Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 4 ตอนที่ 89 แต่ไหนแต่ไรอันตรายไม่เคยอยู่ไกล
ในคฤหาสน์ตระกูลฟางไฟโคมสว่างไสว บรรยากาศหนักอึ้ง บ่าวรับใช้ที่เดินไปมาสีหน้าตระหนกอยู่บ้าง
ฟางเฉิงอวี่ได้รถม้าพากลับมา ถูกคนยกลงมา เหมือนกับนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางเมื่อครานั้น
คำสาปมรณะที่คิดว่าแก้ไปแล้วหวนกลับมาอีกครั้งแล้วหรือ?
นางหยวนเลิกม่านขึ้นเดินออกมาจากในห้องของฟางเฉิงอวี่ ดวงตานางแดงก่ำพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ด
“เอาล่ะแยกย้ายไปให้หมดเถอะ” นางยกมือเอ่ย
คนในเรือนล้วนรีบร้อนถอยออกไป
“กระทั่งหมอยังไม่เชิญ หรือว่าจะ…”
“อย่าพูดเหลวไหล! ไม่มีทางหรอก!”
“ข้าก็หวังว่าจะไม่นะ ชีวิตเพิ่งมีความหวัง นายน้อยคนก็ร้ายกาจเช่นนี้”
บรรดาบ่าวรับใช้ถกเถียงเสียงเบาหวาดหวั่นวิตกจากไป
ในลานกลายเป็นเงียบสงบยิ่ง บรรยากาศในห้องยิ่งหนักอึ้ง
“นี่ที่แท้เป็นใคร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั่งอยู่บนเก้าอี้สีหน้าเคร่งครึมเอ่ยขึ้น
“ยังเป็นใครได้อีก ที่แดนเหนือก่อเรื่องใหญ่ปานนั้น คนที่ถูกทำให้เสียเรื่องน่ะสิ” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเย็นชาเอ่ย “นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น”
พวกนางพูดด้วยสีหน้าโกรธแค้น แต่ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ คล้ายเพียงสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่สนใจคน
“ท่านแม่ ไม่ใช่หรอก”
เสียงบุรุษใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
มองตามเสียงไปเป็นฟางเฉิงอวี่ที่นอนอยู่บนเตียงด้านใน
ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วสองพี่น้องนั่งอยู่ข้างเตียง ได้ยินคำก็ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง
“เจ้าพูดให้น้อยลงสักประโยคสองประโยคเถอะ” พวกนางเอ่ยเสียงเบา
นายหญิงใหญ่ฟางยิ่งโกรธตามคาด
“ไม่ใช่? หากไม่ใช่ที่แดนเหนือใช้เงินมากมายปานนั้นจนไม่อาจไม่ปิดร้านแลกเงินที่แดนเหนือ คำเล่าลือมากมายปานนั้นแพร่ออกไป เจ้าทำไมจะต้องออกไปพบปะกับผู้อื่นทุกวัน? หากไม่เป็นเช่นนี้จะมีโอกาสให้คนฉกฉวยได้อย่างไร?” นางตวาด
“ท่านแม่ ทำการค้าจะไม่พบปะสังสรรค์ได้อย่างไรเล่า?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “หาก…”
“เฉิงอวี่ เจ้าฟังท่านแม่พูดประโยคหนึ่งดีๆ ไม่ได้รึ?” ฟางอวิ๋นซิ่วฉับพลันยืนขึ้นขัดเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ผู้อื่นว่าร้ายนางสักประโยค ไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่านางมีความผิดแม้แต่นิด แต่ท่านแม่ผิดที่ใด? นางเพียงเป็นห่วงเจ้า เจ้าไยต้องทำให้นางเสียใจ?”
ห้องเงียบลง สายตาทั้งหมดล้วนมองไปหาฟางอวิ๋นซิ่ว สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
ฟางอวิ๋นซิ่วสนใจเพียงสมุดบัญชีของกิจการ แล้วคล้อยตามคำพูดของผู้อื่นตลอดมา ไม่เคยมีความคิดเห็นของตนเอง ยิ่งไม่เคยตำหนิใคร
“ที่แท้พี่ใหญ่ก็โมโหเป็นด้วย” ฟางอวี้ซิ่วอมยิ้มเอ่ย
นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง ตลอดมานางรู้สึกว่าลูกสาวคนโตคนนี้ทึ่มทื่ออยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กใส่ใจปานนี้
ฟางเฉิงอวี่ลงจากเตียงเดินหลายก้าวมาถึงตรงหน้านายหญิงใหญ่ฟางแล้วคุกเข่าลง
“ท่านแม่ข้าผิดไปแล้ว” เขาเอ่ย “ผิดที่รู้ชัดว่าท่านแม่ไม่เคยคัดค้านเรื่องที่ข้าทำ เพียงเป็นห่วงข้าเท่านั้น แต่ข้ากลับเอาความเป็นห่วงของท่านมาหัวเราะสนุกสนาน”
พูดจบพลันโขกศีรษะ แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
“หากท่านแม่กับท่านย่าเป็นผู้ที่กลัวเรื่องกลัวอันตราย จะค้ำจุนกิจการมาสิบกว่าปีไม่ล้มได้อย่างไร”
นายหญิงใหญ่ฟางมองเขาแล้วถอนหายใจ จากนั้นก็ยิ้ม
“สิ่งใดเจ้าล้วนเข้าใจ ก็แค่แกล้งเลอะเลือนกับข้า” นางเอ่ย
“ข้าก็แค่ไม่อยากให้ท่านแม่กังวล” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยพลางม้วนแขนเสื้อขึ้น เผยเชือกแดงถักวงหนึ่งที่ผูกอยู่บนข้อมือ บนนั้นถักประดับห้าสี “นี่เป็นของที่จิ่วหลิงมอบให้ข้า งูพิษแมลงมดไม่อาจเข้าใกล้กาย”
แล้วเปิดคอเสื้ออีกครั้ง เผยเสื้อเกราะตัวหนึ่งข้างใน
“นี่ก็เป็นสิ่งที่จิ่วหลิงมอบให้ข้า มีดธนูธรรมดาแทงไม่เข้า ยังมี…”
นายหญิงใหญ่ฟางขัดเขา
“ดูท่านางก็รู้ว่าเรื่องที่ให้ทำอันตรายมากเพียงไร” นางเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่เงียบงันครู่หนึ่ง
“ท่านแม่ ที่จริงไม่ใช่เรื่องที่นางให้ข้าทำอันตราย แต่พวกเราตระกูฟางเดิมทีก็อยู่ในอันตราย” เขาเอ่ย “ข้าไม่ได้กำลังแก้ตัวแทนนางให้ท่านแม่เสียใจอีก แม้ที่ข้าแก้ตัวเช่นนี้เพราะไม่อยากให้นางเสียใจจริงๆ ก็ตาม”
เขามองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าฟาง
“ที่มาของราชโองการเล่มนั้นท่านย่าไม่เคยพูด ราชโองการเล่มนั้นทำให้พวกเราตระกูลฟางได้ความมั่งคั่งร่ำรวยแต่ก็เป็นราชโองการเล่มนี้ทำให้ท่านปู่กับท่านพ่อจบชีวิตตามต่อกัน แม้นายอำเภอหลี่กับผู้ดูแลใหญ่ซ่งถูกประหารไปแล้ว แต่อันตรายคลี่คลายแล้วจริงรึ?”
ไม่ได้คลี่คลายรึ? คนในห้องสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว
“ราชโองการของเช่นนี้ไม่ใช่ของสิ่งอื่นที่สังหารพวกเราแล้วจะยึดครองเป็นของตนได้ เป็นไปได้รึ?”
“สังหารผู้ที่ครอบครองราชโองการคนหนึ่ง คนผู้นี้ทำไมมั่นใจนักว่าจะไม่นำภัยมาสู่ตัว แต่เป็นเกียรติยศความมั่งคั่ง?”
พูดพลางมองไปหานายหญิงผู้เฒ่าฟาง
“ใช่มีใครสัญญาอะไรกับเขาหรือไม่?”
ราชโองการสิ่งของเทียมฟ้าเช่นนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่นายอำเภอคนหนึ่งจะให้คำสัญญาได้
ถ้าเช่นนั้นจะเป็นใคร?
ในห้องเงียบกริบไปหมด
……………………………………….
……………………………………….
ค่ำคืนในพระราชวังยิ่งมืดมิด ด้านในห้องบรรทมของฮ่องเต้ไฟโคมสว่างไสว ตรงทางเดินองครักษ์เสื้อแพรกับองครักษ์แถวหนึ่งยืนสลับกันรอรับคำสั่ง
ยังมีขันทีนางกำนัลทิ้งมือข้างตัว
ทุกคนล้วนรู้ว่าฮ่องเต้ทรงขยันขันแข็ง ยามค่ำคืนยุ่งวุ่นวายยิ่งกว่ายามกลางวัน ดังนั้นจึงมีคนมากกว่าเดิมรับใช้
เวลานี้ด้านในโคมไฟสว่าง แต่หลังม่านมุ้งที่ทอดตัวลงมาฮ่องเต้กำลังหลับฝันหวาน แต่พระองค์คล้ายหลับไม่สนิท ลมหายใจยิ่งกระชั้นขึ้นทุกที จนกระทั่งในลำคอส่งเสียงไอแคกๆ มือก็ขยุ้มหน้าอกแน่น ส่งเสียงครางทุ้มต่ำทีหนึ่ง คนก็ผุดลุกขึ้นนั่ง
“ใครมานี่ซิ!” พระองค์ตะโกนเอ่ย
มีขันทีเข้ามา ยืนอยู่นอกมุ้งขานรับทันที
“ฝ่าบาท!”
ได้ยินเสียงนี้ ลมหายใจกระชั้นของฮ่องเต้ที่ประทับนั่งอยู่บนเตียงค่อยๆ สงบลง พระองค์กวาดมองรอบด้านคล้ายยืนยันว่าตนอยู่ที่ใด
“ชา” พระองค์ฟื้นอารมณ์กลับมา เอ่ยเสียงอ่อนโยน
ม่านมุ้งถูกขันทีเลิกเปิดอย่างระวัง ยกชาร้อนมา ฮ่องเต้ดื่มหลายคำ จากนั้นถือโอกาสหยิบฎีกาที่กางวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา
ประหนึ่งพระองค์กำลังอ่านพิเคราะห์อยู่
“ฝ่าบาท ควรพักผ่อนแล้ว” ขันทีสีหน้าปวดใจเอ่ยขึ้น “พระวรกายสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขานรับคำหนึ่ง สายตากลับไม่ละออกจากฎีกา
“ออกไปเถอะ” พระองค์ตรัส
ทิศตะวันออกสว่างแล้ว ในห้องจึงแลดูยิ่งมืดทึม ขันทีเติมโคมไฟหลายดวงอีกครั้ง ปลดม่านมุ้งลงแล้วถอยออกไป
ฮ่องเต้โยนฎีกาไว้บนโต๊ะ กางมือเท้านอนกลับลงไป
“ท่านแม่ล่ะก็ ยังเจ้ากี้เจ้าการให้ข้าอ่านฎีกาอีก เป็นฮ่องเต้ลำบากปานนี้ เป็นไปมีความหมายอะไร” พระองค์เอ่ยพึมพำติดจะดูแคลนอยู่บ้าง
เสียงเพิ่งสิ้นก็ได้ยินเสียงแจ้งแผ่วเบาของขันทีด้านนอก
“ฝ่าบาท หยวนกงกงมาพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินชื่อนี้ฮ่องเต้ที่เดิมจะลุกขึ้นนั่งพลันกางมือเท้านอนต่อ
“ให้เข้ามา” พระองค์ตรัส
ฝีเท้าแผ่วเบา ม่านมุ้งถูกเลิกขึ้น คนผู้หนึ่งพาน้ำค้างราตรีเปียกชื้นก้าวเข้ามา
เขาค้อมกายย่อเข่าอย่างถ่อมตน เห็นฮ่องเต้บนแท่นบรรทมไม่วางท่าสักนิดก็ไม่ประหลาดใจ คุกเข่าลง
“ของพวกนั้นยังอยู่ไหม?” ฮ่องเต้หลับพระเนตรพลางตรัสถาม
ผู้มาเงยหน้าขึ้น แสงโคมส่องสว่างบนใบหน้าเขา นี่เป็นดวงหน้าขาวสะอาดดวงหนึ่ง อายุสามสี่สิบปี หน้าตาธรรมดา หากคุณหนูจวินอยู่ตรงนี้คงจดจำได้ว่านี่ก็คือขันทีหยวนเป่า คนที่รู้จักในอดีตซึ่งทำให้นางประหลาดใจที่หยางเฉิง
เวลานี้บนริมฝีปากของเขาไม่มีหนวด
“ของสำคัญล้วนอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหยวนเป่าเอ่ย “ตระกูลฟางไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านั้นดั่งสัญญา นอกจากนี้ยังเก็บความลับไว้ มีเพียงคนเป็นคนหนึ่งที่ล่วงรู้”
ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ตบบนแท่นบรรทมหนักหน่วง
“แต่ข้าไม่อยากให้คนที่ล่วงรู้ความลับนี้มีชีวิตอยู่แล้ว!” พระองค์ตวาด ลืมพระเนตรลุกขึ้นนั่ง “หลายปีปานนี้พวกเจ้ายังไม่เอาของกลับมา หรืออยากให้มันสืบทอดต่อไปกับตระกูลฟางชั่วลูกชั่วหลานรึ!”
………………………