Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 22 ท่านรู้ชื่อแซ่ของข้าหรือไม่
บังเอิญเกินไปแล้ว?
นี่หมายความว่าอย่างไร? นายหญิงอวี้ตะลึงเล็กน้อย
นางคิดว่าเด็กสาวคนนี้อาจเอ่ยคำพูดได้มากมายหรือมีปฏิกิริยาได้มากมาย
สตรีสาวที่ยังไม่แต่งงานคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ถูกคนพูดว่าเป็นภรรยาของผู้อื่น ไม่ใช่ควรตั้งคำถามก็ควรโกรธเกรี้ยว ควรรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม หรือควรเขินอาย?
แน่นอนสตรีผู้นี้ไม่เหมือนกับสตรีคนอื่น เปิดเผยตรงไปตรงมา ในใจมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ อาจยิ้มเรียบๆ บอกว่าชายหญิงในยุทธภพไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็เป็นได้
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมา นอกจากนี้สีหน้าของนางไม่ยินดี ไม่โกรธ ไม่เศร้า ไม่ตกใจ คล้ายอยากหัวเราะอยู่บ้าง
ไม่ใช่คล้าย แต่นางหัวเราะจริงๆ แล้ว
คุณหนูจวินยกแขนเสื้อปิดปากดวงตายิ้มโค้ง คือกลั้นไว้สุดกำลังแล้วแต่ดันกลั้นไว้ไม่อยู่ หันหน้าไปส่งเสียงหัวเราะออกมา
นายหญิงอวี้มองนาง ไม่ได้รำคาญเพราะปฏิกิริยาประหลาดนี้ของนางกลับหัวเราะน้อยๆ ตามด้วย
“บังเอิญอย่างไร?” นางเอ่ยถาม
ความบังเอิญนี่พินิจดูแล้วยอดเยี่ยมอยู่บ้างเล็กน้อย
คุณหนูจวินยิ้มพลางมองนายหญิงอวี้
“บังเอิญที่ท่านหญิงเอ่ยเช่นนี้” นางเอ่ย “บังเอิญที่..”
นางพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นมาอีกหน ยกมือขึ้นมาปิดปากไว้
บังเอิญที่จูจั้นก็เกือบเคยพูดเช่นนี้ บังเอิญที่นางก็เคยพูดมาก่อน
ตอนนั้นที่เมืองหลวงถูกลู่อวิ๋นฉีบีบบังคับ หากไม่ใช่หนิงอวิ๋นเจาอยู่ดีๆ ออกหน้าให้ จูจั้นก็คงจะเอ่ยว่าตนเองกับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน
ตัวอย่างเช่นคู่หมั้นอะไร
นอกจากนี้ต่อมาเขามาพบตน ยังไม่สบอารมณ์ถามว่าตนมีสามีกี่คน ตนยังตอบเขาว่าสามคน
‘สามคน? ยังมีใครอีก?’
นางเม้มปากยิ้ม ยื่นมือชี้ไปทางเขา
‘ท่านไง’ นางเอ่ยขึ้น
คิดถึงตรงนี้ คุณหนูจวินก็หัวเราะอีกครั้ง
นายหญิงอวี้ไม่หงุดหหงิดเพราะฟังไม่เข้าใจ คิดไม่เข้าใจ ถูกคุณหนูจวินหัวเราะไปหัวเราะมาเช่นนี้สักนิด สีหน้าสงบตั้งใจอยู่ตลอด
“ท่านหญิงอวี้ ข้าไม่เคยแนะนำตนเองกับท่าน” คุณหนูจวินหยุดหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น
นายหญิงอวี้ร้องอ้อ
“เรื่องนี้คุณหนูจวินตามสบาย” นางอมยิ้มเอ่ย “วีรบุรุษไม่ถามชาติกำเนิด ข้าเพียงขอให้คุณหนูจวินทำงานเท่านั้น”
เป็นแม่ลูกกันจริงๆ จูจั้นไม่ใช่ก็เป็นเช่นนี้รึ
ที่เมืองหลวงตอนขอให้นางรักษาโรคให้ไหวอ๋อง ‘ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร เป้าหมายของเจ้าคืออะไร ข้าต้องการแค่เจ้ารักษาไหวอ๋องหาย ขอเพียงเจ้ารักษาไหวอ๋องหาย ข้าจะปกป้องชีวิตของเจ้า’
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มแล้ว
“ข้าแซ่จวิน ชื่อจิ่วหลิง” นางเอ่ยแล้วมองนายหญิงอวี้ “ไม่ทราบท่านหญิงเคยได้ยินหรือไม่?”
จวินจิ่วหลิง?
นายหญิงอวี้สีหน้าตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็ตกตะลึงมองประเมินคุณหนูจวิน
“ที่แท้เป็นท่านเองรึ” ฉับพลันนางก็หัวเราะอีกครั้งเอ่ยขึ้นท่าทางชื่นชมอยู่บ้างพยักหน้า “เป็นยอดหมอจริงๆ รักษาประชาชนได้ชั่วลูกชั่วหลาน”
นี่คือชมเรื่องที่นางปลูกฝีสินะ คุณหนูจวินกลอกตาไปมาเล็กน้อย
“ท่านหญิงอวี้รู้จักโรงหมอจิ่วหลิงของข้าหรือไม่?” นางเอ่ย
นายหญิงอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า
“โรงหมอจิ่วหลิงปลูกฝีช่วยประชาชน โลกมนุษย์ใครไม่รู้จัก แม้ข้าอยู่ห่างไกลถึงแดนเหนือก็ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” นางเอ่ย “เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะพานพบคุณหนูจวินแบบนี้”
นางเอ่ยแล้วก็หัวเราะบ้าง
“บังเอิญจริง”
คุณหนูจวินแววตาระยิบระยับแล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย
“ท่านหญิงรู้เพียงเรื่องนี้ของข้าหรือ?” นางเอ่ยถามพลางเม้มปากยิ้ม “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”
นอกจากปลูกฝี จูจั้นไม่เคยเอ่ยถึงตนกับนางหรือ? ต่อให้จูจั้นไม่เอ่ยถึง ในฐานะมารดาคนหนึ่งไม่สนใจข่าวของบุตรชายรึ?
ที่เมืองหลวงข่าวเกี่ยวกับจูจั้นมากน้อยก็คงเอ่ยถึงนางบ้างกระมัง
อย่างน้อยเพราะนาง จูจั้นกับลู่อวิ๋นฉีถึงทะเลาะกันที่เมืองหลวงจนเป็นเรื่องครึกโครม นอกจากนี้ข่าวลือก็ยังไม่น่าฟังอย่างไร
ดูไปแล้วนายหญิงอวี้คล้ายจะไม่รู้จริงๆ
นายหญิงอวี้สีหน้าสงสัยอยู่บ้าง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ขออภัยด้วย สิ่งอื่นข้าไม่ทราบจริงๆ” นางยิ้มเอ่ยตรงไปตรงมา “ข้ายุ่งเล็กน้อยและพูดคุยกับผู้อื่นน้อยนัก”
ดูแล้วไม่เคยเอ่ยถึงจริงๆ จูจั้นไม่เคยเอ่ยถึง ส่วนนายหญิงอวี้ก็ไม่ได้สืบข่าวของบุตรชาย
แต่สำหรับจูจั้นแล้ว นี่ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ก็แค่การแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มๆ
“ข้ารู้จักกับท่านชาย” นางเอ่ยตรงๆ
นายหญิงอวี้ตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นก็ขานอ้อ
“มิน่า” นางยิ้มแล้ว “ข้าก็ว่าแล้ว คุณหนูจวินรู้จักข้า”
คราแรกยามแสดงตัวตน นางก็เคยสงสัยเพราะปฏิกิริยาของเด็กสาวคนนี้คือรู้จักหน้าตาของนางอย่างชัดเจน
คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า
“ก็ไม่อาจพูดว่ารู้จักได้ ชื่นชมชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของภรรยาเฉิงกั๋วกงรวมถึงมารดาของท่านชายมาเนิ่นนาน” นางยิ้มเอ่ย
นายหญิงอวี้มองนาง หัวเราะพลางพยักหน้าอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็บังเอิญจริงๆ” นางเอ่ย
คุณหนูจวินก็ยิ้มพลางพยักหน้าด้วย
“ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักกัน ถ้าอย่างนั้นเรื่องเช่นนี้ก็ขอคุณหนูจวินอภัยด้วย” นายหญิงอวี้เอ่ยขึ้น ไม่ได้เอ่ยถามว่าจูจั้นกับนางรู้จักกันได้อย่างไร คล้ายสิ่งนี้ไม่สำคัญสักนิด
เรื่องเช่นนี้? พูดถึงเรื่องตนเป็นคู่หมั้นของจูจั้นหรือ?
นางไม่อะไรหรอก แต่หากจูจั้นได้ยินข่าวนี้เข้า ไม่รู้ว่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
คิดถึงภาพนั้น คุณหนูจวินก็กลั้นไม่อยู่ปิดปากหัวเราะแล้ว
“แน่นอน หากสร้างปัญหาให้แก่คุณหนูจวินก็อย่าได้เกรงใจ ข้าจะอธิบายกับทุกคน แก้ตัวกับทุกคน ไม่มีทางทำให้คุณหนูจวินเสียเวลา นำปัญหามาให้คุณหนูจวินเด็ดขาด” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ
คุณหนูจวินยิ้มพลางส่ายศีรษะ
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าท่านหญิง ท่านไม่เคยได้ยินข่าวอื่นของข้าจริงๆ” นางเอ่ยพลางยิ้มมีเลศนัย “หากบอกว่าการที่ข้าเป็นคู่หมั้นของผู้อื่น มีสัญญาหมั้นกับผู้อื่นทำให้เสียเวลา นำปัญหามาให้ข้าแล้วล่ะก็”
นางยื่นมือออกมาชูสามนิ้วให้นายหญิงอวี้
“ถ้าอย่างนั้นท่านกับท่านชายนี่ก็เป็นได้เพียงลำดับที่สาม”
ลำดับที่สาม?
ถ้าอย่างนั้นความหมายนี่ก็คือจะบอกว่านางเคยเป็นคู่หมั้นของคนอื่นมาสองครั้งแล้ว?
น่าสนใจ นางหญิงอวี้มองนาง สีหน้าไม่ได้ตกใจดูแคลนหรือไม่เชื่อ เพียงแค่สนใจอย่างยิ่ง
“คนดูกันที่หน้าตาไม่ได้จริงๆ” นางยิ้มเอ่ยขึ้น นั่งอยู่บนเก้าอี้ตบพนักแขนสองสามที “มา เล่าให้ฟังหน่อยซิ”
……………………………………….
เดือนหนึ่งผ่านไปครึ่งหนึ่งก็เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ผ่านเมืองต้าหมิงขึ้นไปทางเหนือ สิ่งที่ตามองเห็นยิ่งเปล่าเปลี่ยว
ผืนดินอุดมสมบูรณ์ที่เคยเต็มไปด้วยทุ่งนาเหล่านั้ก็ล้วนมีหญ้าขึ้นรก พื้นดินเหน็บหนาว สายน้ำแห้งเหือด
ส่วนต้นไม้ใหญ่ข้างทางส่วนมากล้วนถูกลอกเปลือกไปหมดแล้ว เห็นชัดว่าถูกชาวบ้านหิวโหยที่ผ่านมากินจนเกลี้ยง ค่อยมองดูบนถนนล้วนเป็นชาวบ้านมากมายจับกลุ่มจับพวกหนีความรกร้าง แต่ละคนๆ สีหน้าหวาดหวั่นใบหน้าเหลือง ร่างกายซูบผอม
“จากไปไม่ถึงหนึ่งปี กลับมาอีกครั้งก็เปลี่ยนเป็นคนละโลกแล้ว”
เสียงแหบพร่าของบุรุษคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
หลังร่างเขาบุรุษหลายคนสีหน้ายิ่งโศกเศร้าคับแค้น
บุรุษชราที่นั่งพักผ่อนอยู่บนม้วนผ้าห่มดำขาดวิ่นของตนข้างทางได้ยินเสียงก็มองเสียทีหนึ่ง เขาเดินมาตลอดทางคำทอดถอนใจเช่นนี้ก็ได้ยินมาเห็นมามากแล้ว แต่พวกนั้นส่วนมากคือคนที่เป็นขุนนนาง บัณฑิต คนมีเงิน แม่ทัพทหารอะไรพวกนั้น หลายคนนี้ตรงหน้าสวมเสื้อมอซอ มัดด้วยเชือกฟาง ผมเผ้าหนวดเครากระเซอะกระเซิง นอกจากร่างกายกำยำล่ำสัน สิ่งอื่นล้วนไม่แตกต่างอันใดกับคนที่ลี้ภัย
“ดีมากแล้ว” เขาไอเบาๆ เอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้บนทางเส้นนี้คนหิวตายเป็นเบือๆ”
บุรุษหลายคนนี้ได้ยินเข้าก็หันมา
“ทำไมตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเล่า?” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม “เพราะหยุดรบแล้วหรือ?”
ถามประโยคนี้ออกมาสีหน้าของเขาก็ปั้นยากยิ่งนัก
สงครามคือความทุกข์ของประชาชน แต่การไม่รบนี่ทำให้คนโศกเศร้าคับแค้นปวดใจจริงๆ
บุรุษชราโบกมือ
“ไม่ใช่ ต้องขอบคุณกองหทารชิงซาน” เขาเอ่ย “กองทหารชิงซานแจกข้าวต้มตามทาง คนมากมายได้มีชีวิตรอดทนจนถึงตัวเมืองอำเภอถัดไป ยังมีอีกนะ กองทหารชิงซานยังช่วยคุ้มครองชาวบ้านที่ลี้ภัยในแดนเหนือ ผู้ลี้ภัยมากมายล้วนไม่ต้องเร่งรีบเดินทางไกลอีกต่อไป อยู่ที่เดิมก็ทนผ่านฤดูหนาวนี้ได้แล้ว”
แจกข้าวต้มให้โอกาสชาวบ้านผู้ประสบภัยมีชีวิตรอดได้ แต่ทำให้ชาวบ้านรั้งอยู่ไม่รีบเดินทางยิ่งเป็นหลักประกันการมีชีวิตรอดได้มากยิ่งกว่า
แต่…
“กองทหารชิงซาน?” บุรุษคนนั้นเลิกคิ้ว “ร้ายกาจปานนี้? เพิ่งได้ยินครั้งแรกนะ”
แจกข้าวต้มได้ต้องใช้เงินมากมาย เบี้ยหวัดทหารทุกวันนี้ยังจ่ายไม่ครบเลย คนกับม้าได้กินอิ่มก็ไม่เลวแล้ว มีข้าวสารเงินทองเหลือให้ผู้ลี้ภัยที่ไหน
และทำให้ชาวบ้านผู้ลี้ภัยรั้งอยู่ได้ยิ่งน่าเหลือเชื่อ
แม้บอกว่าจะเจรจาสงบศึกแล้ว แต่ยกสามเมืองให้ ชาวจินก็จะยิ่งเข้ามาใกล้ ชาวบ้านด้านนั้นหวาดหวั่นวิตก ล้วนอยากหนีมาในแผ่นดินยิ่งนัก
ต้องมีชื่อเสียงบารมียิ่งใหญ่เพียงไรถึงปลอบประโลมความวิตกของชาวบ้านทั้งหลายได้ ทำให้พวกเขารั้งอยู่ที่เดิมไม่หวาดกลัว?
ทำสองจุดนี้ได้ สมกับคำว่าร้ายกาจอย่างแท้จริง
พูดถึงกองทหารชิงซาน บุรุษชราก็ฮึกเหิมอยู่นิดๆ
“ร้ายกาจแน่นอนสิ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม “นั่นเป็นถึงกองกำลังของภรรยาบุตรชายเฉิงกั๋วกงเชียวนะ”
ใครนะ?
บุรุษทั้งหลายพริบตาอึ้ง ส่วนบุรุษที่เอ่ยถามยิ่งท่าทางเหมือนเห็นผีแล้ว
“นี่มันใครกัน? ใครหน้าไม่อายปานนี้!” เขาถลึงตาตะโกน