Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 66 จะเข้าเมืองต้องผ่านสามด่าน
กำลังพลของเฉิงกั๋วกงไม่ธรรมดาจริงๆ
ทหารตั้งกระบวนทัพ เคลื่อนไหวพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ กระทั่งเสียงกีบเท้าม้าก็ดังพร้อมเพรียง
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือกลิ่นคาวเลือดของพวกเขา
ชาวบ้านนับไม่ถ้วนก้าวถอยไปด้านหลังประหนึ่งสายลมพัดรวงข้าวเป็นระลอกคลื่น คนทุกคนล้วนสีหน้าดุจดิน ลมหายใจชะงัก
ไม่ ไม่ พวกเขาไม่กล้า
ในใจบุรุษที่ขวางกลางถนนตะโกนบ้าคลั่ง
จะ จะสังหารผู้คนจริงๆ รึ?
ทหารที่กำลังทำหน้าที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าหวาดกลัว
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว เดินหน้า
สีหน้าของพลหอกด้านนี้นิ่งเฉยไม่เปลี่ยน
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ถอยหลัง
ชาวบ้านที่เบียดอยู่บนถนนใหญ่ด้านนี้สีหน้าหวาดกลัว คนมากมายยืนไม่มั่นคงแล้ว
ดูเหมือนพวกเขาจะฆ่าคนจริงๆ
ไม่ถูก พวกเขาเดิมก็ฆ่าคนได้จริงๆ เคยฆ่าคนมานับไม่ถ้วน
ได้ยินว่าฆ่าคนมากเข้าจะเปลี่ยนไปกระหายการฆ่า ไม่แบ่งแยกว่าใครแม้แต่น้อย
พวกเขาเพียงอยากได้เงิน จะพ่วงชีวิตไปด้วยรึ?
ใครบอกว่าเฉิงกั๋วกงรักเกียรติยศจอมปลอม ละโมบชื่อเสียงดีงามกัน?
ทำไมลืมเสียได้ว่าชื่อเสียงของเขามาจากไหน นั่นเป็นสิ่งที่สังหารฝ่าภูเขาโลหิตทะเลเลือดจึงได้มา ความดีความชอบของแม่ทัพคนหนึ่งก็คือโครงกระดูกนับหมื่น นั่นยอมไม่ใช่คนมีเมตตาอะไร
“หนีเร็ว!”
ไม่รู้ว่าคนไหนตะโกนออกมาก่อน ฉับพลันฝูงชนทั้งหมดก็ทลาย หนีไปข้างหลังและสองด้าน บ้างร้องไห้ บ้างตะโกน บ้างรองเท้าหลุด บ้างถูกชนจนตนเองล้มลุกคลุกคลาน
พร้อมกับความวุ่นวายเหล่านี้ พลหอกที่ตั้งกระบวนทัพเคลื่อนที่อยู่ก็ประหนึ่งรถยักษ์เคลื่อนบดขยี้มาไม่หยุดสักนิด
“เก็บ!”
เสียงตะโกนใสกังวาน หอกยาวเก็บขึ้น ขบวนแถวเปลี่ยนอีกหน พลธนูก้าวขึ้นหน้า พลโล่เป็นสองปีก พลหอกอยู่ตรงกลาง
การเปลี่ยนรูปขบวนระหว่างเคลื่อนที่ไม่ได้วุ่นวายสักนิด ขัดกับสภาพฝูงชนที่ร้องไห้ตะโกนวิ่งวุ่นวายสองด้านอย่างชัดเจน
การปรับเปลี่ยนที่เหมือนไม่ได้ขยับ ขึงขังเช่นนี้ เป็นระเบียบพร้อมเพรียงเช่นนี้ นำความงามที่ชวนให้คนตาพร่าสติมึนงงมา ฝูงชนที่เอะอะเงียบลงแล้ว แต่ละคนๆ อดไม่ได้ขนหัวลุก
นี่ก็คือกระบวนทัพ นี่ก็คือแม่ทัพหาญทหารกล้าที่สังหารโจรจินจนขอเจรจาสงบศึกได้
กระบวนทัพรุดเคลื่อนไปด้านหน้าคล้ายก่อนหน้านี้ไม่ถูกขัดขวางสักนิด ไกลออกไปเสียงร้องสรรเสริญดังขึ้นอีกหน เทียบกับก่อนหน้านี้ท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญของคนที่ชมดูเรื่องสนุกนั่นมีความยำเกรงเพิ่มขึ้นมาแล้ว
บุรุษที่สะดุดล้มนั่งอยู่บนพื้น วิ่งหนีจนเสียรองเท้าไปข้างหนึ่งแล้วยังถูกชนจนผมเผ้ากระเซิงเงยหน้าขึ้นอย่าง อเนจอนาถอยู่บ้าง ขณะที่มองดูกระบวนทัพทหารจากไปไกล สีหน้าหวาดกลัวก็ยังไม่หายไป
ทำไมเป็นเช่นนี้?
พวกเขาถึงกับกล้าใช้ดาบหอกกับประชาชน!
น่ากลัวเกินไปแล้ว! น่ากลัวเกินไปแล้ว!
นี่เป็นแม่ทัพผู้โหดเหี้ยม! นี่มันผู้ร้ายกระหายเลือด!
ส่วนนายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ด้านข้างยากปิดบังความยำเกรงและอิจฉา
นี่สิถึงเป็นทหาร ทหารกล้าที่กรำศึกมานาน
ร้ายกาจเกินไปแล้ว
ร้ายกาจเกินไปแล้ว
เฉีนชีที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนวางมือที่ป้องอยู่ข้างปากลง
“ข้าร้ายกาจจริงๆ ตะโกนทีหนึ่งก็ทำคนเหล่านี้กลัวขี้หดตดหาย”เขาหัวเราะเอ่ยเบาๆ “น่าจะให้จิ่นซิ่วมาดูด้วยจริงๆ”
ผู้ดูแลคนหนึ่งของเต๋อเซิ่งชางหัวเราะแล้ว
“นายท่านชี ท่านอย่าก่อเรื่องเลย” เขาหัวเราะเอ่ย
เฉินชีมองฝูงชนที่ขวัญผวาไม่หายอเนจอนาถอย่างยิ่งสองข้าง
“ท่านกั๋วกงเกรียงไกร กองทหารชิงซานเกรียงไกร” เขาประสานมือหน้าร่างตะโกนเสียงดังพลางยกมือขึ้น “เต๋อเซิ่งชางแสดงความยินดี”
พนักงานด้านนั้นเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ได้ยินเสียงก็ยกตะกร้าเงินใบโตขึ้นอีกหนทันที
เงินเป็นสิ่งที่ยั่วยวนคนที่สุดเสมอ
ชาวบ้านที่เดิมทีตระหนกผวาอยู่ได้สติกลับมาทันที แห่มาด้านนี้จนอลหม่าน
นี่ทำให้ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่เมื่อครู่ลุกขึ้นมายืนขวางถนนถูกพุ่งชนจนคว่ำซ้ายล้มขวา ร้องตะโกนร่ำไห้คร่ำครวญขึ้นมาอีกหนทันที
เสียงเอะอะด้านหลังถูกเสียงร้องสรรเสริญด้านหน้ากลบไป
บรรดาทหารเรียกสีหน้านิ่งขรึมกลับมาอีกครั้ง ในเมื่อเป็นชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร
พวกเขามาจากแดนเหนือที่อันตรายที่สุด ด้านนั้นปฏิบัติกับชาวบ้านที่ก่อความวุ่นวายด้วยเยี่ยงศัตรู การโจมตีของศัตรูย่อมไม่มีสิ่งใดให้ตกใจและเศร้าโสก
จ้าวฮั่นชิงตัดผ่านขบวนแถวมาถึงตรงใจกลาง
ด้านนี้แม่ทัพที่ห้อมล้อมเฉิงกั๋วกงอยู่สีหน้าเคร่งขรึม
ไม่เหมือนกับนายทหารทั้งหลาย พวกเขารู้ว่าจะมีคนก่อเรื่องล่วงหน้า
คลื่นใต้น้ำเหล่านี้ในเมือง เฉิงกั๋วกงย่อมไม่มีทางไม่รู้
เห็นจ้าวฮั่นชิงเข้ามา บรรดาแม่ทัพทั้งหลายก็พยักหน้าให้นางอย่างอ่อนโยน
“ทหารดี” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย
“ไม่รู้ว่าเจ้าคนน่าชังคนไหนตะโกนขึ้นมา ทำคนเหล่านี้หนีไปแล้ว” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย เสียดายอยู่บ้าง
คำสั่งของเฉิงกั๋วกงคือเปิดทางแล้วไม่ต้องถือสาอีก ไม่เช่นนั้นจ้าวฮั่นชิงคงกล้าลงมือสังหารสักหลายคนจริงๆ
“เชือดไก่ให้ลิงดู ขู่ให้กลัวเสียบ้าง จะได้ไม่มีคนก่อเรื่องอีก” นางว่า
เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน
“คนบางพวกขู่ให้กลัวได้ คนบางพวกไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น ไม่ได้ปล่อยผ่านไปเพราะคำพูดเป็นเด็กของจ้าวฮั่นชิง “ไม่อาจทำเหมือนกันหมดได้ แล้วก็ไม่ใช่สังหารถ่ายเดียวจะคลี่คลายได้”
จ้าวฮั่นชิงขานตอบ
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปยังทำเช่นนี้ไหม?” นางเอ่ยถาม
เฉิงกั๋วกงอมยิ้มพยักหน้า จ้าวฮั่นชิงจึงหันหัวม้าไปด้านหน้า
“ท่านกั๋วกง ต่อไปยังมีอีกหรือขอรับ?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา
เฉิงกั๋วกงมองไปด้านหน้า เมืองที่ตั้งอยู่ไกลๆ ดุจดั่งสัตว์ร้ายตัวยักษ์
“เมืองหลวงอยู่ไม่ง่าย เข้าก็ไม่ง่าย” เขาเอ่ยขึ้นมา
……………………………………….
ในพระราชวังเสียงดนตรีประกอบพิธีการลอยมา นี่หมายความว่าฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักจะขึ้นไปบนหอเหนือประตูวังแล้ว
บรรดาขุนนางที่ยืนอยู่นอกประตูพระราชวังรีบจัดเสื้อผ้าและหมวก หยุดคุยเล่น กำลังจะเคลื่อนขบวนไปทางนอกประตูเมือง กลับเห็นคนขบวนหนึ่งขี่ม้าวิ่งมาบนถนนเสด็จพระราชดำเนิน
เห็นสีหน้าของขบวนคนม้านี่ ทุกคนล้วนประหลาดใจอยู่บ้าง
“เฮ้อ เจ้าดูสิ นี่พวกเขาไปแล้วกลับมาแล้วไหม?” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบากับหนิงอวิ๋นเจา
ไม่เช่นนั้นจากเวลาแล้วไม่มีทางจัดการปัญหาแล้วเร่งกลับมาทันแน่นอน
ดูเช่นนี้เรื่องด้านนั้นคงคลี่คลายแล้ว?
เฉิงกั๋วกงจัดการเองแล้วรึ?
หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบติดจะดีใจอยู่บ้าง
“ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา ฟ้าคุ้มครองจริงๆ” เขาเอ่ยอย่างพึงพอใจจากใจจริง
ขุนนางมองเขาปราดเดียวก็รู้สึกว่าเขาพูดได้ดีมีเหตุผลไม่รู้จะเอ่ยต่ออย่างไร
“ฝ่าบาททรงมีบุญญาธิการ” เขาก็ได้แต่พยักหน้าเอ่ยตาม
เสียงดนตรีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หวงเฉิงที่ยืนอยู่หน้าสุดของขบวนแถวรับเสด็จฮ่องเต้อย่างไม่ได้ร้อนรนเท่าใด แต่สีหน้าสุขุมฟังเสียงกระซิบของคนข้างกาย
สีหน้าของเขาไม่รีบร้อนไม่ลนลานแล้วยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่อีก
“เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงดั่งพระโพธิสัตว์ ลงมือดุจอสนีบาตจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเบา
สีหน้าคนที่มาย่อมไม่นิ่งสงบเช่นนี้
“คนเหล่านี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ขี้กลัวเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงเบาท่าทางร้อนรนอยู่บ้าง
หวงเฉิงยิ้มๆ มีความเวทนาหลังผ่านโลกมามาก
“เดิมก็เป็นชาวบ้านพ่อค้าตัวเล็กตัวน้อยที่มาเพื่อเงินไร้คุณธรรมยึดมั่น อย่าเคร่งไป” เขาเอ่ยเสียงเบา
“เฉิงกั๋วกงคนนั้นโหดเหี้ยมเช่นนี้ ต่อไป…” ผู้ที่มาท่าทางวิตกอยู่บ้าง
หวงเฉิงยิ้มๆ
“ไม่ ไม่ ต้องเชื่อมั่น บนโลกนี้คนมากมายยังมีความกล้าหาญอยู่” เขาเอ่ย สีหน้าจริงจังทั้งยังจริงใจ “ร่ำเรียนหนังสือของเหล่าปราชญ์ แตกฉานหลักคุณธรรม ย่อมก้าวไปหาความตายอย่างไร้ความกลัว”
พูดพลางก็ยิ้มอีกหน
“นอกจากนี้ เฉิงกั๋วกงรักประชาชนประหนึ่งลูก จะพูดว่าเขาโหดเหี้ยมได้อย่างไรเล่า?”
เขาล่ะอยากดูเฉิงกั๋วกงถูกบีบให้โหดเหี้ยมสักทีจริงๆ อยากดูสิเฉิงกั๋วกงจะสละชื่อเสียงดีงามลงหรือไม่
ผู้ที่มาสีหน้ากระจ่าง ไม่เอ่ยวาจาอีกก้มศีรษะถอยออกไป
หวงเฉิงคล้ายหันศีรษะมองไปด้านข้าง
“อยู่ดีๆ ข้าก็อยากดูละคร” เขาเอ่ยเสียงเบากับสหายขุนนางข้างกาย
สหายขุนนางไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่มีต้นไม่มีปลายแต่อย่างใด คล้ายกับพวกเขาคุยประเด็นนี้มาตลอด
“วันนี้เป็นเรื่องน่ายินดีย่อมต้องร่วมฉลอง รอฉลองความดีความชอบให้เฉิงกั๋วกงเสร็จ พวกเราค่อยดูละครกับบัณฑิตหวง” เขาเอ่ยเสียงเบาท่าทางนอบน้อม
หวงเฉิงยิ้มเล็กน้อย
“…ข้าเป็นเช่นซือหม่าซือถูกล้อมหน้าเขาเถี่ยหลง ข้าประหนึ่งพยัคฆ์ลงเขายืนบนที่ราบ ยังคล้ายมังกรบนน้ำตื้นร่วงหล่นเกยชายหาด…” เขาฮัมเพลงเสียงเบาพลางก้าวไวๆ เข้าไปรับขบวนเกียรติยศของฮ่องเต้ที่เดินออกมาจากในพระราชวัง
……………………………………….
ส่วนเวลานี้กองทัพของเฉิงกั๋วกงที่เคลื่อนเข้ามาก็หยุดลงอีกหน
เบื้องหน้าเห็นประตูเมืองหลวงอยู่เลือนราง แต่ถนนหลวงกว้างขวางกลับถูกขวางไว้อีกหน
ครั้งนี้ยังคงเป็นร้อยกว่าคน ไม่มีสตรีเป็นบุรุษล้วนๆ อายุมีแก่มีเด็ก ไม่เอะอะโวยวายร่ำไห้ร้องตะโกน แต่นั่งคุกเข่าสง่าเงียบสงบอยู่กลางถนน
พวกเขาล้วนสวมอาภรณ์บัณฑิต สีหน้าเคร่งขรึมบรรยากาศไม่ธรรมดา
นั่งสง่าเป็นระเบียบเงียบสงบเช่นนี้ กลับมีบรรยากาศน่าเกรงขามไม่แพ้กระบวนทัพฝั่งนี้ของเฉิงกั๋วกง
นี่คือบัณฑิตผู้คงแก่เรียนของกั๋วจื่อเจี้ยนแห่งเมืองหลวง รวมถึงนักเรียนจากต่างถิ่นที่มาร่ำเรียน แม้ไม่มีตำแหน่งไม่มียศกลับทำให้คนเคารพเลื่อมใส มีบารมีแบบที่ขุนนางใหญ่พระญาติเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นไม่มี
เวลานี้บนศีรษะพวกเขาล้วนผูกผ้าป่านไว้ ธงผืนใหญ่ผืนหนึ่งปักอยู่กลางกลุ่ม
ธงสีขาวอักษรสีเลือด ปลิวสะบัดพรึบพรับตามสายลมฤดูร้อน อักษรตัวใหญ่บนนั้นเผยสู่สายตาของทุกผู้คน
ทหารล่มชาติ
ธงขาวดั่งไว้อาลัย สีเลือดดุจหยดน้ำตา อักษรสี่ตัวประหนึ่งคำตวาด