษะยิ้มอีกครั้ง
“ไม่ต้อง น้องหยางพาพวกข้าไม่กี่คนไปก็พอแล้ว” นางเอ่ย “น้องเซี่ยแล้วก็นิวหนิ่วล้วนจะอยู่ที่นี่”
คุณหนูจวินกับเซี่ยหย่งตะลึงนิดหนึ่ง จ้าวฮั่นชิงกลับไม่มีปฏิกิริยาอันใด
“เจ้าก็บอกแล้วว่ายังมีธุระอีกมากมาย สิ่งที่พวกเราควรได้ไม่ง่ายกว่าจะได้มา ย่อมไม่อาจเสียไปได้อีก” น้าเซียวเอ่ยบอก “พวกเจ้ารั้งอยู่ที่นี่เฝ้าดูแลทุกสิ่งที่ไม่ง่ายกว่าจะได้มานี้ไว้”
นางพูดพลางลูบดวงหน้าของจ้าวฮั่นชิงอีกหน
“อีกอย่างหน้าของนิวหนิ่วก็ยังไม่หายดีโดยสมบูรณ์ อยู่กับพี่สาวของเจ้าอย่าถ่วงเวลารักษา รักษาหายดีหมดสิ้นแล้วค่อนไปพบ…”
นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิดหนึ่ง เกือบหลุดปากออกไปแล้ว
เรื่องการตายของจ้าวจื้ออี้ยังปิดบังนิวหนิ่วอยู่ ตอนนี้บอกนางว่ามีข่าวแล้ว จะไปสถานที่แห่งนั้นตามหาคน
“ค่อยไปหาข้า ถึงเวลาให้เขาได้ลองมองต้องจำเจ้าไม่ได้แน่ ให้เขาตกใจสะดุ้งโหยงแล้วก็ให้เขาอับอาย”
จ้าวฮั่นชิงขานรับพยักหน้า
“ก็ไม่อับอายนะ พี่สาวไม่ใช่บอกว่าสูตรยาเหล่านี้เป็นพ่อหาหรือ” นางว่า
แต่หากไม่ใช่จิ่วหลิง สิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร
แต่ก็เพราะจิ่วหลิงอีก ถึงทำให้นางรู้สึกได้ จดจำได้ สัมผัสได้ถึงความรักของบิดา มีเพียงความรักและนับถือ ไม่มีความแค้นเคือง
น้าเซียวในใจทั้งขมขื่นทั้งปลื้มปิติ
“ดี” นางเอ่ยแล้วแย้มยิ้ม
ในเมื่อน้าเซียวเอ่ยปากแล้ว ทุกคนย่อมไม่คัดค้านอีก หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งหารือเรื่องกำลังคนที่พาไป น้าเซียวกับจ้าวฮั่นชิงบอกลากัน ส่วนคุณหนูจวินนั่งลงวาดแผนที่เส้นทาง
ยุ่งเสร็จทุกสิ่งนี้ก็สามวันให้หลังแล้ว
ไม่เหมือนกับยามมา น้าเซียวเดินทางอย่างเงียบเชียบยิ่งนัก คุณหนูจวินถึงขั้นไม่ได้เดินทางมาส่ง เป้าหมายก็เพื่อไม่พาปัญหามาให้พวกเขา
“ด้วยความเร็วการเดินทางของพวกอาหยาง อย่างมากที่สุดครึ่งเดือนก็ถึงแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยกับจูจั้น
จูจั้นไม่สนใจไยดี
“เกี่ยวอะไรกับข้า” เขาเอ่ย “เจ้าก็ควรตามไป”
“ต่อให้ไป ข้าก็ยังเป็นภรรยาท่านชาย” คุณหนูจวินแค่นเสียงเหอะเอ่ย
จูจั้นสบถทีหนึ่ง กำลังจะพูดอะไร ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพลันรีบร้อนเข้ามา
“คุณหนู ราชสำนักมีความเคลื่อนไหวแล้วขอรับ” เขารายงาน
จูจั้นเพ่งสายตามองไปหาเขา คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ
“ราชสำนักออกราชโองการพระราชทานรางวัลแก่การกระทำทรงคุณธรรมช่วยประชาชนแดนเหนือของเต๋อเซิ่งชาง เรียกตัวนายน้อยเข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้า” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
ถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้า นั่นเป็นเกียรติยศน่าอิจฉาสำหรับคนเท่าไร คนเป็นขุนนางเท่าไรล้วนขัดสีฉวีวรรณเพื่อการนี้ ทั้งชีวิตมีสักครั้งก็เพียงพอแล้ว นับประสาอะไรกับชาวบ้านคนธรรมดา
แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่ได้ดีใจประหนึ่งคลุ้มคลั่งสักนิด คนในห้องก็สีหน้าหนักใจ
นี่ย่อมไม่ใช่เหตุเพราะราชโองการเล่มนั้นที่วางอยู่ในห้องโถง
“เข้าเมืองหลวงไม่ง่ายอีกครั้งแล้วหรือ?” เฉินชีเอ่ยพึมพำ
ถ้าอย่างนั้นเข้าหรือไม่เข้า?
“เข้ากับไม่เข้าแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่สิ่งที่พวกเราเลือกได้” คุณหนูจวินเอ่ย “สิ่งที่พวกเราต้องเลือกคือกล้าหรือไม่กล้า”
ผู้อื่นยังไม่ทันเอ่ยวาจา ฟางจิ่นซิ่วพลันหัวเราะ
“ผู้อื่นกล้าหรือไม่กล้าข้าไม่รู้ เฉิงอวี่ต้องกล้าแน่นอน” นางเอ่ยขึ้นมา
……………………………………….
……………………………………….
เสียงฝีเท้าตึงตังดังขึ้นในคฤหาสถ์หลังใหญ่ของตระกูลฟางที่หยางเฉิง
คฤหาสน์ตระกูลฟางดังเช่นครอบครัวใหญ่มั่งคั่งทั้งหมดในซานซี ชอบสร้างให้สลับซับซ้อนแต่เป็นระเบียบ สูงๆ ต่ำๆ ลานเป็นลานและยังเป็นหลังคาด้วย
อาภรณ์ผ้าไหมประณีตหรูหราปลิวสะบัดตามการวิ่งประหนึ่งเมฆนานาสีสัน ตัดผ่านท่ามกลางบ่าวรับใช้บ่าวหญิงที่ไปๆ มาๆ
“นายน้อย ท่านช้าหน่อยเจ้าค่ะ”
เสียงไพเราะรื่นหูของบ่าวหญิงทั้งหลายดังไม่หยุด
เสียงขานรับของเด็กหนุ่มดังกังวาน หลังจากนั้นสองสามก้าวก็กระโดดขึ้นบันได กระโดดลงบันได พาเสียงหวานร้องตกใจดังระงม
พร้อมกับเสียงร้องตกใจนี้เด็กหนุ่มก็วิ่งทะยานตลอดทาง มาถึงหน้าเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ไม่หยุดสักนิด สาวใช้ทั้งหลายยิ้มพลางเลิกม่านขึ้น ฟางเฉิงอวี่ก้าวเดียวก็กระโดดเข้าไปแล้ว
กะทันหันประหนึ่งถุงทรายถูกโยนเข้ามา ทำให้คำพูดในห้องหยุดลง
ฟางอวิ๋นซิ่วส่ายศีรษะ ฟางอวี้ซิ่วเม้มปากยิ้ม นายหญิงใหญ่ฟางขมวดคิ้ว
“ท่านย่า ท่านแม่ ข้าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ไม่รอพวกนางเอ่ยก็เอ่ยปากก่อน
บนหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเริงร่า ความตื่นเต้นยินดีทำให้ดวงตาของเขายิ่งสุกสกาว
“ข้าออกเดินทางเข้าเมืองหลวงได้เดี๋ยวนี้” เขาเอ่ย
อาการลิงโลดเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เพราจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
นายหญิงใหญ่ฟางส่ายศีรษะ
“เฉิงอวี่เอ๋ย เมื่อครู่หารือกันไปแล้ว เจ้าอยู่ที่บ้าน ข้าจะเข้าเมืองหลวงเป็นเพื่อนท่านย่าของเจ้า” นางเอ่ยบอก
ฟางเฉิงอวี่โถมเข้าไปคว้าแขนของนายหญิงใหญ่ฟางทันที
“ไม่ได้นะท่านแม่ ข้าเป็นบุรุษในบ้าน จะให้พวกท่านไปได้อย่างไร” เขาเอ่ย
นายหญิงใหญ่ฟางแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง
“ทำไม ดูถูกพวกเราสตรีเหล่านี้รึ?” นางเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว
“ท่านแม่ ท่านรู้ความหมายของข้าชัดแจ้ง” เขาเอ่ยตอบ “หนทางไกลเช่นนี้ ท่านย่าก็อายุมากแล้ว ข้าคนหนุ่มเยาว์วัยทั้งยังเป็นบุรุษคนเดียวในตระกูล ย่อมต้องให้ข้าไปสิ”
“ก็เพราะเจ้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวในตระกูล ดังนั้นเจ้าถึงไปไม่ได้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย สีหน้าเคร่งขรึม “เฉิงอวี่ เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ การเข้าเฝ้าพระราชทานรางวัลประทานนามคราวนี้ ผู้ที่มาไม่หวังดีอย่างแน่นอน พวกเราไม่อาจไม่ป้องกัน”
ฟางเฉิงอวี่หุบยิ้มด้วยแล้ว หันหน้ามองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง
“ท่านย่า ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้แต่ให้ข้าไป ท่านไปไม่ได้เด็ดขาด” เขาเอ่ยขึ้น
นี่คือเหตุผลอะไร?
คนในห้องมองเขา
“ท่านย่า ท่านเคยบอกว่าความลับของตระกูลฟางมีเพียงคนเดียวที่รู้ได้ เมื่อท่านจะไม่อยู่แล้วถึงบอกแก่ข้าได้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้นมา “สิ่งที่พวกเราต้องป้องกันคือไม่อาจให้ความลับนี้กลายเป็นความลับชั่วนิรันดร์”
……………………………………….