Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 127 ตัดสินใจแล้ว
จงหยวน[1] ใกล้เข้ามา อากาศยังคงร้อนอบอ้าว
สาวใช้ทั้งหลายที่ยืนอยู่ในห้องโบกพัดใหญ่เบาๆ พัดกระจายไอเย็นจากอ่างน้ำแข็งที่วางอยู่สี่ด้าน ในห้องเย็นสบาย
แต่ฟางอวี้ซิ่วกลับวางพู่กันอีกหน มองไปยังห้องอีกด้านหนึ่ง
“ทำไมหรือ?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม
นี่เป็นครั้งที่สี่ของวันนี้ที่ฟางอวี้ซิ่วเหม่อลอยแล้ว
นางที่เยือกเย็นอดกลั้นมาเสมอไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
“แขกที่ท่านย่าพบที่แท้เป็นใครกันนะ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น “ท่านย่าดูแล้ว…”
ฟางอวิ๋นซิ่วรีบมองไปด้านใน นายหญิงผู้เฒ่าฟางพักผ่อนอยู่ด้านนั้น กั้นด้วยม่านลูกปัด มองเห็นนางเอนร่างอยู่บนเก้าอี้นอน เดิมควรนอนกลางวันแต่ตากลับยังลืมอยู่
สองวันนี้ท่านย่าวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
“อารมณ์ไม่ดีหรือ?” นางเอ่ยถามเสียงเบา
ฟางอวี้ซิ่วส่ายศีรษะ
“เหมือนดีใจแต่ก็เหมือนเศร้าโศก” นางเอ่ย “ที่มากกว่านั้นคือความผิดหวัง แขกคนนี้ต้องเป็นคนรู้จักเก่าแก่คนหนึ่งแน่”
นางกำลังเอ่ยเสียงเบาอยู่ก็เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางด้านนั้นลุกขึ้นนั่ง
“ใครมานี่ซิ” นางเอ่ยเรียก “เรียกผู้ดูแลใหญ่เกามา”
ฟางอวี้ซิ่วพยักหน้า
“ดูท่าท่านย่าจะตัดสินใจแล้ว” นางเอ่ย
ฟางอวิ๋นซิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ตัดสินใจอะไร?” นางเอ่ยถาม
……………………………………….
“นายหญิง นายหญิง”
นางหยวนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ไม่รอนายหญิงใหญ่ฟางเงยศีรษะก็ประชิดมาข้างหูนางแล้ว
นายหญิงใหญ่ฟางยกมือผลักนางออก
“ทำอะไรลับๆ ล่อๆ” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “มีอะไรก็พูดดีๆ”
นางหยวนไม่มีสีหน้าอับอายหงุดหงิด ยังคงร้อนรน
“นายหญิงผู้เฒ่าจะเปิดคลังใต้ดินที่ชื่อคลังสวรรค์แล้วเจ้าค่ะ” นางกดเสียงเบาเอ่ย “เมื่อครู่เรียกผู้ดูแลใหญ่เกามา”
นายหญิงใหญ่ฟางตกใจสะดุ้งโหยง ลุกขึ้นยืน
เหมือนเช่นร้านแลกเงินและร้านค้าใหญ่ทั้งมวล คฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลฟางก็สร้างคลังสมบัติไว้เช่นกัน ตามที่เล่าลือกันข้างนอก ใต้คฤหาสน์ตระกูลฟางทั้งหมดล้วนเป็นคลัง กองภูเขาทองภูเขาเงินไว้เต็ม
คำพูดเช่นนี้แน่นอนย่อมเกินจริง แต่ตระกูลฟางมีคลังสมบัติหลายแห่งจริงๆ ในนั้นคลังสมบัติที่ชื่อคลังสวรรค์เป็นอันที่ลึกลับที่สุด
นายหญิงใหญ่ฟางแต่งเข้ามาสิบกว่าปีรู้เพียงมีคลังสมบัติชื่อสวรรค์ พิภพ มนุษย์สามแห่ง คลังพิภพกับคลังมนุษย์นางล้วนเคยเข้าไปแล้ว มีเพียงคลังสวรรค์แห่งนี้ที่กระทั่งนางก็ไม่รู้ว่าทางเข้าอยู่ที่ไหน
เงินในคลังล้วนสอดรับกับสมุดบัญชีและตั๋วเงินของร้านแลกเงิน เปิดคลังย่อมต้องเปิดสมุดบัญชี ดังนั้นร้านแลกเงินก็ต้องเคลื่อนไหวด้วย
“ครั้งนั้นนายหญิงผู้เฒ่าบอกว่าคลังสวรรค์นี้เป็นรากฐานของตระกูลฟาง ไม่ถึงยามยากที่สุดไม่มีทางเปิดเด็ดขาด” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าประหลาดใจและไม่แน่ใจเอ่ยขึ้น “หรือการค้าของตระกูลฟางถึงเวลาที่ยากลำบากที่สุดแล้วหรือ?”
“ไม่น่าเป็นไปได้นะเจ้าคะ” นางหยวนเอ่ย “การค้า พวกเราล้วนดูอยู่ ปัญหาสักนิดก็ไม่มี”
นายหญิงใหญ่ฟางกำมือ
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับพ่อค้าคนนั้น” นางเอ่ย “บางที อาจต้องการแลกเงิน เงินของเขาเก็บอยู่ที่นั่น”
เปิดคลังสมบัติก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
นายหญิงใหญ่ฟางนั่งลงอีกหน นางถูกเฉิงอวี่บอกว่าเคร่งเครียดเกินไปแล้ว
“อีกประเดี๋ยวพวกเราไปดูหน่อยเถอะ เปิดคลังยุ่งยากนัก” นางว่า “ที่สำคัญที่สุดยังต้องเพิ่มการป้องกัน ตอนขนเงินคนมาคนไปอย่าให้มีช่องว่าง”
ถูกต้อง บางทีศัตรูในที่ลับอาจรอจังหวะวุ่นวายอยู่
นางหยวนขานรับ ความปลอดภัยของนายหญิงผู้เฒ่าฟางถึงสำคัญ เงินไม่นับเป็นอะไร
……………………………………….
ข่าวนายหญิงผู้เฒ่าฟางจะเปิดคลังใต้ดิน พร้อมกับที่นางหยวนบอกนายหญิงใหญ่ฟาง ข่าวก็ส่งไปยังฟางเฉิงอวี่ด้วย
ฟางเฉิงอวี่ประหลาดใจเช่นเดียวกันกับนายหญิงใหญ่ฟาง
“เรื่องนี้ที่จริงก็ไม่มีอะไร ในตระกูลเรามีการค้าขายมากมายที่ร่วมมือกันมาเนิ่นนาน ยากเลี่ยงกลางทางมีคนหยุด ต้องการถอนเงินทั้งหมดไป” ผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา “เรื่องเปิดคลังใต้ดินก็มีบ่อยๆ”
“ตอนนี้เวลานี้เรื่องที่ปกติที่สุดกลับจะเป็นเรื่องที่ต้องระวังที่สุด” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย กำแถบข้อความสั้นๆในมือไว้
เพื่อการส่งข่าวที่เร็วที่สุด เนื้อหาล้วนกล่าวสั้นกระชับยิ่ง
พ่อค้าคนหนึ่งมา นายหญิงผู้เฒ่าพบด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็จะเปิดคลังสวรรค์
สำหรับคนที่ทำการค้าคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริงๆ
แต่พวกเขาตระกูลฟางไม่ใช่เพียงคนทำการค้าคนหนึ่ง การค้าที่ทำก็ไม่ใช่เพียงร้านแลกเงินเรียบง่ายเช่นนี้
“นอกจากราชโองการ ยังมีของอยู่อีก” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยแล้วมองผู้ติดตาม “เร่งความเร็วกลับหยางเฉิง”
ยังจะเร็วอีก?
นี่ก็เร็วที่สุดแล้ว
ผู้ติดตามก้มศีรษะขานรับ
และข่าวนี้ไม่เพียงส่งให้ฟางเฉิงอวี่ ยังส่งไปยังโรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงด้วย นี่เป็นคำสั่งของฟางเฉิงอวี่ ข่าวที่ให้เขาจำต้องให้โรงหมอจิ่วหลิงในเวลาเดียวกัน
“ของในคลังสมบัติไม่อาจแตะ” คุณหนูจวินวางแถบข้อความลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “ความลับของตระกูลฟางก็คือรากฐานของตระกูลฟาง ต้องอยู่ในคลังสมบัติแน่”
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ตอนนี้ไม่ต้องพูดเรื่องระยะทางไกล ต่อให้เร่งเดินทางกลับไป นายหญิงผู้เฒ่าจะฟังไหม? เรื่องที่นางรู้พวกเราไม่รู้ อันตรายที่เจ้าพูดไม่มีหลักฐานอันใด ทุกสิ่งล้วนเป็นการคาดเดา นางจะเชื่อได้อย่างไร?”
นี่เป็นปัญหาเรื่องหนึ่งจริงๆ
นางถึงขั้นบอกไม่ได้ว่าเป็นอันตรายอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชี้ชัดคนที่พาอันตรายมา หยวนเป่าหาไม่พบจับไม่ได้ นอกจากนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางคล้ายไม่สนใจการปรากฏตัวของขันทีสักนิด
นั่นก็หมายความว่าในความลับของนายหญิงผู้เฒ่าฟางมีตัวตนของขันทีอยู่
อย่างไรนางก็ไม่อาจบอกว่าลางสังหรณ์ได้
แม้ลางสังหรณ์ของนางจะถูกต้องก็ตาม
คุณหนูจวินเงียบงันไม่พูดจน
“นายหญิงผู้เฒ่าคนผู้นี้ดื้อดึงยิ่งนัก” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ตอนนั้นคนเหล่านั้นจะมานับญาติ เอ่ยวาจาหยามหมิ่น วางแผนจะเอาสินเดิมของพวกเรา บอกว่าอย่างไรก็ไม่มีบุตรชาย ไม่สู้ให้บุตรสาวทั้งหลาย”
นางพูดถึงอดีตน้อยครั้งนัก พูดพลางหัวเราะ
“ท่านย่าก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นไยพวกเราต้องแต่งลูกสาวออก พวกเรารับลูกเขย บุตรสาวสามคนนี้ของพวกเราก็คือบุตรชายไว้แบ่งสมบัติตระกูล พวกเจ้าละโมบหวังความมั่งคั่งของตระกูลเรา ถ้าอย่างนั้นก็แต่งเข้ามาสิ แต่พวกเราคงต้องเลือกลูกสะใภ้ให้ดีๆ ล่ะนะ”
“เจ้าพูดอะไร?” คุณหนูจวินพลันเอ่ยถามขัดนาง
ฟางจิ่นซิ่วร้องอ้อ
“ลูกสะใภ้เป็นการล้อเล่น ท่านย่าดูถูกพวกเขา รับลูกเขยเป็นรับลูกสะใภ้” นางเอ่ย
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ประโยคก่อนหน้า” นางเอ่ย “แบ่งสมบัติตระกูล?”
เรื่องนี้หรือ ฟางจิ่นซิ่วพยักหน้า
“ใช่แล้ว เวลานั้นน้องเล็กไม่ใช่…ดังนั้นพวกเราตั้งแต่เล็กล้วนถูกเลี้ยงมาเป็นบุตรชาย กิจการของบ้านต้องมีส่วนร่วม แล้วยังเตรียมรับลูกเขย สมบัติตระกูลรึ ย่อมแบ่งได้เหมือนกัน” นางเอ่ย พูดพลางก็ผิดหวังอยู่บ้างอีก
ที่แท้เรื่องเหล่านี้นางล้วนยังจำได้ จำได้กระจ่างชัดเจน
นาทีต่อมาพลันมีมือข้างหนึ่งลูบบนหัวไหล่ของนาง
นางได้สติกลับมามองดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งตรงหน้า
“เจ้าจะทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้นอย่างระแวง “อย่าจับนู่นจับนี่ข้า ข้าไม่ใช่น้องฮั่นชิงคนนั้นของเจ้านะ”
คุณหนูจวินหัวเราะพรืดแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งเหมือนฮั่นชิงเช่นนั้นได้ไหม?” นางเอ่ยถาม
ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง
“นั่นก็ต้องดูว่าเรื่องอะไร ข้าไม่ใช่สิ่งใดก็ทำหมดหรอกนะ” นางเอ่ย
คุณหนูจวินอมยิ้มมองนาง
“ข้าจะให้เจ้าไปแย่งสมบัติตระกูลของตระกูลฟาง” นางเอ่ย
แย่งสมบัติตระกูล? ข้ารึ?
ฟางจิ่นซิ่วอึ้ง
……………………………………….
……………………………………….
บนถนนใหญ่ รถม้าของฟางเฉิงอวี่วิ่งเร็วรี่ เพื่อเร่งความเร็วการเดินทาง พวกเขาลดผู้คุ้มกัน พาไปเพียงม้าที่ไว้ใช้เปลี่ยนอย่างเพียงพอ
ระหว่างที่ขับเร็วรี่อยู่ ฟางเฉิงอวี่พลันเลิกม่านรถ
“หยุดก่อน” เขาตะโกน
คำนี้ทำให้ผู้คนลนลานรีบร้อนวูบหนึ่งหยุด
“นายน้อย ร่างกายทนไม่ไหวหรือขอรับ?” หัวหน้าผู้คุ้มกันเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
สีหน้าฟางเฉิงอวี่ซีดอยู่บ้าง แต่แววตาเป็นประกาย
“ไม่ต้องรีบเร่งเดินทางแล้ว” เขาเอ่ยพลางกำแถบข้อความแถบหนึ่งในมือ “เดินทางช้าหน่อย”
หา? ไม่รีบแล้วรึ? แล้วยังจะเดินทางช้าหน่อยอีก?
ผู้คุ้มกันทั้งหลายมึนงงง
ถ้าอย่างนั้นที่ตระกูลจะทำอย่างไร?
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเล็กน้อย
“ในบ้าน มีพี่สาวทั้งหลายอยู่แล้ว” เขาผายมือเอ่ย เอนกายกลับไปบนรถ พรูลมหายใจโล่งอก “มีพี่สาวทั้งหลายดีจริงๆ”
……………………………………….
……………………………………….
คุณหนูอายุน้อยวางแถบข้อความในมือลงแล้วพรูลมหายใจ
“นางบอกอะไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถามอย่างกังวล
ถึงกับได้จดหมายของคุณหนูจวินกะทันหัน ไม่ได้มอบให้นายหญิงผู้เฒ่าฟาง แต่ส่งให้ฟางอวี้ซิ่วอย่างเป็นความลับ
ฟางอวี้ซิ่วมองนางแล้วผายมือ
“พี่ใหญ่ ท่านว่าข้าหน้าตาเหมือนคนเลวหรือไม่?” นางเอ่ยถาม
ฟางอวิ๋นซิ่วมึนงง
“อะไรเล่า” นางเอ่ย “นางด่าเจ้าหรือ?”
พวกนางไม่ได้ติดต่อกับจวินเจินเจินนานนักแล้วจริงๆ หรือยังจำที่ทะเลาะกันตอนแรกได้อีกรึ?
ฟางอวี้ซิ่วโยนแถบข้อความเข้าไปในกระถางธูปหอม
“เป็นคนเลว ต้องสาแก่ใจมากแน่” นางเลิกคิ้วเอ่ย
………………………