Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 73 ผ่านสามด่าน
บรรยากาศที่ประตูเมืองทิศใต้ด้านนี้วุ่นวายอยู่บ้าง
เรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองแพร่ออกไปจากการติดต่อกันของเหล่าทหารองครักษ์แล้ว
เฉิงกั๋วกงถึงกับถูกคนขวางตำหนิด่าทอติดๆกัน กำลังพลของเฉิงกั๋วกงถึงกับใช้ดาบหอกกับชาวบ้านด้วย
นี่ไม่เหมือนเฉิงกั๋วกงในจินตนาการของพวกเขาสักนิด
ความคิดแล่นผ่านชาวบ้านทั้งหลายก็งุนงงอยู่บ้าง
แล้วเฉิงกั๋วกงในจินตนาการของพวกเขาเป็นอย่างไรเล่า? ที่จริงพวกเขาก็บอกได้ไม่ชัด อย่างไรก็ห่างจากครานั้นที่ชาวจินลงใต้ตีเมืองแตก แดนเหนือทำสงครามเกือบยี่สิบปีแล้ว ส่วนเฉิงกั๋วกงก็ประจำการปกป้องแดนเหนือสิบปีแล้ว สงครามโกลาหล ความโหดร้ายและการเข่นฆ่าอันน่าสลดเหล่านั้น สำหรับทุกคนเป็นเพียงเรื่องที่อยู่ในนิทานและการคุยเล่นเท่านั้น ห่างไกลเกินไปแล้ว
องค์ชายสามบนกำแพงเมืองเพิ่งอายุสิบหกสิบเจ็ดพรรษา เขาเกิดและเติบใหญ่ที่ซานตงไม่เคยประสบภาพครึกครื้นเช่นนี้มาก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนความรู้สึกของฮ่องเต้ ชาวบ้านที่เอะอะเพียงทำให้เขารู้สึกรำคาญเท่านั้น ไม่มีความยินดีสักนิด
เมืองหลวงในคิมหันต์ฤดูร้อนระอุอยู่บ้าง ฮ่องเต้เพื่อแสดงความชมเชยจึงให้องค์ชายมาตั้งแต่เช้า เขาอยู่ที่ประตูเมืองนี่รอเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว
“ที่แท้จะมาหรือไม่? ไม่มาก็ไม่รอแล้ว” องค์ชายสามคว้าพัดในมือนางกำนัลมางออกแรงพัดเองสองที ขับไล่ความร้อนรนในใจ
บรรดาขุนนางที่ติดตามสีหน้าหลากหลาย ในนั้นคนไม่น้อยยังท่าทางยินดีอยู่จางๆ
องค์ชายสามไม่นิสัยดีเช่นนั้นอย่างฮ่องเต้ ครั้งนี้เดิมหวังจะได้หน้า ผลปรากฏว่ากลับต้องพบความอับอายด้วยกันกับเฉิงกั๋วกง องค์ชายสามย่อมต้องอับอายจนกรุ่นโกรธแน่ นอกจากสะบัดแขนเสื้อจากไป วันหลังก็ย่อมคิดแค้นอย่างขาดไม่ได้
“องค์ชายโปรดรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ ด้านหน้าเกิดเรื่องนิดหน่อย” ขุนนางคนหนึ่งก้าวเข้ามากล่อม “กลัวก็แต่เฉิงกั๋วกงจะมาสายเล็กน้อย…”
เสียงของเขายังไม่ทันจบก็ได้ยินด้านล่างของประตูเมืองวุ่นวายพักหนึ่ง ไกลออกไปอีกเสียงฝีเท้าย่ำเหยียบก็ดังมา
“มาแล้ว!”
เสียงตะโกนดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ คนนับไม่ถ้วนมองไปยังถนนใหญ่
มาแล้ว? เร็วปานนี้?
ขุนนางทั้งหลายบนประตูเมืองสีหน้าประหลาดใจ
องค์ชายสามก็ลุกขึ้นยืนด้วย
“ดูซิกองทัพแดนเหนือที่ชื่อเสียงโด่งดังนี่จะหน้าตาเป็นอย่างไร” เขายิ้มระรื่นอยู่บ้างเอ่ยขึ้น คนก็เดินออกมาด้วย
บรรดาขุนนางทั้งหลายรีบติดตาม ยืนอยู่บนประตูเมืองสายตายิ่งเปิดกว้าง พริบตาเดียวก็มองเห็นคนมืดฟ้ามัวดิน
ฝูงชนที่แห่แหนมานี่ ทำให้ขุนนางทั้งหลายรวมถึงองค์ชายสามล้วนตกใจสะดุ้งโหยง
“คนที่มาคือประชาชนหรือทหารกัน?” พระองค์หลุดปากเอ่ยถาม
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ตั้งคำถามเช่นนี้ ชาวบ้านเมืองหลวงทั้งหลายที่รอคอยอยู่และค่อยๆ มองเห็นคนที่มาก็ประหลาดใจอย่างยิ่งเช่นกัน แรกสุดที่ปรากฏในสายตากลับเป็นประชาชนธรรมดากลุ่มหนึ่ง ถึงขั้นยังสู้ประชาชนชาวบ้านไม่ได้ เครื่องแต่งกายที่สวมใส่สำหรับชาวบ้านเมืองหลวงที่ล้อมดูอยู่เหมือนขอทานมากกว่า
ทำไมให้คนกลุ่มนี้ปะปนเข้ามาด้วยเล่า? ทหารที่ทำหน้าที่ไม่จัดการหรือ?
ระหว่างที่ฉงนคนกลุ่มนี้ก็เดินเข้าใกล้ ชาวบ้านด้านหน้าเดินผ่านไป ในที่สุดก็มองเห็นกองทัพด้านหลัง บอกว่าเป็นกองทัพก็เพียงเพราะพวกเขาขี่อาชาอยู่ไม่เหมือนชาวบ้านที่เดินเท้า
นี่เรียกกองทัพอะไร? ไม่มีชุดเกราะไม่มีอาวุธ แต่ละคนๆ สวมอาภรณ์ผ้า ดูแล้วยังสดสวยสู้ทหารกองทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่อยู่สองข้างไม่ได้ด้วยซ้ำ
อย่างน้อยเพื่อปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้พวกเขาล้วนเปลี่ยนเสื้อเกราะใหม่ ดูไปแล้วมีชีวิตชีวาเคร่งขรึมเป็นระเบียบ
เสียงร้องสรรเสริญสลายไป แทนที่ด้วยเสียงถกเถียงไถ่ถามหึ่งๆ เข้ามาแทนที่
เสียงเอะอะนี่ไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของขบวนคน หลังประชาชนทั้งหลายผ่านไป กองทัพของเฉิงกั๋วกงก็มาถึงตรงหน้าทุกคนทีละแถวๆ
แม้ไม่มีชุดเกราะอาวุธน่าเกรงขาม แต่นายทหารทั้งหลายบนอาชาสีหน้าเคร่งขรึมแผ่นหลังเหยียดตรง อาชาย่ำเหยียบพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ จนเสียงกีบเท้าอาชาที่ก้องสะท้อนอยู่ในหูผู้คนพาท่วงทำนองอันน่าเหลือเชื่อมา
ท่วงทำนองนี้คล้ายย่ำลงบนหัวใจคนทุกผู้ ทำให้เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลง สายตาทั้งหมดล้วนรวมอยู่บนตัวของนายทหารทั้งหลายเหล่านี้
ไม่มีชุดเกราะอาวุธปกปิดแลดูเข้าหาง่าย ทำให้ทุกคนเห็นนายทหารเหล่านี้ชัด
พวกเขาอายุมากน้อยไม่เท่ากัน โฉมหน้าแต่ละคนๆ มีริ้วรอยความยากลำบาก มือที่กำบังเหียนหยาบกร้าน อาภรณ์ผ้าเรียบง่ายสะบัดไหวตามการเดินเผยบนลำคอหน้าอกที่ยังมีรอยแผลเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
พวกเขาไม่ได้มีสามเศียรหกกร ไม่แข็งแกร่งประหนึ่งพยัคฆ์สุนัขป่า แต่ก็เป็นคนเหล่านี้ที่ปกป้องแดนเหนือมาสิบปี ทำให้โจรจินไม่อาจไม่ขอสงบศึกหยุดสงคราม
พวกเขาไม่ห่มเกราะไม่ถือศาสตรา สีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ร่างกายเหยียดตรงเช่นนี้เคลื่อนเดินไม่อาจขวาง มองความตายดั่งที่พำนัก
ข้างทางตกสู่ความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าเหยียบย่ำ
“หยุด หยุด”
บรรดาขุนนางบนกำแพงเมืองในที่สุดก็วิ่งลงมาท่าทางร้อนรนกรุ่นโกรธขวางประชาชนแถวหน้าไว้
“พวกเจ้าจะทำอะไร?”
“พวกเราจะเข้าเมือง พวกเราจะส่งเฉิงกั๋วกงเข้าเมือง” ชาวบ้านที่ถูกขวางไว้ตะโกนเสียงดัง
นี่ทำให้หน้าประตูเมืองที่เดิมทีเงียบสงบตกสู่ความวุ่นวายพักหนึ่ง
บรรดาขุนนางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าแล้ว สีหน้าเขียว ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตและนักเรียนเหล่านั้นขวางไม่อยู่ ผู้อพยพมากปานนี้ หากคลั่งขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็ขวางไม่อยู่เช่นกัน
“เฉิงกั๋วกงนี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ขุนนางที่เป็นหัวหน้ายืนอยู่บนกำแพงเมืองตวาดท่าทางโกรธเกรี้ยว มองเข้าไปในกองทัพ
กองทัพหยุดแล้ว พร้อมกับที่ธงหลายผืนปลิวสะบัด กระบวนทัพพลันแปรแถวเรียบร้อยพรึบพรับแหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่ง คนผู้หนึ่งขี่อาชาเยาะย่างมาจากด้านในช้าๆ
เขารูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาอ่อนโยน สวมอาภรณ์ผ้า มองแวบหนึ่งคล้ายภาพบัณฑิตวัยกลางคนผู้คงแก่เรียน ท่องถนนอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์
นี่คือ…
“เฉิงกั๋วกง!” ในหมู่ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่มีผู้เฒ่าอายุมากคนหนึ่งพลันตะโกนเสียงดังขึ้นมา “นี่คือเฉิงกั๋วกง!”
หลังเสียงตะโกนคนก็ตื่นเต้นแทบไม่อาจควบคุมตัวได้ จะแห่ไปข้างหน้า
ชาวบ้านตอนนี้ในที่สุดก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็อึกทึก
นี่ก็คือเฉิงกั๋วกง!
ไม่ใช่นักรบหน้าตาดุร้ายโหดเหี้ยม แต่สง่างามทรงภูมิปานนี้
นี่ถึงเป็นเฉิงกั๋วกง ฉายาเทพสงคราม แท้จริงงามสง่าดั่งเทพเซียน
เสียงตะโกนนับไม่ถ้วนดังขึ้น ฝูงชนที่เดิมทีสงบอยู่ถาโถม ความฉงนเพราะความประหลาดของกองทัพถูกโยนทิ้งทันที คนทั้งหมดล้วนแห่มาด้านนี้ ทหารทั้งหลายที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ถูกเบียดจนเคลื่อนเป็นคลื่น ต้านฝูงชนไว้มั่น ไม่ให้พวกเขาพุ่งเข้าไปในถนน แม้ในถนนจะมีชาวบ้านยืนกันเต็มอยู่แล้วก็ตาม
“หน้าตาดีได้เปรียบจริงๆ”
ขุนนางคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองอดไม่ได้พึมพำประโยคหนึ่ง
แต่ไม่มีใครหัวเราะเพราะคำพูดของเขา เฉิงกั๋วกงพาประชาชนมากปานนี้มา ปรากฏตัวทีเดียวก็ชักนำให้ชาวบ้านเมืองหลวงที่ล้อมชมอยู่เกือบบ้าคลั่งอีก นี่น่าตกใจเกินไปแล้ว
นี่ยังไม่ได้สวมเกราะถืออาวุธเลยนะ หากนายทหารเหล่านี้สวมเกราะติดอาวุธขึ้นมาไม่รู้ว่าจะน่ากลัวมากเพียงใด
ขุนนางที่ยืนอยู่หน้าประตูเมืองสีหน้ายิ่งเขียว ชาวบ้านเป็นฝ่ายถอยออกหลีกทางเมื่อเฉิงกั๋วกงเดินมา เฉิงกั๋วกงมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็วยิ่ง
เฉิงกั๋วกงลงจากม้า ก้าวยาวๆ มายืนยิ่งเบื้องหน้าขุนนาง
“จูซานโชคดีไม่ผิดต่อคำสั่ง” เขาเอ่ยพลางประสานหมัดค้อมกายคำนับหนึ่งหน “พาประชาชนสามเมืองกลับแคว้นโจว ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ขุนนางตะลึงวูบหนึ่ง
โชคดีไม่ผิดต่อคำสั่ง? พาประชาชนกลับแคว้นโจว? ขอบพระทัยฝ่าปาท?
ไม่มีคำถาม ไม่มีความโกรธเกรี้ยว ยิ่งไม่มีอวดอ้างความชอบ แต่ขอบคุณน้ำพระทัย
เมื่อสิ้นเสียงคำของเฉิงกั๋วกง ประชาชนหลังร่างก็ประหนึ่งเขาถล่ม พากันคุกเข่าชูมือโขกศีรษะคำนับ
“ขอบคุณเฉิงกั๋วกงไม่ทอดทิ้ง ขอบพระทัยฝ่าบาทไม่ทอดทิ้ง พวกเรากลับมาแล้ว”
“พวกเรายังเป็นประชาชนต้าโจว พวกเรากลับมาแล้ว”
“ขอบคุณเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน!”
“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งข้า!”
คนนับหมื่นคุกเข่าลง เสียงนับหมื่นดังขึ้น สุ้มเสียงแตกพร่าผสมเสียงร้องไห้ เติมความโศกสลดเพิ่มขึ้นอีก
ประชาชนที่ล้อมชมเอะอะอยู่ตะลึงอึ้งเงียบกริบไปนานแล้ว ส่วนคนที่อยู่บนประตูเมืองมองจากที่สูงลงมาเห็นฉากนี้ยิ่งตื่นตะลึง
“น่าสนใจ!” องค์ชายสามตบกำแพงเมืองเอ่ยขึ้น ไม่มีความรำคาญสักนิดอีกต่อไป กลับกระตือรือร้น “นี่ถึงสรรเสริญความชอบไหม”
สิ่งที่สรรเสริญไม่ใช่เขาเฉิงกั๋วกงร้ายกาจเท่าใด ไม่ใช่ทหารทั้งหลายน่าเกรงขามมากปานใด แต่เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของต้าโจวแห่งนี้เมตตามากปานใด ไม่ใช่พระองค์ขอบคุณเฉิงกั๋วกงกับทหารแม่ทัพเหล่านี้ แต่เป็นประชาชนขอบพระทัยฮ่องเต้
“เฉิงกั๋วกง เชิญ” เขายกมือตะโกนเสียงกังวาน หมุนตัวก้าวยาวๆลงจากกำแพงเมือง
พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา ขันทีใหญ่ขันทีน้อยและขุนนางของกรมพิธีการทั้งหลายก็รีบขยับอย่างพร้อมเพรียง
“เชิญ!”
“เชิญ!”
เสียงแล้วเสียงเล่าถ่ายทอดไป เสียงกลองดนตรีประสาน ธงหลากสีสะบัดพร้อมเพรียง
“เวลาพอดิบพอดี” ขุนนางกรมพิธีการคนหนึ่งมองนาฬิกาทรายแล้วเอ่ยพึมพำ “ฤกษ์ดีคนดีนิมิตหมายอันดี”
……………………………………….
หลังเห็นองค์ชายเข้ามารับ กองทหารไร้สิ่งกีดขวางข้ามผ่านประตูเมืองอย่างสง่าผ่าเผย มุ่งตามถนนไปสู่ถนนเสด็จพระราชดำเนินและพระราชวังหลวง บนใบหน้าที่นิ่งขรึมมาเนิ่นนานของหนิงเหยียนซึ่งยืนอยู่บนเหลาสุราริมถนนก็ผุดรอยยิ้ม
“สามด่านผ่านแล้ว”
เขายกชาถ้วยหนึ่งที่วางอยู่ไม่รู้นานเท่าไรตรงหน้าดื่มคำเดียวหมด