Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 124 วิญญูชนถือสัจจะ
ยามท้องฟ้าสว่างขมุกมัว คุณหนูจวินเดินออกจากประตู ในลานคนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่แล้ว
“จิ่วหลิง” ฟางเฉิงอวี่ผละออกจากหมู่คนเดินเข้ามา กางแขนออกให้นางดู “เจ้าดูข้าแต่งตัวเช่นนี้ได้ไหม?”
อาภรณ์สีไพลิน รัดเกล้าสีขาว เอวห้อยเครื่องประดับทองคำ รองเท้าใต้เท้าลายเมฆดำทอง วิบวับจนคนลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็แปลกที่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าขัดตาน่าอาย
จูจั้นสีหน้าดูแคลนสายตาจับบนใบหน้าของฟางเฉิงอวี่
เด็กหนุ่มหน้าขาวประหนึ่งหยก แย้มยิ้มดั่งแสงดารา
อาภรณ์หรูหราเพียงไรใต้รอยยิ้มนี้ล้วนหม่นหมองจืดจาง
จูจั้นยื่นมือลูบใบหน้าของตน ปากพึมพำประโยคหนึ่งว่าตนเองล้วนไม่รู้ว่าเป็นอะไร จากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างคุณหนูจวินแล้ว
คุณหนูจวินยิ้มพินิจฟางเฉิงอวี่อย่างตั้งใจ
“นี่ไม่ใช่เมื่อวานเลือกไว้เรียบร้อยแล้วรึ?” จูจั้นกระแอมเบาๆทีหนึ่ง “เปลี่ยนอีกก็ไม่ทันแล้ว”
ฟางเฉิงอวี่ขานอืมทีหนึ่ง ท่าทางขออภัยและไม่สบายใจอยู่บ้าง
“ข้าเข้าวังพบฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กังวลอยู่บ้าง พี่ชายอย่าหัวเราะข้า” เขาเอ่ย
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่นะ” คุณหนูจวินปลอบ
จูจั้นกระตุกมุมปาก
“ข้าไหนเลยจะกล้าหัวเราะเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ เสื้อผ้าดีมาก ไม่ต้องกังวล” คุณหนูจวินบอก
ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีเชิญคุณหนูจวินมาพูดจา เต๋อเซิ่งชางมีวิธีฉลองของเต๋อเซิ่งชาง ความหมายของฟางจิ่นซิ่วก็คือโรงหมอจิ่วหลิงย่อมต้องมีเช่นกัน ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจึงเชิญนางตรวจทานอีกรอบหนึ่ง รอออกมาจากพระราชวังชาวบ้านทั้งหลายต้องล้วนได้รับข่าวเร่งเดินทางมาแน่นอน
จูจั้นเห็นคุณหนูจวินเดินไปย่อมจะติดตาม
“พี่ชาย” ฟางเฉิงอวี่ดึงแขนเสื้อเขาไว้
จูจั้นหันกลับมามองเขา
“อะไร?” เขาเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่มองเขาแล้วยิ้มอย่างขลาดๆ
“ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าเข้าเฝ้าฮ่องเต้มีสิ่งใดต้องระวังบ้าง” เขาเอ่ยขึ้น
“เมื่อวานคนจากกรมพิธีการกับขันทีไม่ได้บอกเจ้าแล้วรึ?” จูจั้นตอบ
“ข้ากังวล กลัวจำผิด” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น
“เจ้าไม่ต้องกังวล มีนางอยู่ ทำตามนางก็พอแล้ว” จูจั้นเอ่ยขึ้น ยกเท้าจะไป
ฟางเฉิงอวี่จับแขนเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย
“จิ่วหลิงเป็นสตรี ไม่เหมือนบุรุษอย่างพวกเรา ข้าฟังพี่ชายวางใจกว่า” เขาเอ่ยจริงจัง “พี่ชายท่านไปวังหลวงบ่อยๆ กับฝ่าบาทก็คุ้นเคย”
จูจั้นพรูลมหายใจ หมุนร่างมามองเขา
“นายน้อยฟาง” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้ามายุ่งกับข้าทำอะไร?”
ฟางเฉิงอวี่มองเขา
“ท่านให้ข้าทำเช่นนี้เองนะ” เขาเอ่ยตอบตามตรง “พี่ชายท่านลืมแล้วรึ?”
เขาเคยพูดหรือ? จูจั้นกลัดกลุ้มวูบหนึ่ง
เอาเถอะ เขาเคยพูดจริงๆ
“นั่นไม่ถูกต้องสิ” เขาเอ่ย “ข้าให้เจ้ายุ่งกับนาง ไม่ใช่ยุ่งกับข้าเสียหน่อย”
ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ
“ข้ารู้ แต่ทำขึ้นมาไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “อยากให้จิ่วหลิงไม่กวนท่าน วิธีที่เหมาะที่สุดไม่ใช่ยุ่งกับนาง แต่ยุ่งกับท่าน จิ่วหลิงเป็นคนมีมารยาทมาก เห็นท่านยุ่งอยู่ นางก็ไม่มีทางมารบกวนท่านแล้ว”
พูดพลางกุมมือยิ้ม
“พี่ชาย เรื่องที่ท่านสั่งข้า วางใจเถอะ”
บัดซบ ! จูจั้นถลึงตา เจ้าหนูนี่!
เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง เค้นรอยยิ้มจางๆออกมา ยื่นมือตบหัวไหล่ฟางเฉิงอวี่
“สหายน้อย เรื่องนั้นเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นมีเรื่องเล็กน้อยดังนั้นต้องการความช่วยเหลือของเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ ช่างมันเถิด”
ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ
“ช่างมันเถิดได้อย่างไรเล่า” เขาเอ่ย “พี่ชายนี่ท่านดูถูกข้า ข้าฟางเฉิงอวี่แม้ไม่มีความสามารถอื่น แต่ก็รู้ว่าลูกผู้ชายชายชาตรีวาจาเอ่ยไปแล้วสี่อาชายากตาม เรื่องที่ข้าตกลงแล้วไม่มีทางกลับคำเด็ดขาด”
เจ้าร้ายกาจ! จูจั้นมองเขาแล้วพยักหน้า เจ้าหนูความสามารถอื่นไม่มี ความสามารถในการเสแสร้งแกล้งโง่ไม่เลวจริงๆ
ฟางเฉิงอวี่มองเขา สีหน้าจริงใจพยักหน้าเช่นกัน
ทั้งสองคนกำลังแววตาไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน คุณหนูจวินก็เดินเข้ามาแล้ว
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” นางเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่กำลังจะเอ่ยคำพูดพลันถูกจูจั้นตบหัวไหล่
“ไม่มีอะไร ข้าจะบอกเขาเรื่องที่ต้องระวังตอนเข้าเฝ้าฝ่าบาท” เขาเอ่ยบอก
คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย
“ท่านพอเถอะ แบบท่านเขาเอาอย่างไม่ได้หรอก” นางเอ่ยพลางกวักมือให้ฟางเฉิงอวี่ “มา พวกเราควรไปแล้ว”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเดินเข้าไปทันที
“ขอบคุณพี่ชาย” เขาไม่ลืมเอ่ยขอบคุณอย่างมีมารยาท
จูจั้นขานอืม มองคุณหนูจวิน
“แบบข้าเป็นอย่างไร” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง
“แบบท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มพลางเหล่มองเขาทีหนึ่ง
ร้ายกาจรึ? เขาพบกับฮ่องเต้หลายครั้งเช่นนี้ย่อมคิดว่าผลงานค่อนข้างร้ายกาจจริงๆ
จูจั้นอดไม่ได้ยิ้ม จากนั้นรีบเม้มไว้
คุณหนูจวินยิ้มพลางจูงฟางเฉิงอวี่ไปด้านนอกแล้ว
หากนางพูดจาดีๆ ก็ดีเอาการ จูจั้นคิด แม้ในใจคิดขึ้นแวบหนึ่งว่าก่อนหน้านี้นางก็พูดจาเช่นนี้ แต่ดูแล้วไม่ปกติ ทว่าความคิดเรื่องนี้ถูกเขาโยนทิ้งไปหลังสมองทันที
ก็บอกแล้วว่าจะคุ้นชินกับตอนนี้ไหม เรื่องเหล่านั้นก่อนหน้านี้ย่อมไม่ต้องใส่เข้ามาแล้ว
จูจั้นกระแอมเบาๆ สองที เหยียดหลังตรงก้าวเท้าติดตาม
ฟางเฉิงอวี่หันหน้ามา
“เฮ้อ พี่ชายอย่าส่งเลยแล้วก็อย่าตามด้วย” เขาว่า “ข้าเป็นห่วงว่าท่านตามเช่นนี้ถูกคนเห็นเข้าจะไม่ดีกับท่าน”
เจ้าเด็กเวรนี่! ร้ายเกินไปแล้วจริงๆ !
จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อหยุดเท้า
ตอนนี้ไม่มีฐานะสามีภรรยาหลอกๆ แล้ว เข้าออกด้วยกันเช่นนี้ต่อไปไม่ดีกับเฉิงกั๋วกงง่ายจริงๆ
คุณหนูจวินหันหน้ากลับมา
“ท่านกลับไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” นางยิ้มเอ่ย
จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองพวกเขาเดินออกไป
ดังนั้นเขาถึงไม่ชอบเด็กสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเปรต
……………………………………….
……………………………………….
ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยชอบเด็กนักเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นเกินไป
ตอนนี้เวลานี้เห็นคุณหนูจวินค้อมกายคารวะในตำหนัก ขันทีด้านข้างถือหนังสือพระราชทานรางวัลไว้
หลังสตรีคนนี้เข้ามา ไม่ถ่อมตัวไม่หยิ่งยโส ไม่ตัวสั่นสักนิด ต่อให้เผชิญหน้ากับตนคารวะฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์คนนี้กริยาก็ไม่หวาดกลัวสักนิดเช่นกัน
บางทีอาจเพราะครั้งก่อนเคยมากระมัง
คิดถึงครั้งก่อน สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง
ครั้งก่อนนางได้รับพระราชทานรางวัลเพราะปลูกฝีชื่อเสียงเลื่องลือ นี่เพิ่งเว้นมาหนึ่งปีกว่า นางก็ชื่อเสียงเลื่องลืออีกหน นอกจากนี้ได้พระราชทานยศเสี้ยนจู่
สตรีคนนี้ร้ายกาจพอตัวทีเดียว
ด้วยความเร็วนี่ ปีหน้าไม่แน่ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก หลังจากนั้นต้องแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงยศจวิ้นจู่
ฮ่องเต้พิงกลับไปบนพนักเก้าอี้
ไม่อาจให้โอกาสนี้แก่นางได้แล้ว
“ไม่ต้องมากพิธีลุกขึ้นเถอะ” พระองค์อมยิ้มตรัสอย่างอ่อนโยน
คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่คารวะขอบคุณอีกครั้งจึงลุกขึ้น
ขันทีคนหนึ่งส่งรางวัลพระราชทานของของคุณหนูจวินมาก่อน คุณหนูจวินรับไว้แล้ว ขันทีอีกคนหนึ่งถึงก้าวเข้ามาส่งรางวัลพระราชทานบนอีกถาดหนึ่งให้ฟางเฉิงอวี่
“อีกอย่าง ข้าเขียนอักษรผืนหนึ่งให้เต๋อเซิ่งชางด้วย” ฮ่องเต้อมยิ้มตรัส
ได้อักษรพระราชทานจากฮ่องเต้ นั่นย่อมยิ่งกว่าราชโองการ
ฟางเฉิงอวี่กับคุณหนูจวินคารวะขอบคุณอีกครั้ง
ฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้พวกนางลุกขึ้น ขันทีสองคนกางม้วนกระดาษอันหนึ่งออก อักษรใหญ่สีทองเขียนว่าตระกูลผู้สั่งสมบุญ
ฟางเฉิงอวี่สีหน้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“ท่านย่าเห็นต้องเบิกบานใจแน่พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือจะรับไป
ฮ่องเต้พลันตบพนักแขนนิดหนึ่ง คล้ายคิดถึงเรื่องอะไรได้
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” พระองค์ตรัส
ฟางเฉิงอวี่หยุดร่าง ทิ้งมืออย่างเคารพ ยืนตรงขานรับ
“ราชโองการนั่นที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานแก่ตระกูลเจ้าใช้ไม่ค่อยสะดวก วันนี้ข้ามอบสิ่งนี้แก่พวกเจ้า สะดวกแก่การแขวนไว้ให้ผู้คนรับรู้มากกว่า และเหมาะสมยิ่งกว่า” ฮ่องเต้ตรัส พระพักตร์แย้มสรวล
เหมาะสมยิ่งกว่านี่ หมายความว่าราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไม่เหมาะสมแล้ว
ราชโองการเดิมหรือ
คุณหนูจวินมองรางวัลพระราชทานที่ถืออยู่ในมือ อย่างที่คิดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้เปล่าๆสินะ
………………………