Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 ตอนที่ 1 ข้าไม่พูดถึงความยุติธรรมหรอก
ภาพทิวทัศน์สารทฤดูงดงาม กิ่งไม้เหลืองอร่าม ผลไม้นับไม่ถ้วนรอคอยการเก็บเกี่ยว ในเวลานี้ชายหนุ่มผู้อยู่ในช่วงเวลาอันงดงามกลับเอ่ยคำว่าตายออกมาแล้ว
เขาพูดออกมาอย่างสบายๆ คล้ายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
สำหรับฟางเฉิงอวี่แล้ว ความตายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง แต่นั่นเป็นอดีต ในอดีตที่ชีวิตไร้ความหวังเขาล้วนไม่กล้าเอ่ยคำว่าตายง่ายๆ วันนี้ร่างกายแข็งแกร่งทำไมเริ่มพูดถึงความตายแล้วเล่า?
“คนยามไม่มีสิ่งใดถึงยิ่งต้องการสิ่งนั้นจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “ตอนนั้นน้องเล็กตายได้ตลอดเวลา ทุกคนใครก็ไม่กล้าพูดคำว่าตาย วันนี้เจ้ามีชีวิตอยู่ดี ความตายนี่ความตายนั่นกลับกลายเป็นสิ่งที่เจ้าคิดถึงเสียแล้ว”
หากต้องการให้คนรู้สึกไม่สบาย ปากฟางอวี้ซิ่วก็โยนดาบออกมาได้ตลอดเวลา ฟางอวิ๋นซิ่วดึงแขนเสื้อนางไว้
“น้องเล็กไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” นางเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองฟางเฉิงอวี่
“ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไรเล่า? พกวเราไม่ใช่ภรรยาบุตรชายบุตรสาวของเจ้าเสียหน่อย สั่งเสียอะไรกับพวกเรา” นางเอ่ย
ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าท่า ฟางอวิ๋นซิ่วกระแอมไอ
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว
“พี่รอง คนที่ยึดติดเป็นท่านไม่ใช่ข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่เคยถือสาการพูดถึงความตาย คนล้วนต้องตายไหม เพียงแต่เวลานั้นเพื่อพวกท่าน ข้าจึงปิดปากไม่พูดเท่านั้น”
ฟางอวี้ซิ่วพยักหน้า
“เจ้าพูดถูก พวกเราเป็นตัวถ่วงเจ้าแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
ฟางอวี้ซิ่วยามพูดล้อเล่นไม่หัวเราะ ยามเอ่ยถ้อยคำโมโหก็ไม่แสดงโทสะ ดังนั้นบางครั้งคนนอกถูกด่าก็ยังไม่รู้ ฟางอวิ๋นซิ่วแม้ตอบสนองช้าแต่พี่น้องของตนย่อมคุ้นเคยนัก ฟังออกทันทีว่าฟางอวี้ซิ่วโกรธแล้ว โกรธอย่างยิ่ง
“นี่เป็นอะไรกัน” นางดึงนางไว้พลาง มองฟางเฉิงอวี่พลาง “มีอะไรก็พูดกันดีๆ เดี๋ยวตายเดี๋ยวเป็นอะไรกัน ล้วนเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน เป็นตายนี่เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องของคนผู้เดียว”
ฟางอวี้ซิ่วมองฟางเฉิงอวี่แต่ไม่พูดจาแล้ว ฟางจิ่นซิ่วที่อยู่ด้านข้างก้มศีรษะ แม้ไม่เอ่ยวาจา แต่ก็ไม่ยกเท้าจากไปเช่นกัน
“พี่สาวทั้งหลายไม่ต้องกังวล นี่ข้าไม่ได้สั่งเสีย” ฟางเฉิงอวี่คำนับให้พวกนาง “ทำให้พวกท่านตกใจข้าผิดเอง”
“ไม่ได้สั่งเสีย ถ้าเช่นนั้นนี่เจ้าหมายความว่าอะไรเล่า?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม
“แค่พูดเงื่อนไขน่ะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “พี่รองท่านก็พูดเอง พวกท่านไม่ใช่ภรรยาบุตรชายบุตรสาวของข้า เป็นแค่พี่สาวทั้งหลายของข้าเท่านั้น พี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดบัญชีให้ชัด ดังนั้นถ้อยคำไม่น่าฟังพวกเราย่อมต้องพูดไว้ก่อน”
ฟางอวิ๋นซิ่วมองฟางอวี้ซิ่วทีหนึ่ง
“เจ้าพูดจริงรึ?” นางเอ่ยถามฟางเฉิงอวี่อีกหน
“แน่นอน จริงสิ” ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ย “เรื่องแบ่งสมบัติตระกูล แม้เริ่มต้นเป็นเรื่องหลอก แต่ตอนนี้ข้าคิดจะเปลี่ยนมันกลายเป็นเรื่องจริง พวกเราสี่คนแบ่งเต๋อเซิ่งชางกันเถอะ”
แบ่งจริงรึ
ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าบอกว่าแบ่งพวกเราก็ต้องเอารึ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย
“หากพวกท่านไม่เอา ถ้าเช่นนั้นพวกท่านก็เตรียมแต่งงานเถอะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “กิจการร้านแลกเงินพวกท่านวางลงได้แล้ว”
ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย ฟางอวี้ซิ่วสีหน้านิ่งสงบ ส่วนฟางจิ่นซิ่วเงยศีรษะขึ้น
“จะกวาดพวกเราออกจากตระกูลเช่นนี้รึ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย
“พี่สาววางใจ สินเดิมเจ้าสาวข้าจะมอบให้ จะทำให้พวกท่านพอใจแน่นอน” ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ย
“ข้าจะเอาร้านแลกเงิน” ฟางจิ่นซิ่วพลันเอ่ยขึ้น
ฟางอวิ๋นซิ่วมองไปหานาง ฟางอวี้ซิ่วก็เหล่ตามองนางเหมือนกัน
“เจ้ามาร่วมวงสนุกอะไรด้วย” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ใช่ไม่ได้แซ่ฟางรึ?”
“ข้าแซ่ฟางหรือไม่ ไม่ใช่พวกเจ้าตัดสิน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “สวรรค์ตัดสิน นี่เป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนด ในเมื่อสวรรค์กำหนด ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องคว้าสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ให้ข้าควรได้”
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“ได้สิ แบ่งให้ท่าน เพียงแต่ว่าน้อยหน่อย“ เขาเอ่ย
“เงื่อนไขเหมือนกันไหม?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะแล้วพยักหน้า
“นี่นับเป็นเงื่อนไขอย่างไร?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่อินังขังขอบ “ร้านแลกเงินแบ่งให้พวกเรา กลับยังต้องเชื่อฟังนาง ถ้าเช่นนั้นที่แท้ให้พวกเราหรือให้นางเล่า? นี่พวกเรานับเป็นอะไร ทำงานให้นางเปล่าๆ รึ?”
“เงื่อนไขนี้โหดอยู่บ้าง แต่ข้าคิดว่าสำหรับพวกท่านที่ได้แบ่งร้านแลกเงิน ยังนับว่าคุ้มยิ่ง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย สีหน้าก็ไม่สะทกสะท้านเช่นกัน ถึงขั้นเฉยเมยอยู่บ้าง
สีหน้าเช่นนี้พี่น้องตระกูลฟางคุ้นตาดี พวกนางทำการค้ามานานปี ระหว่างทำการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาแบ่งผลประโยชน์กับผู้อื่น ล้วนทำสีหน้าเอ่ยวาจาเช่นนี้
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกนางพี่น้องก็ไม่ได้คุยกันอย่างพี่น้อง แต่เจรจาการค้ากันอยู่
ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ได้มองไปข้างกาย แสงบนท้องฟ้าสว่างมากแล้ว ในสายตาสีฟ้ากระจ่างกว้างไกล บนถนนใหญ่กว้างขวางคนเดินทางไปๆ มาๆ ต้นไม้ใหญ่ริมทางใบไม้เหลืองอร่ามประหนึ่งเปลวเพลิง อ่อนโยนทั้งยังเจิดจ้า
ผุ้คุ้มกันจวนที่รอคอยอยู่ด้านข้างคุยเล่นสนทนาเสียงเบา ส่วนม้าก้มหัวกินหญ้าสะบัดหางอย่างสบายอารมณ์
การทะเลาะโหวกเหวกแบ่งสมบัติตระกูลในศาลอันเคร่งขรึมคือการเล่นละคร แต่เวลานี้ภายใต้ความงดงามของทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วง ท่ามกลางความสุขสันต์ พวกเขาขยับดาบจริงหอกจริงเกี่ยวกับสมบัติตระกูล
ฟางอวิ๋นซิ่วหลุบตาลง ฟังเสียงของฟางเฉิงอวี่ลอยมาต่อ
“แม้พี่รองพูดกับชาวบ้านข้างนอกว่าพวกท่านตรากตรำบริหารกิจการอย่างไร ผลาญสิ้นเวลาวัยเยาว์อันงดงามกับกิจการ ฟังดูแล้วไม่ยุติธรรมยิ่ง แล้วก็ควรค่าให้คนสงสาร ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านควรทำหรือ?” เขาเอ่ย แย้มรอยยิ้มนิดๆ “เลือดเนื้อของพวกท่านเป็นตระกูลฟางมอบให้ อาการการกินของพวกท่าน กระทั่งที่พวกท่านมีโอกาสทำกิจการนี่ ก็เพราะตระกูลฟางมอบให้ พวกท่านเกิดเป็นบุตรชายบุตรสาว นี่เป็นเรื่องสมควร”
ฟางอวี้ซิ่วตอบอ้อ
“ดังนั้น?” นางเอ่ย
“ดังนั้นสมบัติตระกูลนี่พวกท่านเดิมทีก็ไม่อาจแบ่งได้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “แน่นอนนอกจากงานที่พวกท่านทำเป็นเรื่องสมควรแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พวกท่านเป็นสตรี ข้าเป็นบุรุษ”
เขายื่นมือตบหน้าอก
“แค่อาศัยข้อนี้ สวรรค์ก็กำหนดแล้วให้ทุกสิ่งเป็นของข้า ต่อให้พูดจนฟ้าทะลุก็เป็นของข้า เงินสักอีแปะเดียวพวกท่านก็ไม่อาจแบ่งไปได้”
ฟางอวิ๋นซิ่วถอนหายใจแผ่วเบา
“เจ้าก็ไม่ต้องพูดให้ไม่น่าฟังเช่นนี้ พวกเราก็ไม่ได้คิด…” นางเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วยกมือห้ามนาง
“ดังนั้นหากพวกเราอยากแบ่งก็ต้องรับปากเงื่อนไขของเจ้า” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“หากพวกเราไม่อยากแบ่ง เจ้าก็จะขับไล่พวกเราออกจากตระกูล” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มพยักหน้า
“ถ้าพวกเราไม่แบ่งแล้วจับพวกเราแต่งงาน ดูท่าคงไม่คิดหาคนดีๆ ให้สินะ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“ย่อมต้องหาส่งเดชสิ บอกแล้วว่าขับไล่ออกจากตระกูลไหม ทั้งยังเป็นลูกสาวที่แต่งออก ไม่มีค่าให้สิ้นเปลืองความคิด” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง
ไม่เสียทีเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ฟางอวิ๋นซิ่วมองฟางเฉิงอวี่ คิดถึงคำพูดที่วันนั้นฟางอวี้ซิ่วพูดยามต้องการแบ่งสมบัติตระกูลกับนายหญิงผู้เฒ่าฟาง
เหี้ยมจริงนะ
นางอดไม่ได้กุมหน้าอก รู้สึกเพียงสั่นสะท้านหนาวยะเยือก มองดูฟางเฉิงอวี่
ที่เจ้าพูดจริงไหม? หากเลือกทางนี้จริง เจ้าก็จะทำเช่นนี้จริงหรือ?
ฟางอวี้ซิ่วยังดี ไม่เหมือนนายหญิงผู้เฒ่าฟางโมโหจนเป็นลมไปเช่นนั้น
“ถ้าพวกเราแบ่ง ก็ต้องตกลงทำงานให้คนแซ่จวินคนนี้เปล่าๆ” นางเอ่ย “นี่เลือกอย่างไรพวกเราก็เสียเปรียบนะ”
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าต่อ
“ใช่แล้ว ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ ไม่เสียเปรียบน้อยก็เสียเปรียบมาก” เขาเอ่ย “ยังดีพวกเราเป็นพี่น้อง ข้ายังให้โอกาสพี่สาวทั้งหลายเลือกว่าจะเสียเปรียบมากหรือเสียเปรียบน้อย”
ฟางอวี้ซิ่วมองแววตาใสกระจ่าง ดวงหน้างดงามของเด็กหนุ่มแล้วเม้มปาก
“ไม่รู้คุณหนูจวินมองความวิปริตเช่นนี้ของเจ้าออกหรือไม่?” นางเอ่ยขึ้น
……………………