Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 60 สิ่งที่ใจเขาคิด
ในห้องวางชั้นหนังสือที่กองเต็มไปด้วยหนังสือสมุดหนาปึกไว้หลายแถว แทบจะวางโต๊ะได้อีกเพียงตัวเดียว เบียดเสียดคับแคบ แต่กลับไม่ทำให้อากาศในห้องอึดอัด
ก็คงเป็นเพราะสมุดนั่นแม้มากแต่กลับวางอย่างเป็นระเบียบและสะอาด เพราะบนหน้าต่างวางดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่แย้มบานไว้
แล้วก็อาจเพราะบนโต๊ะที่มีเพียงตัวเดียวพู่กันหมึกกระดาษและแท่นฝนล้วนเป็นของมีชื่อ รวมถึงมือของหนิงอวิ๋นเจาที่กำพู่กันนั่งอยู่หน้าโต๊ะคัดลอกเอกสารก็เรียวยาว การเคลื่อนไหวไหลลื่นดั่งเมฆาคล้อยสายน้ำไหล ทำให้คนรื่นรมย์
เพียงแต่สหายขุนนางเวลานี้ยังคงคิ้วขมวดหน้าบึ้ง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่จ่ายเบี้ยหวัด นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน”
หนิงอวิ๋นเจายื่นมือโบก
“พูดเช่นนี้ไม่ได้” เขาเอ่ย “รัชสมัยก่อนปีอิงซุ่นที่ห้า อดีตองค์จักรพรรดิเคยอ้างว่าทรัพย์ขาดแคลนธุระมาก สั่งหยุดจ่ายเบี้ยหวัดขุนนางในราชสำนักขุนนางในเมืองหลวงสามเดือน”
สหายขุนนางอึ้งนิดหนึ่ง รีบโบกมือส่งเสียงชู่ใส่เขา แล้วมองไปข้างนอกอีก
“ขุนนางน้อยหนิงของข้า ท่านอย่าพูดส่งเดชเชียว นี่ นี่เปรียบเทียบกันไม่ได้นะ” เขารีบร้อนเอ่ยเสียงเบา
เทียบฮ่องเต้ปัจจุบันกับฮ่องเต้แคว้นล่มรัชสมัยก่อน นี่หากลือออกไป ผู้ตรวจการกินเขาได้แล้ว
“เปรียบอะไร? ข้าไม่ได้เปรียบนะ” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ย “ข้าจะบอกว่าทุกคนไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ ฝ่าบาทไม่ได้ไม่จ่ายเบี้ยหวัด”
สหายขุนนางงุนงงไปครู่หนึ่ง
“เมื่อครู่ที่ประชุมขุนนางบอกแล้ว…” เขายื่นมือชี้ด้านนอก
“นั่นก็ไม่ใช่บอกว่าไม่จ่ายนี่” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าจริงจังเอ่ย “บอกอยู่ชัดๆ ว่าเป็นการสมัครใจถวายเบี้ยหวัดหนึ่งเดือน ถวายกับไม่จ่ายไม่เหมือนกัน”
นี่มีสิ่งใดไม่เหมือนกัน! สหายขุนนางตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็หลุดหัวเราะ ก็แค่เปลี่ยนคำที่ฟังดูดีคำหนึ่งเท่านั้น
ใครสมัครใจเล่า
“ข้าสมัครใจ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยจริงจัง “ก็เพราะแม่ทัพทั้งหลายเช่นเฉิงกั๋วกงกล้าหาญตรากตรำปกป้องแดนเหนือ ชาวจินถึงไม่อาจไม่เจรจาสงบศึก ราชสำนักให้รางวัลพวกเฉิงกั๋วกงก็สมควร ส่วนท้องพระคลังของราชสำนักชั่วขณะหนึ่งเอาเงินมากปานนั้นออกมาไม่ได้ พวกเราผู้กินเงินหลวงแบ่งเบาภาระเจ้าแผ่นดิน บริจาคเบี้ยหวัดหนึ่งเดือนออกมานับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เบี้ยหวัดหนึ่งเดือนเพิ่งเงินเท่าไร?”
เบี้ยหวัดหนึ่งเดือนเป็นเงินไม่เท่าไรจริงๆ สหายขุนนางคิดครู่หนึ่ง แต่ก็ถอนหายใจเฮ้ออีกครั้ง ถลึงตามองหนิงอวิ๋นเจา
“เจ้าเหมือนกับท่านอาของเจ้าจริงๆ นะ เจ้าไม่มีความเห็นสักนิดกับเรื่องใหญ่ของราชสำนักเลยหรือ?” เขาถลึงตาเอ่ย “ไม่ว่าฝ่าบาทจะว่าอย่างไรเจ้าก็ว่าดีรึ?”
“เพราะดีจริงๆ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างดี ทำเช่นนี้แม่ทัพทหารทั้งหลายก็จะได้รับเกียรติยศที่ควรได้รับ แล้วพวกเราก็ได้แสดงความนับถือที่มีต่อแม่ทัพทหารด้วย ข้ารู้สึกว่าหนึ่งเดือนน้อยเกินไปแล้ว ข้ายินดีบริจาคสองเดือน”
สหายขุนนางสบถ
“หนิงฉาง เจ้าอย่าเสแสร้งแกล้งโง่เป็นจริงเป็นจัง” เขาถลึงตาเอ่ย “นี่เป็นปัญหาเรื่องเงินมากเงินน้อยหรือ?”
“น่าจะใช่นะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
“ใช่เสียที่ไหนเล่า เจ้าก็ไม่ใช่โง่เสียหน่อย” สหายขุนนางโมโหเอ่ยขึ้น “ใครสนใจเงินหนึ่งเดือนนี่ เรื่องนี้ทำเช่นนี้ไม่ได้! อาศัยอะไรฉลองความดีความชอบของเฉิงกั๋วกงต้องให้พวกเราออกเงิน?”
“มีความดีความชอบก็ร่วมยินดีร่วมเสพสุขไหม” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
“ใช่แล้ว มีความดีความชอบ เขามีความดีความชอบ พวกเราก็ไม่มีความชอบรึ?” สหายขุนนางสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย ยื่นมือชี้ทิศเหนือ “เขาอยู่ที่แดนเหนือปกป้องชายแดนมีความดีความชอบ พวกเราอยู่ที่นี่ทำงานงกๆ เป็นตัวไร้ประโยชน์งั้นรึ?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ทุกคนล้วนมีความดีความชอบ เขาปกป้องชายแดนคุ้มครองงานในราชสำนักของพวกเราให้มั่นคง งานในราชสำนักของพวกเรามั่นคงจึงทำให้พวกเขาปกป้องชายแดนอย่างมั่นคงได้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ดังนั้นจึงพูดว่าร่วมเสพสุข”
“ร่วมเสพสุขอะไรเล่า? ร่วมเสพสุขก็ไม่ควรหักเบี้ยหวัดของพวกเราไปให้รางวัลพวกเขาสิ” สหายขุนนางตบโต๊ะหลายที “ร่วมเสพสุขก็ควรให้รางวัลพวกเราด้วยสิ!”
หนิงอวิ๋นเขายื่นมือประคองเอกสารตั้งสูงที่โงนเงนเพราะถูกตบไว้ สีหน้าไม่รีบร้อนไม่ลนลาน
“ใช้เงินของพวกเราให้รางวัลพวกเขา ความดีความชอบที่แดนเหนือนี้ก็มีส่วนของพวกเราด้วย ความชอบทางทหารนี่ก็มีของพวกเราด้วย นี่สำหรับพวกเราแล้วไยไม่ใช่เป็นรางวัลเช่นกัน” เขาเอ่ย
สหายขุนนางถลึงตามองเขาครู่หนึ่ง คล้ายอับจนวาจาอยู่บ้าง
“ขอให้ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้อย่างเจ้า” เขาแค่นเสียงเอ่ย ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ
มองดูสหายขุนนางเดินออกไป หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มไม่เอ่ยรั้งไว้ต่อ ในห้องฟื้นกลับมาเงียบสงบ เพียงแต่เสียงเอะอะด้านนอกยิ่งดัง คล้ายกับว่าคนจากที่ทำการขุนนางทั้งถนนล้วนออกมาแล้ว
หนิงอวิ๋นเจาถือพู่กันในมือขึ้น
“แม้คนทั้งหมดไม่อาจล้วนคิดเช่นนี้อย่างข้าได้ แต่ได้กี่คนก็เท่านั้นคน” เขาเอ่ย “ไม่เช่นนั้นเฉิงกั๋วกงคราวนี้คงลำบากจริงๆ แล้ว”
……………………………………….
“ใจเขาไยชั่วร้ายปานนี้หนอ!”
ในห้องหนังสือของหนิงเหยียน หนิงสืออีตบโต๊ะเอ่ยขึ้นอย่างชิงชัง
“ถึงกับใช้ลูกไม้เช่นนี้ออกมาได้”
หนิงเหยียนกับหนิงอวิ๋นเจานั่งประจันหน้ากันมองดูกระดานหมาก คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา
หนิงสืออีไม่หยุดลิ้น
“แรกสุดเก็บเงินพ่อค้าหาบเร่ในเมืองหลวงส่งเดช ไม่จ่ายเงินปุบก็ขับไล่ ก่อเรื่องจนเสียงโอดครวญของพ่อค้าในเมืองหลวงเต็มถนน แทบจะปิดตลาดอยู่แล้ว” เขาเอ่ย
“ก็ไม่ได้ร้ายแรงเช่นนั้นนะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยพลางวางหมาก “ข้าไปถามมาแล้ว ไม่ใช่ร้านค้าทั้งหมดจะถูกเรียกเก็บเงิน ก็แค่พ่อค้าเจ้าเล็กพวกเพิงน้ำชารถเข็นคนหิ้วตะกร้าร้องเร่ขายตามถนนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ตลาดไม่ได้รับผลกระทบ ร้านค้าเจ้าใหญ่ทั้งหลายล้วนปลอดภัย
คำพูดเกินจริงถูกตีแตก หนิงสืออีพลันอับอายหงุดหงิดอยู่บ้าง
“พี่สิบ นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับร้านค้าใหญ่หรือเล็ก เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง” เขาเอ่ย
มือที่หยิบเม็ดหมากของหนิงเหยียนชะงัก
“นี่ก็บอกว่าใช้เพื่อรวบรวมรางวัลให้เฉิงกั๋วกงหรือ?” เขามองหนิงอวิ๋นเจาแล้วเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ
“หาใช่ไม่” เขาเอ่ย “ไม่บอกสิ่งใดกับพวกร้านค้าแผงขายทั้งสิ้น”
หนิงเหยียนยิ้มหยัน วางหมาก
“ถ้าเช่นนั้นก็พูดแต่กับพวกขุนนาง” เขาเอ่ย “บอกชัดเจนแจ้มแจ้งว่าท้องพระคลังไม่มีเงิน ต้องการให้ทุกคนออกเงิน”
หนิงอวิ๋นเจายกมือวางหมาก
“ก็ไม่มาก แค่เบี้ยหวัดหนึ่งเดือนเท่านั้น” เขาเอ่ย
“พี่สิบ” หนิงสืออีทนไม่ไหวร้อนใจเอ่ยขึ้น กระเถิบไปข้างหน้า “นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินมากเงินน้อย…”
หนิงอวิ๋นเจาหันไปมองเขา
“แต่ตอนนี้ได้แต่กัดฟันบอกท่าเดียวว่าปัญหาเรื่องเงินมากเงินน้อย” หนิงอวิ๋นเจาขัดเขา เสียงนิ่งสงบอ่ยขึ้น “กัดฟันบอกว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ไม่เช่นนั้นย่อมตกหลุมเล่ห์ร้ายของเขา”
หนิงสืออีตะลึงมองเขา หนิงเหยียนก้มศีรษะมองกระดานหมาก สีหน้าเคร่งขรึม
“ฝ่าบาทก็เห็นด้วยเช่นนี้แล้ว?” เขาเอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาวางหมากต่อ
“ฝ่าบาททำไมจะไม่เห็นด้วยเล่า?” เขาตอบ “ฝ่าบาทตั้งใจจะพระราชทานรางวัลให้เฉิงกั๋วกง ซาบซึ้งที่เฉิงกั๋วกงลำบาก คำขอร้องของเขา คำขอร้องของกองทหารกองต่างๆ ทั้งหมดไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ได้ยินกรมขุนนางบอกว่าเอาเงินไม่พอเอาออกมา ฝ่าบาทก็หลั่งน้ำพระเนตรในที่ประชุม จะเอาค่าใช้จ่ายของวังหลังออกมา”
ฮ่องเต้ยังบริจาคเงินแล้ว กรมขุนนางถึงเอ่ยขึ้นมาว่าจะให้เหล่าขุนนางบริจาคเงินด้วย
นี่ย่อมไม่ใช่ฮ่องเต้บีบบังคับ เป็นกรมขุนนางเสนอตัว ฮ่องเต้ไม่มีความผิดแม้สักน้อย จะผิดก็เป็นความผิดของกรมขุนนาง
ดังนั้นฮ่องเต้มีสิ่งใดไม่เห็นด้วย
หนิงสืออีเงียบงัน หมากในมือหนิงเหยียนเนิ่นนานไม่วางลง ในห้องหนังสือพลันเงียบสงบไปชั่วครู่
และเวลานี้ในห้องหนังสือของหวงเฉิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะระลอกแล้วระลอกเล่า
ในห้องหนังสือคนไม่น้อยนั่งล้อมวงอยู่ มีชามีสุราทั้งยังพูดคุยพลางหัวเราะครึกครื้นยิ่งนัก
“ฝ่าบาทไม่ผิด ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดินผู้เมตตา” บุรุษคนหนึ่งที่กำลังยกถ้วยชาเอ่ยกับอีกหลายคน “จะผิดก็เป็นความผิดของพวกเรากรมขุนนาง พวกเราออกความเห็นพิเรนทร์อะไร! ขอบริจาค พวกเจ้าอุตส่าห์คิดออกมาได้”
“ใช่แล้ว พวกเราทำงามหามรุ่งหามค่ำแค่เพื่อเบี้ยหวัดไม่กี่ตำลึงทุกเดือนงั้นรึ?” บุรุษอีกคนก็เอ่ยตามเสียงดังด้วย
สิ้นเสียง ห้องหนังสือที่ครึกครื้นพลันชะงักนิ่งทันที
คนทั้งหมดล้วนมองไปทางบุรุษคนนี้
บุรุษคนนี้ถึงได้สติ
“ไม่ ไม่ ข้าจะบอกว่าพวกกเราทำงามหามรุ่งหามค่ำไม่ใช่เพื่อเบี้ยหวัดไม่กี่ตำลึงทุกเดือนรึ” เขารีบร้อนเอ่ย แล้วโกรธแค้นคับอกชี้บุรุษฝั่งตรงข้าม “กรมขุนนางของพวกเจ้าทำเช่นนี้ จะเอาชีวิตพวกเราจริงๆ”
เฮ้อ คำพูดนี้ถึงถูกต้องแล้ว
ในห้องหนังสือครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่ไม่ใช่เรื่องเงินมากน้อย” มีคนเอ่ยขึ้น “พวกเขาทำเช่นนี้ครั้งหนึ่งได้ย่อมต้องยังมีครั้งหน้า เรื่องเลวร้ายมีเริ่มต้น ย่อมหยุดไม่อยู่”
ทุกคนพากันเห็นพ้อง ชี้มือชี้ไม้ใส่บุรุษหลายคน ดูไปแล้วโกรธแค้นอย่างยิ่ง
บุรุษหลายคนที่ถูกถลึงตาเย็นชาใส่กลับแย้มรอยยิ้ม
“พวกเราก็ไม่มีหนทางนี่” บุรุษคนหนึ่งนั้นเอ่ย สีหน้าอับจนปัญญาผายมือ “ศรีภรรยาไร้ข้าวสารก็ยากหุงหาอาหาร ควักเงินออกมาไม่ได้ ปลอบประโลมท่านทหารทั้งหลายไม่ได้ ก่อความวุ่นวายขึ้นมาจะทำอย่างไร ได้แต่ลำบากทุกคนแล้ว จะโทษก็ไม่อาจโทษพวกเราได้”
คล้ายกับว่าก็เพื่อรอประโยคนี้ของเขา ผู้คนที่นั่งอยู่ชูถ้วยขึ้นทันที
“ถ้าอย่างนั้นโทษใคร?” พวกเขาเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง
บุรุษก็ชูถ้วยชาในมือขึ้นด้วย
“แน่นอนย่อมเป็น เฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ยเสียงดัง
ในห้องหนังสืออึกทึกทันที
“ทำไม?”พวกเขาตะโกนเสียงพร้อมเพรียงอีกครั้ง
บุรุษพลันชูถ้วยขึ้นอีกหน
“เพราะเขาบีบคั้นบังคับคน เพราะเขา แม่ทัพกองทหารต่างๆ จึงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” เขาเอ่ยเสียงดัง
ในห้องหนังสือยิ่งครึกครื้น
“จะโทษใคร?”
“เฉิงกั๋วกง”
“เป็นใครบีบคั้นบังคับคน?”
“เฉิงกั๋วกง”
“เป็นใครเอาความดีความชอบมาขอรางวัล?”
“เฉิงกั๋วกง”
เสียงตะโกนเสียงหัวเราะเสียงดื่มสุราอุตลุดแต่ก็เป็นระเบียบพร้อมเพรียง ทำให้บรรยากาศในห้องหนังสือครึกครื้นแบบแปลกๆ
ท่ามกลางความครึกครื้นนี้ หวงเฉิงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะร่างกายงองุ้มเล็กน้อย ชูจอกสุรา เทลงพื้นช้าๆ
“เฉิงกั๋วกง” มุมปากเขายิ้มบางๆ “เชิญ”