Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 111 คนอายุน้อยน่ารักที่สุด
“ท่านก็คือเสียนอ๋อง”
เสียงเด็กหนุ่มใสกังวานติดจะหวานอยู่บ้าง สีหน้ายิ่งไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กน้อย
ที่จริงอายุของเขาก็ไม่นับว่าน้อยนัก อายุสิบห้าสิบหกปีแล้ว คิดถึงตนเอง ตอนอายุสิบห้าสิบหกปีก็ขโมยไก่ลักสุนัข…เอ้ย เริ่มไม่เล่นสนุก แต่เข้าราชสำนักทำงานแล้ว
เสียนอ๋องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวก้มต่ำคำนับ
“ข้าเคยฟังพี่สาวจิ่วหลิงเล่าว่าตอนนั้นท่านดูแลนางไว้มาก” เขาเอ่ยพลางเงยศีรษะขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ “ขอบพระทัยองค์ชาย”
คำขอบคุณที่ไม่มีสิ่งใดเกินจริง เพียงคำขอบคุณหนึ่งประโยคนี้แล้วยังมีความจริงใจเต็มดวงตานี่ เสียนอ๋องพลันรู้สึกหัวใจเบิกบานความโกรธมลาย
“สมควรทำ สมควรทำ” เขายิ้มตาหยีเอ่ย “พี่สาวเจ้าก็ชมเจ้าบ่อยๆ”
บนหน้าฟางเฉิงอวี่ฉับพลันยิ่งเปล่งปลั่งสว่างไสว
เขาไม่ได้จี้ถามแล้วก็ไม่เอ่ยถ่อมตน
“จิ่วหลิงดียิ่งกว่า” เขาท่าทางขัดเขินอยู่บ้างเอ่ยขึ้น
ดวงตาของเสียนอ๋องยิ่งเป็นประกายแล้ว ในใจมีเพียงเสียงจิ๊ปากหลายหน
คุณหนูจวินอมยิ้มก้าวเข้ามา
“องค์ชาย ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน” นางเอ่ยขึ้น
เสียนอ๋องอมยิ้มพยักหน้า
“ไปเถอะ เดิมก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับขับสู้เจ้า แต่เหน็ดเหนื่อยระหว่างทางแล้วยังมาร่วมงานเลี้ยงกับข้าอีกคงยิ่งทำให้เจ้าเหนื่อย รอวันหลังค่อยมาหาข้าใหม่ที่วังอ๋องด้วยกันกับพี่สาวเจ้าเถอะ” เขาเอ่ยบอก
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยตอบ มองเสียนอ๋องอย่างตั้งใจ “ผู้น้อยรู้สึกว่าองค์ชายเป็นมิตรเข้าถึงง่ายไม่เกร็งสักนิด”
จูจั้นกลอกตาทีหนึ่งอยู่ข้างหลัง
เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ดูออก ดูออก” เขายิ้มตอบ “แต่ครอบครัวสำคัญที่สุด พวกเจ้าครอบครัวตัวเองพบหน้ากันก่อนเถอะ รอกันอยู่แน่ะ”
ฟางเฉิงอวี่ยังจะพูดอะไรอีก จูจั้นพลันโบกมือ
“พอประมาณก็พอ” เขาขมวดคิ้วเอ่ย “รีบกลับไปเถอะ”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้าให้เขา
“ขอรับ พี่ชาย” เขาเอ่ย
เสียนอ๋องอดไม่ได้หัวเราะดังพรืด
ฟางเฉิงอวี่วิตกนิดๆ ทันที
“ข้า ก่อนหน้านี้ข้าเรียกว่าพี่ชาย เรียกจนชินแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “จะ ต้องเรียกว่าพี่เขยไหม?”
อะไรก่อนหน้านี้เรียกพี่ชายเรียกจนชินแล้ว ไม่ต้องมามุกนี้
จูจั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกโบกมือ
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง รีบไป รีบไป” เขาเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ไม่เอ่ยวาจาอีกถอยมาถึงข้างกายคุณหนูจวินอย่างว่าง่าย คุณหนูจวินคำนับให้เสียนอ๋องอีกครั้งจึงพาเขาเดินออกไป
ในห้องฟื้นกลับมาเงียบสงบ ส่วนใต้หอครึกครื้นพักหนึ่ง เสียนอ๋องยืนอยู่ริมหน้าต่างมองคุณหนูจวินขึ้นรถ ฟางเฉิงอวี่คนนั้นก็ไม่ขี่ม้าอีก ขึ้นรถตามนางไป ผู้คนมุ่งไปในเมืองอย่างคึกคัก
เขาจิ๊ปากหลายที
“ช่างเป็นคนหนุ่มที่นุ่มนิ่มแล้วยังน่ารักคนหนึ่งจริงๆ” เขาเอ่ย จากนั้นหันหน้ามองจูจั้นขมวดคิ้วทำหน้ารังเกียจ “เจ้าดูสภาพบุรุษหยาบกระด้างของเจ้าสิ! เปรียบเทียบกันดูไม่ได้จริงๆ”
จูจั้นโกรธจัด
“เจ้าตาบอดเรอะ เขาหล่อเท่าข้าตรงไหน!” เขาเอ่ย “ข้าเกิดมาก็รูปงามหล่อเหลาไม่ธรรมดา ไหนเลยจะเหมือนเจ้าหนูนี่ห่มทองสวมเงินอาศัยเสื้อผ้าประหนึ่งผีเสื้อบุปผาตัวหนึ่ง”
เสียนอ๋องทำท่าอาเจียนลมทีหนึ่ง
“เจ้าลองดูอีกทีสิ” จูจั้นถลึงตาโกรธเกรี้ยวใส่เขา “เจ้าคิดว่าข้าเรียกเจ้าว่าองค์ชาย ตอนนี้จะไม่กล้าต่อยเจ้าแล้วหรือ?”
เสียนอ๋องไอแห้งๆ
“นี่ข้าทำเพื่อเจ้านะ” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย โอบไหล่จูจั้น ยื่นมือวาดบนล่างนิดหนึ่ง “เจ้าดูสิแม้เจ้าเกิดมารูปงามหล่อเหลาไม่ธรรมดา แต่สตรีคนนี้ไม่ใช่แค่อาศัยหน้าตาดีจะครอบครองได้ หน้าตาดีแล้วยังต้องช่างจำนรรจาด้วย เจ้าดูสหายน้อยคนนี้สิ นั่นน่ะอ้าปากพูดก็ชมคนร้ายกาจ ประโยคหนึ่งก็ทำให้คนเบิกบานใจความโกรธมลายได้ มิน่าคุณหนูจวินถึงบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญที่สุดของนาง เป็นเช่นนี้ต่อไป…”
เขามองจูจั้นท่าทางสงสารอยู่บ้าง
“เจ้าคนที่อายุมากปานนี้คงจะถูกคนทิ้งแล้ว”
จูจั้นพลิกมือกดหัวไหล่เขา
เสียนอ๋องร้องโอ้ยโอ้ยขึ้นมา
“เจ็บเจ็บเจ็บ”
จูจั้นไม่รั้งมือกลับสักนิด
“คำมงคลขององค์ชาย” เขายิ้มตาหยีเอ่ย “ข้าปรารถนาให้เป็นจริงยิ่ง”
……………………………………….
……………………………………….
ยามม่านราตรีทอดตัวลงมา ความครึกครื้นในโรงหมอจิ่วหลิงก็สลายไปเช่นกัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพาเหล่าผู้ดูแลของร้านแลกเงินในเมืองหลวงขอตัวกลับ เฉินชีดื่มสุราไปมากถูกบรรดาสาวใช้พยุงกลับไปในห้อง
ฟางจิ่นซิ่วก็ขอตัวจากไปแล้วเช่นกัน
“ตอนนี้นางไม่ชอบพูด” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
ตั้งแต่เข้าประตูมาฟางจิ่นซิ่วเอ่ยกับฟางเฉิงอวี่ไม่เกินสามประโยค ล้วนเป็นคำพูดตามมารยาทจำพวกเดินทางมาลำบากแล้ว ไม่มีความสนิทสนมยินดีที่พี่น้องได้พบหน้ากันสักนิด
“ที่พักของเจ้านางจัดการด้วยมือตนเอง ฟูกผ้าห่มปูเสียสี่ชั้น” คุณหนูจวินยิ้มบอก
ฟางเฉิงอวี่ก็ยิ้มแล้ว
“ก่อนหน้านี้อยู่ที่บ้านนางก็ไม่ชอบพูด” เขาเอ่ยขึ้นมา “วันนี้เป็นเช่นนี้ยิ่งสมควร ข้าไม่รู้สึกว่าไม่ดี หากนางพูดจารักใคร่สนิสนมกับข้า ข้ากลับจะอึดอัด”
คุณหนูจวินยกมืออยากลูบศีรษะฟางเฉิงอวี่ ฉับพลันกลับพบว่าตอนนี้เอื้อมไม่ถึงอยู่บ้างแล้ว
“โตเร็วจริง” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่รีบย่อตัวก้มลง กะพริบตามองนาง
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า ยื่นมือตบศีรษะเขาเบาๆ
“รีบไปพักผ่อนเถอะ มาเร็วเช่นนี้ ระหว่างทางต้องเหน็ดเหนื่อยแน่” นางเอ่ยบอก
ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ
“ไม่เหน็ดเหนื่อย คนพบพานเป็นเรื่องน่ายินดีชวนให้จิตใจชื่นบาน จะเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร” เขายิ้มเอ่ยตอบ “จิ่วหลิง จิ่วหลิงเรื่องเขาชิงซานที่เจ้าเขียนเล่าบนจดหมาย เจ้าเล่าให้ข้าฟังอีกรอบสิ เวลานั้นยังไม่ได้เล่าละเอียด”
คุณหนูจวินอมยิ้มจะเอ่ยวาจา นอกประตูเสียไอหนักๆ พลันลอยมา
“พี่ชายมาแล้ว” ฟางเฉิงอวี่หันหน้ามองไป เอ่ยด้วยความยินดี
จูจั้นขานรับทีหนึ่งเดินเข้ามา
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวันนี้ยังเรียกพี่ชายได้” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยพลางยกสุราบนโต๊ะขึ้น “เคยคิดว่าเป็นวาสนาครั้งเดียว ที่แท้ต่อมากลับยังได้พบกัน”
“เด็กน้อยดื่มสุราอะไร” จูจั้นเอ่ย หยิบแก้วสุรามาจากในมือเขา แหงนหน้าดื่มจนหมด “รีบไปนอนเถอะ”
ฟางเฉิงอวี่ขานรับ
“ขอรับ ข้าฟังพี่ชาย” เขาเอ่ยแล้วมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง
“ท่านดุอะไร” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
จูจั้นจิ๊ปาก
“ข้าดุอย่างไร? ข้าไม่ใช่พูดจาเช่นนี้มาตลอดรึ?” เขาตอบ
ฟางเฉิงอวี่รีบยื่นมือดึงแขนเสื้อคุณหนูจวินไว้
“พี่ชายหวังดีกับข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่ควรดื่มสุรา ข้าจดจำคำสั่งของจิ่วหลิงได้อยู่เสมอ ดื่มแต่น้ำไม่ดื่มสุรา แต่เมื่อครู่เห็นพี่ชายเข้าตื่นเต้นไปหน่อย”
คุณหนูจวินยิ้ม
“เอาล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ” นางเอ่ยบอก
“วันพรุ่งนี้พ่อกับแม่ข้าเชิญพวกเจ้าไปที่จวน” จูจั้นเอ่ยขึ้นอีก
ฟางเฉิงอวี่รีบพยักหน้า
“จิ่วหลิงก็บอกข้าแล้วว่าพรุ่งนี้จะไป” เขาเอ่ย
จูจั้นขานอืมตอบทีหนึ่ง
“พวกเราก็พักผ่อนเถอะ” เขามองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินมองเขาสีหน้าพิกล
ฟางเฉิงอวี่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
“แม้การแต่งงานเป็นเรื่องหลอก แต่ข้าพักอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ต้องเสแสร้งแสดงบ้าง” จูจั้นหน้าขรึมบอก พูดจบก็เดินไปด้านหลังก่อน
เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันลู่อวิ๋นฉี หลายวันนี้จูจั้นจึงอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิงตลอด แต่แน่นอนไม่ได้พักอยู่ด้วยกันกับนาง
บางทีคงมีถ้อยคำอะไรจะบอกกระมัง คุณหนูจวินพยักหน้าให้ฟางเฉิงอวี่
“ไปเถอะ” นางเอ่ยบอก
ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มพยักหน้าขานรับเดินออกไป จากนั้นยืนอยู่ตรงทางเดินมองจูจั้นเดินส่ายอาดๆ เข้าไปในห้องของคุณหนูจวิน เด็กหนุ่มใต้แสงโคมยามราตรีเลิกคิ้ว
“พี่ชายคนนี้หน้าหนากว่าพี่ชายคนนั้นมากเชียว” เขาเอ่ยกับตนเอง
……………………………