Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 41 ต้องดูเรื่องน่าสนุก
ในกระโจมที่ต้มยาเงียบไปครู่หนึ่ง
คุณหนูจวินมองจูจั้นพลางเบะปาก คล้ายอยากพูดอะไรก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้พูด
“เลอะเทอะ” ในที่สุดนางก็กลอกตา หมุนตัวยกหม้อยาขึ้นมา
“เจ้าอย่าแกล้งโง่” จูจั้นแค่นเสียงตามมา มองคุณหนูจวินเทยาที่ต้มออกมาช้าๆ
น้ำยาเข้มข้นดำดุจหมึก กลิ่นขมที่มีกลิ่นหอมอยู่บ้างพริบตาท่วมจมูก
“ข้าแกล้งโง่อะไร” คุณหนูจวินเอ่ย ไอร้อนควันขาวลอยฟุ้งจนใบหน้าพร่ามัวอยู่บ้าง “บิดาท่านไม่ได้บอกท่านว่าเรื่องหมั้นเป็นเรื่องหลอกรึ? กลอุบายเฉพาะหน้าเท่านั้น ท่านอย่าคิดมาก”
จูจั้นแค่นเสียง
“ลูกไม้เช่นนี้ของเจ้าข้าเห็นมาเยอะแล้ว” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินวางถ้วยยาลงบนถาด
“ลูกไม้อะไรหืม?” นางเอ่ยปากถามตาม หยิบสมุนไพรต้นหนึ่งออกมาจากใน**บยา ใช้มีดเล็กหั่นละเอียดอย่างบรรจง
เสียงกึกกึกกึกกังวานเบาๆ ที่ดังขึ้นในกระโจมไม่ทำให้คนรู้สึกรำคาญ ตรงกันข้ามกลับสงบใจอย่างประหลาด
ทำหน้าทำตาจริงจังเช่นนี้ กลับแลดูเป็นเขาที่โวยวายไร้สาระ
จูจั้นถลึงตา แต่ก็ไม่อาจระเบิดโทสะได้ อย่างไรนี่ก็เป็นยาที่เตรียมให้บิดาของเขา
“ถอยเพื่อรุก” เขาอดทนกัดฟันเอ่ย “อยากรับกลับปฏิเสธ จงใจบอกว่าเจ้าหวังทำเรื่องนี้เพียงเพราะคุณธรรมยิ่งใหญ่ ภรรยาของท่านชายเป็นเพียงกลอุบายเฉพาะหน้า เจ้าไม่มีทางถือเป็นจริงแล้วก็ไม่สนใจชื่อเสียงถูกลากเสียหาย หลังจากนั้นพ่อแม่ข้าก็จะสงสารเจ้า ยิ่งชอบเจ้า เจ้าก็จะได้สมปรารถนาเป็นรางวัล”
คุณหนูจวินโปรยสมุนไพรที่หั่นเรียบร้อยแล้วลงในถ้วยยา ช้อนสายตาขึ้นมองเขา
“ปรารถนาอะไร? รางวัลอะไร?” นางเอ่ย
“เสแสร้งอะไรเล่า” จูจั้นเอ่ย “เอาจริงเอาจังหน่อย พูดเรื่องจริงจังอยู่นะ อย่ามาเล่นแบบนี้”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“พอแล้ว ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ได้อยากได้ท่านตาเป็นมันหรอก” นางเอ่ย “ทำไมข้าจะคุณธรรมยิ่งใหญ่ช่วยบ้านเมืองช่วยประชาชนไม่ได้เล่า? หรือข้าไม่ใช่คนประเภทนั้นหรือ?”
จูจั้นหัวเราะเฝื่อนๆ สองที
“เจ้าเป็นคนประเภทนั้นรึ?” เขาย้อนถาม “ไม่มีต้นสายปลายเหตุเจ้าจะทำเรื่องเช่นนี้รึ?”
คุณหนูจวินเอนศีรษะคิดนิดหนึ่ง
“คิดเช่นนี้แล้วก็ไม่จริงๆ หากไม่ใช่พ่อแม่ของท่าน การคุ้มครองประชาชนที่ป้าโจวเหอเจียน ไม่มีเงินข้าก็คงได้ แต่อี้โจวล่ะก็…” นางเอ่ยช้าๆ แล้วส่ายศีรษะ “น่าจะไม่มีทางไป”
“เจ้าดูสิ ใช่หรือไม่!” จูจั้นตะโกน “เจ้ายังบอกไม่ใช่เพราะข้า?”
คุณหนูจวินพ่นเสียงหัวเราะ
“จูจั้น” นางร้อง “ท่านพอเถอะ”
“พออะไร อุบายของพวกเจ้าผู้หญิงเช่นนี้ข้ารู้ชัดนัก” จูจั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
คุณหนูจวินไม่สนใจเขา ยกถาดเดินออกไปข้างนอก
จูจั้นตามนางไป
“เรื่องที่เจ้าทำให้พ่อแม่ข้า ข้าขอบคุณยิ่ง เจ้ามีเงื่อนไขอะไร เจ้าต้องการอะไรล้วนเอ่ยปากได้ทั้งสิ้น”
“มีเพียงเรื่องเดียว เอาตัวทดแทน อย่าฝัน”
“ต่อให้พ่อแม่ข้าตกลง ข้าก็ไม่มีทางตกลง อย่าคิดว่าเอาชนะใจพ่อแม่ข้าได้แล้วจะบีบบังคับข้าได้”
คุณหนูจวินกลอกตา
“จูเอ้อร์เสี่ยว” นางเอ่ยขึ้นแล้วหันหน้ามามองเขา “ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ได้ต้องใจท่าน ท่านอย่ากังวลเรื่องใหญ่ในชีวิตท่านไปก่อนปานนี้เลย ไม่ต้องโวยวายหนวกหูกับข้า ให้ข้าส่งยารักษาอาการบาดเจ็บให้บิดาท่านก่อนดีหรือไม่?”
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
“ใครให้เจ้าเรียกข้าว่าจูเอ้อร์เสี่ยว?” จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้อีกครั้งถลึงตาเอ่ย
คุณหนูจวินกลอกตาใส่เขาอีกหน เลิกกระโจมขึ้นเดินออกไป
จูจั้นติดตามไป มองแผ่นหลังของผู้หญิงคนนี้ ได้กลิ่นหอมของยาเข้มข้นกำจายมาตลอดทาง เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมพรูลมหายใจ
“ไม่ต้องใจข้า?” เขายื่นมือจับปลายคาง เลิกคิ้วยิ้มหยัน “คำพูดนี้ใครเชื่อเล่า ข้าคนเช่นนี้ ใครไม่ต้องใจบ้าง?”
สิ้นเสียงปลายหางตาก็มองเห็นมีคนยืนหยุดเท้าอยู่ไม่ไกลออกไป
เขาคิ้วตั้งมองไป
“คุณชายหลิง…” เหลยจงเหลียนหลุดปากเรียกแล้วรีบส่ายศีรษะ ท่าทางตื่นเต้นอยู่บ้าง “ไม่ ไม่ ท่านชาย”
จูจั้นมองเขาแต่ไม่เอ่ยวาจา
“ท่านชายท่านยังจำข้าได้ไหมขอรับ?” เหลยจงเหลียนเอ่ย สีหน้ายากปิดบังความเคารพ
ครั้งนั้นแม้คุณชายหลิงจิ่วทำให้เขาเลื่อมใสอยู่บ้างเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ไม่ได้คบหาลึกซึ้ง ยิ่งผนวกกับตอนนั้นภาพลักษณ์ของเขาตอนนั้นก็ช่าง…
วันนี้ได้รู้ว่าหลิงจิ่วก็คือบุตรชายเฉิงกั๋วกง แล้วได้ยินว่าท่านชายขัดขวางการโจมตีของกองทัพจินที่เป่าโจวกับสยงโจวปกป้องประชาชนอพยพ เขาก็ยิ่งเลื่อมใส
ต้องรู้ว่าทหารที่ท่านชายนำไปไม่มากเท่าพวกเขาและไม่มีอาวุธร้ายเหล่านี้ของพวกเขา ขัดขวางโจรจินปกป้องประชาชนอพยพยากกว่าที่เขาประสบกับตนเองมากมายนัก
จูจั้นมองเขาพลันหรี่ตาลง
“แน่นอนจำเจ้าได้สิ” เขาเอ่ย “เจ้าอีกแล้ว”
เหลยจงเหลียนตะลึงเล็กน้อย
“มองอะไรเล่า มองอีกก็จ่ายเงินมา” จูจั้นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ สะบัดแขนเสื้อก้าวยาวๆ จากไป
ที่จริงพบหน้าไม่สู้ได้ยินชื่อเสียง ชื่อเสียงความความน่านับถือของบุตรชายเฉิงกั๋วกงอยู่ในคำเล่าลือจะดีกว่า
เหลยจงเหลียนยืนอยู่ที่เดิมพลางคิด
……………………………………….
ใบไม้ผลิอบอุ่นบุปผาแย้มบาน แสงตะวันงดงามส่องสูง ความหนาวเหน็บฤดูหนาวถูกกวาดไปหมดสิ้นแล้ว สายลมฤดูใบไม้ผลิก็เปลี่ยนไปไม่ชวนให้คนเบิกบานปานนั้นแล้ว สายลมแรงหอบหนึ่งพัดผ่านฝุ่นดินปลิวฟุ้ง
บนถนนใหญ่กีบเท้าม้าย่ำเหยียบ ขบวนคนแถวหนึ่งเคลื่อนผ่านอย่างอลังการ ธงสีคลี่สะบัด ชุดเกราะสีแดงใต้แสงตะวันล้วนสว่างตาเป็นพิเศษ
ด้านหน้าทหารม้า ตรงกลางทหารเดินเท้า ด้านหลังรถสัมภาระ รถเสบียงเคลื่อนตามอลังการ
ม้าเร็วแถวแล้วแถวเล่าควบเร็วรี่ด้านหน้าแล้ววิ่งกลับมาเป็นระยะ แจ้งข่าวสถานที่ที่มาถึงเบื้องหน้า
การเดินทางของกองทหารกองนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
แม่ทัพกองกำลังรักษาเมืองของอำเภอถังเซี่ยนมองกองทหารบีบเข้าใกล้อยู่ไกลๆ ทั้งตระหนกทั้งหวาดผวา แต่ยังดีไม่นานก็ได้รู้ว่านี่เป็นกองทหารของเฉิงกั๋วกงที่ถอนกำลังกลับมาจากอี้โจวซึ่งพักอยู่ที่ด่านอันหยาง
“ที่แท้เป็นเฉิงกั๋วกงถอนค่ายหรือ?”
ขุนนางทั้งหลายของอำเภอถังเซี่ยนรีบวิ่งขึ้นกำแพงเมืองมองไปนอกเมือง
ตอนเฉิงกั๋วกงจากอี้โจวเข้ามาในติ้งโจว พวกเขาล้วนได้ข่าว ในฐานะขุนนางผู้น้อยพวกเขาไปไถ่ถามด้วยตนเองทันที แต่เหมือนเช่นแม่ทัพทั้งหมดของเมืองติ้งโจวล้วนถูกปฎิเสธอยู่นอกประตู
ไม่มีใครได้พบเฉิงกั๋วกง
ทุกคนพากันคาดเดาว่าเฉิงกั๋วกงอาจบาดเจ็บหนัก โดยเฉพาะเมื่อหลายวันก่อนบุตรชายเฉิงกั๋วกงเร่งเดินทางมาถึง จากที่คนซึ่งสอดส่องอยู่นอกค่ายใหญ่บอก บุตรชายเฉิงกั๋วกงดวงตาแดงก่ำ ทุกวันคิ้วขมวดไม่คลาย
ไม่แน่ว่าเฉิงกั๋วกงอาจไม่ไหวแล้ว
เฉิงกั๋วกงตายปุบผลกระทบมากเกินไป ดังนั้นคนเหล่านี้จึงยื้อได้ยื้อ ปกปิดได้ก็ปกปิด
ตอนนี้ยื้อไม่อยู่แล้วหรือ?
แม่ทัพทั้งหลายที่ยืนอยู่บนกำแพงมองไปอย่างกังวล กองทหารบนถนนใหญ่ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงขึ้นด้วย
กองทหารกองนี้ยิ่งใหญ่ ใบหน้าของทหารก็เคร่งขรึม มีความหดหู่ถูกทอดทิ้งสักนิดที่ไหน
“ไม่ได้บอกว่าสูญทหารเสียแม่ทัพรึ”
“ไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกงล้วนตายเกลี้ยงแล้ว รบเจ็บระนาวแล้วหรือ?”
บนกำแพงคนไม่น้อยถกเถียงเสียงเบา มองดูกองหทารที่ใกล้เข้ามาทุกที รู้สึกเพียงอำนาจกดดันโถมเข้าใส่
อำนาจกดดันประเภทที่ผ่านพิธีชำระล้างจากขุนเขาซากศพทะเลเลือดออกมาเช่นนั้น
“เร็ว เร็ว ต้อนรับท่านกั๋วกง” แม่ทัพคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยจิตใต้สำนึก
เสียงตะโกนนี้ทำให้คนรอบด้านสีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง
ตามที่หารือกันแต่เดิม พวกเขาคิดจะไม่ให้กองทหารของเฉิงกั๋วกงเข้าเมือง อย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าราชสำนักจะพิพากษาการกระทำของเฉิงกั๋วกงว่าอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงบาดเจ็บหนักใกล้ตาย
ย่อมไม่อาจล่วงเกินราชสำนักเพื่อคนตายคนนี้ได้
แต่ตอนนี้ไม่เห็นก็แล้วไป เห็นเข้าความคิดก่อนหน้าล้วนมลายสิ้นแล้ว
เฉิงกั๋วกง อย่างไรก็เป็นเฉิงกั๋วกงล่ะนะ โฉมหน้าของกองทัพกระบวนทัพนี่ทำให้คนหวาดกลัวนับถือ
คนอื่นก็ตัดสินใจจะพากันลงไปต้อนรับด้วยทันที แต่กลับเห็นกองทัพใหญ่ไม่หยุดสักนิด อ้อมตัวอำเภอตบเท้าตึงตึงจากไป
ทิศทางที่ไปคือเมืองติ้งโจว
บรรดาขุนนางของติ้งโจวตั้งแต่แรกรู้ว่าทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงถอนค่ายแล้ว
นอกเมืองติ้งโจวก็มีขบวนคนยืนนิ่งนานแล้ว หลังร่างพวกเขารอบด้านยังมีชาวบ้านนับไม่ถ้วนรวมตัวมา คนทั้งหมดสีหน้าตื่นเต้นมองไปยังที่ไกลออกไป
พื้นดินส่งเสียงดัง กีบเท้าม้าดั่งอสนีบาต กองทหารกองหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน
ร่างกายของพวกเขาเหยียดตรง ชุดเกราะเหล็กชั้นดี เอวห้อยคันศรดาบยาว แผ่นหลังสะพายกระบอกศร ขบวนแถวเป็นระเบียบอำนาจน่าเกรงขามดั่งขุนเขาเคลื่อนมา
ในขบวนแถวธงตั้งเรียงราย ธงใหญ่สามผืนชูสูงเด่น
ผืนหนึ่งตรงกลางสีเหลืองขอบสีแดง ด้านบนเขียนว่ากองทหารซุ่นอันสามคำ
ผืนหนึ่งสีแดงสดอักษรสีทอง ด้านบนเขียนว่ากองทหารชิงซานสามคำ
และธงพื้นขาวอักษรดำขอบเปลวเพลิงผืนใหญ่ที่ถูกธงสองผืนนี้ล้อมอยู่ตรงกลางผืนนี้ ด้านบนเขียนอักษรอยู่เพียงคำเดียว จู
เฉิงกั๋วกง จูซาน
เป็นธงใหญ่ของเฉิงกั๋วกงจูซาน
พร้อมกับม้าหลายตัวที่วิ่งทะยานไปมา กองทหารก็ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที หลังครู่หนึ่งเสียงแตรสัญญาณฮูมฮูมพลันดังขึ้น ทัพใหญ่หยุดลง นอกจากธงสะบัดพรึบพรับก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก
เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง กระบวนทัพแยกออกสองด้าน รถใหญ่คันหนึ่งขับออกมาช้าๆ ธงใหญ่อักษรจูผืนนั้นก็ปักตั้งอยู่บนรถคันนี้เอง
เมื่อรถขับออกมา คนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนรถก็ลุกขึ้นยืนด้วย
เขาสวมเกราะหนักสีเงินยวง รูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับไม่ดุร้ายเหมือนแม่ทัพผู้อื่นเช่นนั้น น่าจะเป็นเพราะผิวหน้าขาวเกลี้ยงเกลาเป็นเหตุ
มองเห็นคนผู้นี้ลุกขึ้นยืน ฝูงชนที่เดิมทีเอะอะอนู่นอกเมืองติ้งโจวพลันเงียบกริบไม่ส่งเสียง ข้างในข้างนอกคล้ายหยุดชะงัก สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องคนผู้นี้ก้าวเท้ามั่นคงเดินลงจากรถ รับดาบใหญ่ที่ทหารคนสนิทด้านข้างเทินส่งให้ ควงดาบเป็นบุปผาอย่างสบายๆ ทีหนึ่ง แล้วปักดาบใหญ่ลงบนพื้นหนักๆ
พื้นดินคล้ายถูกสะเทือนสั่นไหว
“ข้าจูซาน กลับมาแล้ว” เสียงอบอุ่นดังขึ้นตามมา
พร้อมกับสิ้นเสียงนี้ ฝูงชนที่เงียบสงบฉับพลันฮือฮาขึ้นมา ชาวบ้านนับไม่ถ้วนร้องตะโกนเสียงดังหัวเราะลั่น แล้วยังมีคนคุกเข่าดังตึกๆ ตามต่อกัน
“เฉิงกั๋วกง!”
“ท่านกั๋วกง!”
เสียงตะโกนดั่งขุนเขาคำรามทะเลกรีดร้อง ทั้งโลกคล้ายจะเดือดพล่านขึ้นมา
ขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมองดูภาพนี้ล้วนสีหน้าปั้นยาก
“ครั้งนี้ไม่ตายกลับมา ชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงยิ่งรุ่งโรจน์แล้ว” ขุนนางพลเรือนคนหนึ่งถอนหายใจเบาๆ
……………………………………….
ได้ยินเสียงร้องตะโกนยินดี มองดูชาวบ้านตรงหน้าดีใจคลุ้มคลั่ง สีหน้าขุนนางทั้งหลายปั้นยากหวาดกลัว รอยยิ้มบนหน้าคุณหนูจวินยิ่งกว้าง
มีคนกระแอมหนักๆ หลังร่างนางทีหนึ่ง
“เจ้าเสนอความคิดเห็นพิเรนทร์อะไร พ่อข้าไม่เคยแสดงดาบใหญ่ต่อหน้าผู้คนมาก่อน” จูจั้นกดเสียงเบาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “โอ้อวดเกินไปแล้ว”
“ไม่โอ้อวดเกินไปนะ” คุณหนูจวินหันหน้ามายิ้มให้เขา “ข้ารู้สึกว่าน่าดูนัก”
แล้วยื่นมือชี้ไปด้านหน้าอีกครั้ง
“ทุกคนก็ล้วนรู้สึกว่าน่าดู งดงามยิ่ง ตื่นตะลึงนัก“
นี่ถึงเป็นฉากเปิดตัวที่เฉิงกั๋วกงสมควรมี ไม่ใช่บาดเจ็บหนักอ่อนแอนั่น แม้บรรดาผู้ช่วยทั้งหลายของเฉิงกั๋วกงบอกว่าเช่นนี้จะจับใจคนมากกว่า แต่คุณหนูจวินรู้สึกว่าใจคนแต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกความเศร้าสลดจับอยู่
“มีเพียงแข็งแกร่งรุ่งเรือง ทรงพลังไม่อาจต้าน ถึงจับใจคนได้” นางว่า เงยศีรษะมองเฉิงกั๋วกงที่ยืนแสดงอำนาจอยู่ด้านหน้ากระบวนทัพ
ต้องให้ทุกคนรู้ เฉิงกั๋วกงร้อยศึกไม่ตาย ไม่มีใครสู้ได้