Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 87 เชื่อหรือไม่
ลู่อวิ๋นฉีไม่หันกลับมา
“ใต้เท้าหวง ของที่ท่านหยิบยืมข้ามากเกินไปแล้วหรือไม่?” เขาเอ่ยอย่างเฉยเมย “ของของข้า ไม่คิดค่าเป็นเงิน คิดค่าเป็นชีวิต”
หวงเฉิงยิ้มแล้ว เขากระแอมไอเสียงเบาเดินเข้ามาใกล้ ตบบนรถม้า
“แน่นอน แน่นอน” เขาเอ่ย “ใต้เท้าลู่อา ข้านับว่ามองเข้าใจแล้ว ท่านช่างเป็นคนที่มีหัวใจเปี่ยมรักคลั่งรัก”
ลู่อวิ๋นฉีเป็นคนที่มีหัวใจ? คำนี้พูดออกมาจะด่าเขารึ? หัวหน้ากองพันเจียงที่อยู่ด้านข้างสีหน้าพิกล
ลู่อวิ๋นฉีไม่พูดไม่จา
“ดูบาดแผลทั้งร่างนี่ที่ท่านเจ็บเพื่อคุณหนูจวินคนนั้นสิ” หวงเฉิงเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวมามองเขา
“ใต้เท้าหวงจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ” เขาเอ่ย “เรื่องส่วนตัวของข้าไม่ลำลากใต้เท้าเปลืองความคิด”
“เดิมทีข้าไม่เปลืองความคิด แต่บังเอิญเรื่องส่วนตัวของข้ากับเรื่องส่วนตัวของใต้เท้าลู่เป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้นจึงอยากพูดกับใต้เท้าลู่สักหน่อย” หวงเฉิงเอ่ยบอก “หากเป็นสตรีคนอื่น ขอแค่ใต้เท้าลู่ชอบ ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นองค์หญิง ก็ไม่ใช่คว้าไม่ได้เช่นนั้น เพียงแต่คุณหนูจวินคนนี้น่ะ”
เขายิ้ม เขยิบเข้าใกล้ลู่อวิ๋นฉี กดเสียงเบา
“เข้าข้างเฉิงกั๋วกงแล้ว นี่ย่อมทำไม่ง่ายแล้ว ฝ่าบาทอาจสละความรักระหว่างบิดาธิดาเพื่อความเมตตาได้ แต่ไม่มีทางแย่งครอบครัวของขุนนางเด็ดขาด”
คำนี้พูดได้ไม่เคารพยิ่งแล้ว
กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับลู่อวิ๋นฉีขุนนางที่มีอำนาจใกล้ชิดฮ่องเต้ที่สุด หวงเฉิงเพิ่งเป็นคนแรก
“ใต้เท้าหวงอยากเกษียณกลับไปบ้านเกิดรึ?” ลู่อวิ๋นฉีมองเขา เอ่ยอย่างชืดชา
ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ หากทราบว่าหวงเฉิงเสียดสีพระองค์ลับหลังเช่นนี้ ไม่มีทางเลิกราเด็ดขาด
“ใต้เท้าลู่ หากข้าเกษียณกลับไปบ้านเกิด ชีวิตนี้ท่านก็ไม่ได้พบคุณหนูจวินคนนั้นอีกแล้ว” หวงเฉิงอมยิ้มเอ่ย
ลู่อวิ่นฉีพลันขมวดคิ้วนิดๆ
“ท่านข่มขู่ข้าหรือข่มขู่นาง?” เขาเอ่ยถาม
หวงเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่า
“ล้วนไม่ใช่ ข้าเพียงเตือนใต้เท้าลู่” เขาเอ่ยบอก “ใต้เท้าลู่ ท่านอยากได้คุณหนูจวินคนนี้ ยามนี้มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือพิงเขาเขาล้ม ชักน้ำน้ำแห้ง เฉิงกั๋วกงล้ม นางไร้ขุนเขาให้พึ่งพิง เต๋อเซิ่งชางล้ม นางก็ไร้น้ำใช้สอย ยังไม่ใช่แล้วแต่ท่านจัดการหรือ? และวันนี้คนที่ปรารถนาที่สุดและทำให้เฉิงกั๋วกงล้มได้มากที่สุดก็มีเพียงข้าแล้ว ดังนั้นข้าไปไม่ได้ หากข้าไป ชีวิตนี้ท่านก็ได้แต่มองนางกลายเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง มองนางกลายเป็นภริยาเฉิงกั๋วกงในภายภาคหน้า”
เขาเฮือกเดียวพูดจนหมด จึงเห็นลู่อวิ๋นฉีสีหน้าพิกลมองเขาอยู่
ใบหน้าดั่งรูปสลักไม้หมื่นปีนี้ของลู่อวิ๋นฉีใต้แสงโคมของวังข้างทางสาดส่องเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด เดี๋ยวขาวเดี๋ยวดำ เผยสีหน้าเช่นนี้ประหลาดยิ่งนัก
หวงเฉิงก็เพิ่งเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเขาเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตานั่น
คล้ายเย็นเยียบคล้ายคับแค้นแล้วยังมีความโศกเศร้า
“ใต้เท้าลู่?” เขาเอ่ยเรียก
ลู่อวิ๋นฉีเก็บซ่อนแววตาไป สายตายังคงมองเขา
“คำพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยได้ยินคนเอ่ยมาก่อน” เขาพลันเอ่ยขึ้น
มีคนเคยเอ่ยมาก่อนรึ?
หวงเฉิงแววตาทอประกายน้อยๆ
“ดูท่านี่คงเป็นหลักการที่ทุกคนล้วนรู้” เขาเอ่ยตอบ “ใต้เท้าลู่ วันนี้เฉิงกั๋วกงได้รับความโปรดปราน ฮ่องเต้ก็ต้องการเขาไว้รักษาหน้า ดังนั้นไม่มีทางทำอย่างไรกับเขา เฉิงกั๋วกงเจ้าเล่ห์ ให้เวลาเขาเพิ่มสักหน่อย ไม่แน่ว่ากระทั่งฮ่องเต้ก็คงถูกเขาปลุกปั่น ดังนั้นต้องหาจุดอ่อนที่เขาทำเลวออกมา ให้ฮ่องเต้เกิดความเกลียดชังเร็วที่สุด”
ลู่อวิ๋นฉีขานอืม ก็ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
หวงเฉิงขมวดคิ้ว ลู่อวิ๋นฉีเป็นสุนัขของฮ่องเต้ ในใจคิดเพียงทำงานตามเจตนาของฮ่องเต้ ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่มีความคิดจะแตะเฉิงกั๋วกงแน่นอน แต่ความระแวงที่ฮ่องเต้มีต่อเฉิงกั๋วกงไม่ลดลง ขาดเพียงจังหวะเหมาะให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเท่านั้น จังหวะเหมาะนี้ก็คือยามที่ผลประโยชน์ของฮ่องเต้ถูกแตะต้อง เหนือกว่าหน้าตาที่คิดจะรักษา
นี่ย่อมต้องการลู่อวิ๋นฉีคนที่ฮ่องเต้เชื่อพระทัยที่สุดเช่นนี้ปล่อยข่าว
ส่วนสิ่งที่โน้มน้าวลู่อวิ๋นฉีได้ก็น่าจะเป็นสตรีที่ปรารถนาแต่ไม่อาจได้มาคนนี้สินะ
“ใต้เท้าลู่ ดังนั้นข้าต้องการยืมรถม้าของท่านสักหน่อย” เขาเอ่ยต่อ ก้าวออกห่าง ปิดปากไอสองทีคล้ายอ่อนแอยิ่งนัก “แก่แล้วเดินไม่ไหวแล้ว”
ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า
“ใต้เท้าหวงใช้เถอะ” เขาเอ่ย
ใช้เถอะ ถ้าเช่นนั้นนี่คือให้ยืมหรือไม่ให้ยืม?
ลู่อวิ๋นฉีพูดจบประโยคหนึ่งก็ขึ้นม้า เหล่าองครักษ์เสื้อแพรก็ห้อมล้อมพรึบพรับ คนขบวนหนึ่งเคลื่อนไปข้างหน้า
หวงเฉิงมองพวกเขาจากไป แล้วไม่รั้งอยู่อีกได้บ่าวผู้ติดตามพยุงขึ้นรถม้า ขับกุกกักไปท่ามกลางราตรี
ค่ำคืนมืดมิด ในจวนสกุลลู่ไฟโคมสว่างไสว แต่เทียบกับวันวานสาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายลนลานมากขึ้นหลายส่วนเมื่อเห็นลู่อวิ๋นฉี นั่นก็เพราะบาดแผลบนร่างเขา
ทว่าไม่มีใครกล้าถาม พวกนางตัวสั่นระริกมองลู่อวิ๋นฉีเดินไปยังที่พักขององค์หญิงจิ่วหลี ห้ามหญิงรับใช้สาวใช้แจ้ง เขายืนอยู่นอกประตูห้อง
หน้าร้อนเปลี่ยนเป็นม่านโปร่ง แสงโคมสว่างไสวด้านในสาดส่องประหนึ่งเมฆประหนึ่งแสงอัสดง มองผ่านเมฆาสีแดงนี่เห็นสตรีนั่งสง่าอยู่ด้านใน อาภรณ์สีม่วงบนร่างไม่ได้ถูกแสงสว่างกลบมิด ตรงกันข้ามยิ่งแลดูโดดเด่น
แม้อยู่ลำพังคนเดียว ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของนางก็สง่างดงามอย่างที่สุด นี่คือกิริยาท่าทางของชนชั้นสูงที่ติดมาตั้งแต่เกิดจากการซึมซาบอบรมจากเชื้อพระวงศ์หลายรุ่น
“จิ่วหลิงไม่เคยนั่งเช่นนี้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น
เสียงกะทันหันนี่ทำให้จิ่วหลีเงยหน้า
“ท่านกลับมาแล้ว” นางเอ่ยขึ้น ไม่ได้ตระหนกหวาดกลัว
ดูท่าหลังองค์รัชทายาทจากไปด้วยอาการประชวรกะทันหัน พระชายาขององค์รัชทายาทอัตวินิบาตกรรม ก็ไม่มีสิ่งใดทำให้นางตระหนกหวาดกลัวได้อีกแล้วกระมัง
“จิ่วหลิงท่านั่งของนางไม่ถูกระเบียบสินะ?” องค์หญิงจิ่วหลีอมยิ้มเอ่ย
ไม่นั่งบนก้อนหินก็นั่งบนต้นไม้ ต่อให้นั่งบนที่นั่งปกติประเดี๋ยวก็เป็นต้องบิดๆ เอี้ยวๆ ตอนยังเล็กถูกนางตำหนิไม่น้อย
“ไม่ใช่ไม่ถูกระเบียบ แต่ผ่อนคลายตามสบายยิ่ง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย บนหน้าปรากฏรอยยิ้ม คล้ายมองผ่านองค์หญิงจิ่วหลีไปเห็นสตรีที่แม้นั่งตัวตรงก็เผยเท้าน้อยๆ ที่สวมแต่ถุงเท้าออกมาจากชายกระโปรงนิดๆ คนนั้น
เขากลัวนางเป็นหวัด จึงใช้มืออุ่นให้นาง กำไว้กลางฝ่ามือแกว่งไกวอย่างไม่ซื่อ
องค์หญิงจิ่วหลีไม่พูดจา คล้ายไม่อยากเอ่ยถึงประเด็นนี้
ลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่นอกประตูไม่ได้เข้าไป
“องค์หญิงท่านเคยเคียดแค้นชีวิตตอนนี้ไหม?” เขาพลันเอ่ยขึ้น
ชีวิตตอนนี้ บิดามารดาสิ้น จากองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ตกต่ำกลายเป็นประหนึ่งนักโทษ
องค์หญิงจิ่วหลีเงยหน้าขึ้นยิ้ม
“ไม่เคียดแค้น” นางเอ่ย “เพราะข้าเชื่อในชะตา”
ชะตากำหนดไว้หรือ?
“หากไม่ใช่ชะตาเล่า?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
“นั่นก็เป็นชะตา” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยเรียบๆ ไม่ตระหนกหน้าถอดสี ยิ่งไม่ไถ่ถามเขาถึงความนัยของประโยคนี้
ประโยคนี้ฟังดูแล้วพิกล แต่คิดนิดหนึ่งก็น่าสนใจพอตัว ลู่อวิ๋นฉียิ้มแล้ว
“องค์หญิงเชื่อก็ดี” เขาเอ่ยแล้วหมุนตัวจากไป
ตอนนี้องค์หญิงจิ่วหลีถึงหยุดเข็มกับด้ายในมือ
“ข้าเชื่อชะตา ข้าเชื่อ ชะตามีความยุติธรรม” นางเอ่ยพึมพำ เสียงอ่อนโยนทว่าแน่วแน่อย่างยิ่ง
ส่วนลู่อวิ๋นฉีที่เดินจากไปยังคงเอ่ยปากช้าๆ
“ข้าไม่เชื่อชะตา” เขาเอ่ยพลางมองความมืดเบื้องหน้า “ข้าไม่เชื่อว่าเก็บนางไว้ไม่ได้”
เขาจมหายเข้าไปในความมืดไกลออกไป ด้านในจวนสกุลลู่เงียบสงัดประหนึ่งสถานที่ไม่มีคน
ส่วนจวนเฉิงกั๋วกงเวลานี้กลับครึกครื้นอย่างยิ่ง
เสียงโอ้ยทีหนึ่ง จูจั้นที่เปลือยร่างท่อนบนเผยรอยแผลดาบพลันกระโดดลุกจากเตียง
“เจ็บหรือ?”
คุณหนูจวินไม่รอเขาตะโกนก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ข้าจะเบามืออีกหน่อย”
นี่แตกต่างจากครั้งนั้นที่สังหารใต้เท้าน้อยหวงถูกทรมานเกือบตายอยู่ในห้องขังแล้วได้นางรักษาบาดแผลอย่างสิ้นเชิง เวลานั้นการกระทำของนางหยาบกระด้างยิ่งนัก
จูจั้นถลึงตามองนางทีหนึ่ง นอนคว่ำลงอีกครั้ง
“ข้าบอกให้ชัดก่อน เจ้าอย่าคิดไปเอง ข้าต่อยลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกนะ” เขาเอ่ย
คำนี้ฟังแล้วไม่น่าเชื่อยิ่งนัก อย่างไรทุกคนล้วนรู้ว่าลู่อวิ๋นฉีจ้องคุณหนูจวินตาเป็นมัน ในฐานะผู้ชายของคุณหนูจวินจะอัดลู่อวิ๋นฉีเพราะผู้อื่นหรือ?
“ถ้าเช่นนั้นเพราะใครเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม “องค์หญิงจิ่วหลิงรึ?”
ร่างกายจูจั้นแข็งเกร็งขึ้นมาคล้ายกำลังจะกระโดดลุกขึ้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็เพียงหันหน้าเข้าไปด้านใน
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” เขาเอ่ยเสียงหงุดหงิด
ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธ ฟังดูแล้วเศร้าเสียใจอยู่บ้างอย่างไม่มีสาเหตุ
แน่นอนย่อมเกี่ยวกับข้าสิ คุณหนูจวินมองเขา เพราะข้าก็คือองค์หญิงจิ่วหลิงไงล่ะ
ประโยคนี้หากเอ่ยออกมา ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? คุณหนูจวินพลันผุดความคิดนี้ขึ้นมา
……………………………………….