Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 42 เรื่องดีล้วนต้องคิด
ครั้งนี้เฉิงกั๋วกงไม่ได้ผ่านเมืองติ้งโจวไปโดยไม่เข้า
ทัพใหญ่ทำตามกฎตั้งทัพอยู่นอกเมือง ส่วนเฉิงกั๋วกงกับรองแม่ทัพทหารคนสนิทเข้าเมืองภายใต้การต้อนรับเชื้อเชิญของขุนนางเมืองติ้งโจว
นี่เดิมทีก็เป็นเมืองของเขา
เฉิงกั๋วกงปกครองมณฑลเหอเป่ย สามกองทหารฟังคำสั่ง เมืองให้ความช่วยเหลือ
แม้รุกถอยขัดกับพระประสงค์ของฮ่องเต้ จนคนส่วนหนึ่งของสามเหล่าทัพถอนกำลังทหารไม่เชื่อฟังการสั่งการของเฉิงกั๋วกง แต่ตอนนี้เฉิงกั๋วกงกลับมาแล้ว ไม่ได้ขัดขืนพระประสงค์ของฮ่องเต้ นอกจากนี้ยังไม่ได้ถูกฮ่องเต้ลงโทษปลดจากตำแหน่ง เขาก็ยังคงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมณฑลเหอเป่ยแห่งนี้
เขานำทัพบุกจู่โจมเขตของชาวจิน บีบชาวจินให้ไม่อาจไม่กลับไปป้องกันทั้งกองทัพ เขายังใช้ทหารได้ประหนึ่งเทพ ห้าวหาญไร้คู่ต่อกรดุจเดิม
นอกจากนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังร่างกายแข็งแรงเปี่ยมกำลังวังชา
เขายังคงเป็นขุนเขาใหญ่แห่งแดนเหนือ ทรงอำนาจไม่ล้ม
หลังพบหน้าในห้องโถงใหญ่ งานเลี้ยงก็จัดขึ้น ยกเนื้อชามโต สุราถ้วยใหญ่มา
บรรดาขุนนางกับแม่ทัพของติ้งโจวพากันลุกขึ้นยืน ต้องการคารวะสุราก็เห็นสตรีเยาว์วัยที่ยืนอยู่หลังร่างเฉิงกั๋วกงกระซิบข้างหูเขาหลายประโยค
เฉิงกั๋วกงยิ้มพลางพยักหน้า
สตรีเยาว์วัยผู้นั้นจึงสั่งการบ่าวหญิงด้านข้างให้หยิบอาหารบางอย่างจากในงานเลี้ยงวางไว้ด้านหน้าเฉิงกั๋วกง
ในห้องโถงใหญ่เงียบกริบไร้เสียงมองดูภาพนี้อย่างเงียบงัน
“ท่านกั๋วกงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อาหารการกินมีของที่ทานไม่ได้อยู่บ้าง” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ยอธิบายกับผู้คน
ที่แท้ก็ได้รับบาดเจ็บรึ
สายตาของขุนนางกับแม่ทัพทั้งหลายล้วนจับอยู่บนร่างของเฉิงกั๋วกง ดูไปแล้วไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนถนอมร่างกายเป็นพิเศษ หลังศึกใหญ่มากน้อยก็ต้องบำรุงรักษาดีๆ
ดังนั้นผู้คนล้วนพยักหน้าขานรับ ยังมีคนจะเรียกหมอมาทันที
“ไม่จำเป็น ทานยาที่ถูกต้องกับโรคแล้ว” สตรีคนนั้นอมยิ้มเอ่ย
ผู้คนมองเฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง เห็นเขายังคงอมยิ้มไม่พูดจา
ผู้คนยิ่งไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
มีบ่าวหญิงรีบจะนำไหสุราออกไปด้วย
“สุรานี่” คุณหนูจวินเอ่ย มองดูผู้คนด้านในโถง “วันนี้เป็นโมงยามแห่งความยินดี ควรดื่ม”
สุราดื่มได้รึ
บรรดาขุนนางแม่ทัพรีบยกถ้วยสุราจะเชิญ
คุณหนูจวินกลับถือสุราขึ้นมา
“แต่เฉิงกั๋วกงดื่มไม่ได้” นางเอ่ย
ในใจจูจั้นกระตุกวูบ เหล่ตามอง สายตาของคุณหนูจวินมองมาทางเขาจริงๆ
“…บิดาบุตรร่วมออกศึก” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ยแล้ววางไหสุราข้ามมา “สุรานี้ให้ท่านชายดื่มแทนแล้วกัน”
สายตาของผู้คนมองไปทางจูจั้น
จูจั้นที่มือเท้าหน้าผากอยู่สะบัดวูบหนึ่งพลันนั่งตัวตรง
“นั่นแน่นอน” เขาหัวเราะฮ่าฮ่าเอ่ยขึ้น ยื่นมือยกไหสุราขึ้นมา “มามา คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ”
ผู้คนด้านในโถงก็ชูจอกสุราขึ้นหัวเราะฮ่าฮ่าประสานรับ
คุณหนูจวินอมยิ้มถอยหลังไป
ผู้คนดื่มสุราพลางสนทนาปราศรัยกัน ทว่าสายตาล้วนแอบลอบมอง เห็นนางกระซิบกับเฉิงกั๋วกงหลายประโยคอีกครั้ง เฉิงกั๋วกงก็อมยิ้มพยักหน้า สตรีคนนั้นจึงถอยออกไปด้านข้าง
จนตอนนี้ในใจผู้คนถึงโล่งอกอยู่บ้าง แล้วก็เกิดความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาอีกครั้ง
คล้ายกับว่าเฉิงกั๋วกงกับท่านชายสองพ่อลูกล้วนชะเง้อมองหัวม้าของสตรีผู้นี้เพียงผู้เดียว
สตรีผู้นี้ใครกัน?
“เจ้าไม่รู้รึ” แม่ทัพคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเบากับขุนนางที่เดินทางมาใหม่ข้างกาย “นี่ก็คือภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงไง”
ที่เฉิงกั๋วกงกลับมาจากอี้โจวได้ก็เพราะภรรยาบุตรชายคนนี้โน้มน้าวกองทหารซุ่นอัน ทั้งยังเดินทางติดตามไปด้วยตนเอง
“ดังนั้นเฉิงกั๋วกงกับท่านชายล้วนฟังนางก็ไม่แปลกอะไร” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “นั่นเป็นบุญคุณช่วยชีวิตเชียวนะ”
คนด้านหน้าก็อดไม่ไหวหันกายมา
“ภรรยาท่านชายคนนี้เป็นใครกัน?” เขาเอ่ยเสียงเบา “ได้ยินว่าร้ายกาจยิ่งนัก นำกองทหารชิงซานอะไรที่ถืออาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจมากมาย ไม่เช่นนั้นลูกลิงพวกนั้นของกองทหารซุ่นอันไม่กี่พันคนจะเหยียบราบทุกทิศได้อย่างไร”
“จะเป็นใครได้เล่า” มีคนเอ่ยเสียงเบา “ก็คงเหมือนกับท่านหญิงเฉิงกั๋ว”
คนรอบด้านเลิกคิ้วทันที แววตาระยิบระยับ
“เป็นโจรอีกแล้วรึ?” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา มองไปทางเฉิงกั๋วกงที่กำลังสนทนาปราศรัยกับบรรดาแม่ทัพยศสูงด้านหน้าอยู่ รวมถึงท่านชายที่กำลังหิ้วไหสุราชนจอกสำราญกับแม่ทัพที่มาพูดคุยอยู่ข้างกายบิดา สีหน้าเห็นใจอยู่บ้าง
พ่อลูกสองคนนี้ล้วนติดหนี้น้ำใจโจร ไม่อาจไม่มอบกายตอบแทน ดังนั้นจึงบอกว่าบุรุษหน้าตางามก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร
“แต่งลูกสะใภ้โจรคนหนึ่งแล้วร้ายกาจได้ปานนี้ล่ะก็ ข้าก็ยินดี” มีคนอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น
“จะมาถึงเจ้ารึหึ ไม่ดูสภาพหน้าตาของเจ้าเสียบ้าง” ผู้คนรอบด้านสบถแล้วหัวเราะขึ้นมา
หน้าหลังล้วนมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ในห้องโถงอบอวลบรรยากาศรื่นเริง
……………………………………….
……………………………………….
จูจั้นรู้สึกเพียงปวดหัวแทบปริแยก
เขากุมหน้าผากพลิกกาย กอดผ้าห่มนุ่มนิ่มไว้
“เจ้าหนูฝูงนี้ ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย คนมากรังแกคนน้อย” เขาเอ่ยพึมพำ
มีผ้าเช็ดหน้าเย็นวางลงบนหน้าผาก ทำให้เขารู้สึกตัวอย่างช่วยไม่ได้
มีคน คนแปลกหน้า เข้าใกล้เขา
จูจั้นลืมตาขึ้นโดยพลัน มองเห็นใบหน้าของคุณหนูจวินที่ค้อมกายเข้ามาใกล้
“คุณพระ! เจ้าคิดจะทำอะไร?” เขาตะโกน ยกมือผลักไป
คุณหนูจวินหลบออก
“ดูว่าท่านตื่นหรือยัง” นางเอ่ย จากนั้นบ่ายหน้ามองโต๊ะเตี้ยข้างเตียง บนนั้นวางถ้วยยาใบหนึ่งอยู่ “ดื่มยาแล้วที่ปวดหัวจะดีขึ้น”
จูจั้นรั้งมือกลับ มองนางอย่างระแวง
“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าแสร้งทำเอง” เขาเอ่ย “ให้สาวใช้สักคนมาก็ได้แล้ว”
พูดพลางยื่นมือยกถ้วยยา
“ไม่มีธุระอย่าเข้ามาในห้องข้า” เขาดื่มยาไปพลางเอ่ยงึมงำออกมาพลาง
คุณหนูจวินมองเขาแล้วแย้มยิ้ม
“นี่เป็นห้องข้า ท่านอยู่บนเตียงของข้า” นางเอ่ยบอก
จูจั้นพ่นน้ำยาออกมาดังพรวด ไม่ทันสนใจเช็ดก็ส่ายหัวมองซ้ายขวา
พวกเขาถูกจัดให้พักที่จวนว่าการเมืองของเมืองติ้งโจวซึ่งบูรณะได้หรูหรายิ่งนัก
ความอบอุ่นกับกลิ่นหอมวนเวียน ตกแต่งงามละมุน สี่มุมเตียงยังมีม่านลูกปัดห้าสีทิ้งตัวลงมา ซุกซนทั้งยังน่ารักเห็นชัดว่าเป็นห้องของสตรี
ไม่ใช่ห้องของตนจริงๆ
“ข้ามาที่นี่ของเจ้าได้ยังไง?” เขาตะโกน ก้มศีรษะมองบนร่างตนเอง ที่ใส่อยู่คือเสื้อตัวในที่ตนใช้ประจำ
เขาห้ามไม่อยู่ร้องอ้ากทีหนึ่ง
“เจ้า…” เขามองไปทางคุณหนูจวิน สีหน้าทั้งลนลานทั้งโศกเศร้าคับแค้น “เจ้าถอดเสื้อผ้าข้า!”
คุณหนูจวินกลอกตาทีหนึ่ง
“เจ้าเมืองติ้งโจวจัดสาวใช้ที่ดีที่สุดห้าคนให้” นางเอ่ย “ต่อให้ท่านดื่มจนเมาอีกเท่าใด พวกนางก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านได้”
จูจั้นตอนนี้ถึงวางมือลงจากหน้าตัวอย่างระวัง
“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ของเจ้าได้?” เขาเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่ทราบ คนเหล่านั้นส่งท่านมา” คุณหนูจวินเอ่ย “บางทีพวกเขาคงลืมแล้วว่าพวกเราเป็นคู่หมั้นที่ยังไม่แต่งงาน แต่ละคนๆ ดื่มจนเมามาย คงคิดว่าพวกเราเป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้ว”
สามีย่อมต้องพักด้วยกันกับภรรยา
“อย่างไรข้าก็ไม่อาจไล่ท่านออกไปได้กระมัง” คุณหนูจวินเอ่ย “แต่ท่านวางใจ ข้าไม่นอนด้วยกันกับท่านหรอก”
เชอะเชอะเชอะ นอนด้วยกันคำพูดสกปรกเช่นนี้นางก็พูดออกจากปากได้สบายๆ ปานนี้ เป็นคนไม่เรียบร้อยคนหนึ่งจริงๆ!
จูจั้นถลึงตา นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพลันหัวเราะหยันเสียงหนึ่ง
“ที่แท้เจ้าก็หมายตาสิ่งนี้ไว้” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินมองเขา
“ท่านคิดอะไรอีกแล้วเล่า?” นางเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง
“มิน่าคืนวานเจ้าถึงให้ข้าดื่มสุราแทนพ่อข้า ที่แท้ก็หมายตาสิ่งนี้ไว้” จูจั้นยื่นมือชี้นาง “อาศัยยามข้าเมา ทำข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก…”
คุณหนูจวินโกรธนักแล้วก็ขันนัก ยกมือขึ้นตบมือของเขาลงไป
“จูจั้น” นางตะโกน “ท่านคิดเรื่องดีงามอะไรหึ!”
……………………………………….
“ข้าไม่ได้คิดเรื่องดีงาม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกสิเจ้าทำเช่นนี้ทำไม?” จูจั้นพูดขึ้นมา เก็บรอยยิ้มหยันไป สีหน้าเคร่งขรึม “ตัวเจ้าเองก็บอก หากไม่ใช่พ่อข้าคงไม่มีทางเสี่ยงอันตรายเข้าไปในอี้โจว”
คุณหนูจวินเงียบงัน
“ข้ารู้ว่าโลกนี้มีคุณธรรมยิ่งใหญ่ แต่โลกนี้ไม่เคยมีความรักความชังที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ” จูจั้นเอ่ยต่อ “ที่แท้เพราะเหตุใดเจ้าถึงใส่ใจพ่อข้าแม่ข้าเช่นนี้ ไม่เสียดายเอาตัวเสี่ยงอันตราย?”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“เพราะนี่เป็นเรื่องดีงามอย่างไรเล่า” นางเอ่ยขึ้น พูดจบก็หมุนตัวจะจากไป
จูจั้นกระโดดลงมาจากบนเตียง เท้าเปล่าไล่ตาม
“เจ้าห้ามไป เรื่องนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง” เขาเอ่ยขึ้น
เสียงโต้เถียงเบาๆ ในห้องท่ามกลางฟ้าสางฤดูใบไม้ผลิ ฟังดูแล้วฉายความชีวิตชีวาเด่นชัด เอะอะแต่อบอุ่น
สาวใช้ทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้านนอกสบตากันทีหนึ่ง
ท่านชายกับภรรยาของท่านชายความสัมพันธ์ดีจริงๆ
หนุ่มหล่อสาวสวย สามีภรรยากลมเกลียว สรุปเป็นเรื่องดีงามที่ทำให้คนมีความสุข
สาวใช้ทั้งหลายในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่เมืองหลวงเวลานี้ หวงเฉิงที่สวมเสื้อตัวในนั่งอยู่ในห้องหนังสือกลับไม่รู้สึกว่าโลกนี้มีเรื่องดีงามอะไรที่ทำให้คนมีความสุข
อากาศยิ่งอบอุ่นขึ้นทุกทีๆ การหอบไอของเขาก็ยิ่งหนักขึ้น บุปผาใบไม้ผลิปุยต้นหลิวทำให้จมูกของเขาทรมาน
ใบไม้ผลิมาเยือนอีกหน อายุของเขาก็ชราลงอีกหนึ่งปี แก่ลงหนึ่งปีก็ยิ่งเข้าใกล้ความตายก้าวหนึ่ง
เขากลับไม่กลัวความตายเท่าไรนัก เพียงแต่คนที่อยากให้ตายยังไม่ตาย ทำให้คนไม่มีความสุขนักจริงๆ
“ถึงขั้นนี้ยังไม่ตาย ดวงของจูซานคนนี้แข็งจริงๆ นะ” เขาถอนหายใจเอ่ย