Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 ตอนที่ 12 ไม่ยืนยันไม่ปฏิเสธ
หลังจากนั้น หลังจากนั้นยังจะเอาอย่างไรอีก?
นางก็บอกแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่โมโหเขาเพราะเรื่องก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขาทำไมยังไม่จบไม่สิ้นอีก
คุณหนูจวินโมโหอยู่บ้างแล้วก็อายอยู่บ้าง
“หลังจากนั้นก็รีบเดินทาง” นางเอ่ย ดันเขาออกจะไปจูงม้า
ลำบากนักกว่าจะพูดถึงตรงนี้ได้ จะช่างมันเช่นนี้ได้อย่างไร
จูจั้นคว้าแขนนางไม่ปล่อย
“ข้าพูดจนหมดแล้ว เจ้าหลังจากนั้นจะ จะไม่พูดอะไรบ้างหรือ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินยิ่งขัดเขินโมโหยิ่งกว่าเดิม รู้สึกว่าแขนที่ถูกเขาคว้าไว้ไม่สบายอย่างที่สุด
“พูดอะไรเล่า ข้าไม่ใช่พูดแล้วหรือ” นางออกแรงจะสะบัดออกพลางเอ่ยขึ้น
พูดอะไร?
สิ่งที่เขาต้องการฟังรวมถึงสิ่งที่ต้องการให้นางพูดคือหลังจากนี้ แต่ไม่ใช่หลังจากนี้จะไม่โมโหใส่ตนเองอีก
“ข้าพูดแล้วว่าข้าชอบเจ้า เจ้าล่ะ?” จูจั้นเอ่ย
ชอบเจ้า ไม่ใช่ชอบฉู่จิ่วหลิง แล้วก็ไม่ใช่จวินจิ่วหลิง เป็นเจ้า
ประโยคนี้พูดออกมาหูหน้าเขาก็ร้อนฉ่าไปหมด ไม่ทันรู้ตัวขยี้เท้าลงบนพื้น อยากขยี้พื้นจนเป็นหลุมสักหลุมหลังจากนั้นกระโดดเข้าไปใช้ดินกลบตนเอง หลังกลบแล้วก็ใช้เท้ากระทืบให้แน่นนัก มีเพียงเช่นนี้ใจถึงสงบลงได้
คุณหนูจวินได้ยินเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาสีหน้าก็ไม่ได้ดีไปถึงไหนเช่นกัน เดิมก็ลนลานอยู่ลบ้าง แต่เห็นสภาพนี่ของจูจั้นก็อยากหัวเราะอยู่บ้างอีก
ในเมื่อเขาลนลานยิ่งกว่าตนเอง ถ้าเช่นนั้นนางก็รู้สึกสงบอยู่บ้างเล็กน้อย
“อื้อ” นางเอ่ย
อื้อหมายความว่าอย่างไร? จูจั้นจับแขนนางอยู่อดไม่ได้แกว่งไกวนิดหนึ่ง
คุณหนูจวินอายจนโมโหอยู่บ้างสะบัดออก
“ข้าไม่รู้” นางเอ่ย
นี่มีสิ่งใดไม่รู้!
“เจ้า เจ้าคิดจะไม่รับผิดชอบอีกแล้ว” จูจั้นคว้าแขนนางไว้ไม่ปล่อย รีบเอ่ย
“ข้าทำอะไรท่านแล้วข้าถึงไม่รับผิดชอบ ทำไมข้าต้องรับผิดชอบ” คุณหนูจวินทั้งฉุนทั้งขันอีกหน
พูดถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องอายแล้ว
“อย่างไร เจ้าก็ต้องพูดสักประโยค” จูจั้นเอ่ยเสียงงึมงำ มองนาง “เจ้าชอบหรือไม่ชอบข้า”
ในที่สุดก็ถามประโยคนี้ออกมาชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
ชี้ตัวเจ้า ถามข้าชัดจน ไม่มีทางเลี่ยงรวมถึงบอกปัดอีกต่อไป
หนีก็ไม่อาจหนี เลี่ยงก็ไม่อาจเลี่ยง คนกลับเยือกเย็นลง
ความว้าวุ่นกับอับอายโมโหล้วนสลายไปแล้ว คุณหนูจวินตั้งใจคิดนิดหนึ่ง
“อืม” นางเอ่ย “ไม่เกลียด”
ไม่เกลียดก็คือชอบหรือ? จูจั้นก็ตั้งใจคิดนิดหนึ่งเช่นกัน
“ก็คือข้าไม่ได้เกลียดท่าน” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ สีหน้าจริงจังทั้งยังนิ่งสงบมองเขา “ส่วนชอบเรื่องนี้ ข้าไม่รู้”
ไม่รู้? จูจั้นตั้งใจมองนาง
ชอบ เป็นอย่างไร? ก็คือคิดถึงคนผู้หนึ่งตลอดเวลา เห็นเขาก็เบิกบานใจ อยากอยู่ด้วยกันกับเขาชั่วนิรันดร์เช่นนั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นนางก็เคยชอบ
คุณหนูจวินสีหน้าเศร้าหมองอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นคนที่นางเคยแต่งงานด้วย คนที่อยากแก่เฒ่าผมขาวโพลนไปด้วยกัน ทว่านั่นล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง ความอัปยศ
นางโศกเศร้าโกรธแค้นอยู่บ้างอีกหน
แน่นอน นางรู้ว่าคนไม่ใช่คนเดียวกัน เรื่องย่อมไม่อาจทำเหมือนกันได้ ยามนี้ไม่อาจใช้สิ่งนี้มาเป็นหลักอ้างอิงได้
ตอนนี้หรือ…
“ตอนนี้ข้าไม่เคยคิดว่าชอบไม่ชอบ” นางมองจูจั้น แววตากระจ่างใส สีหน้าจริงจัง “เพราะไม่รู้ว่าหลังจากชอบแล้วต้องทำอย่างไร”
ใช้แล้ว นางคือฉู่จิ่วหลิง พระบิดาของนางถูกทำร้ายยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ พี่น้องของนางถูกจองจำกักขังเป็นตายยังยากคาดเดา
ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางไม่ได้พูดว่าไม่ แต่พูดว่าไม่รู้
ตอนนี้ไม่รู้ หลังจากนี้อย่างไรก็คงรู้
ตอนนี้ไม่เกลียด หลังจากนี้บางทีอาจชอบ
สีหน้าของจูจั้นฟื้นกลับมาสงบเช่นกัน
“ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “หลังจากนี้ข้าค่อยถามเจ้าใหม่ เจ้าค่อยตอบใหม่”
ประเด็นนี้ก็นับว่าคลี่คลายแล้วกระมัง
คล้ายคำถามไม่ได้รับคำตอบ
แต่จูจั้นมองคุณหนูจวิน คุณหนูจวินก็มองเขา ความลนลานเมื่อครู่กลับมานิ่งสงบ แต่ก็มีความรู้สึกแปลกบางอย่างอยู่
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย ไม่หลบเลี่ยง สายตามองเขา
จูจั้นก็ไม่ได้หลบเลี่ยง
“ไปเถอะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินกลับไม่ขยับ
“ถ้าเช่นนั้นท่านปล่อยมือข้าก่อน” นางเอ่ย
จูจั้นตะลึงวูบหนึ่ง ตอนนี้ถึงรู้สึกตัวว่ายังจับแขนของนางอยู่ เขารีบปล่อยออก ลนลานอยู่บ้างทั้งยังน่าขันอยู่บ้าง หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมาจริงๆ
คุณหนูจวินถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง หัวเราะด้วยแล้ว
ไม่เหมือนความเขินอายลนลานก่อนหน้านี้ พวกเขารู้สึกว่ารอยยิ้มของตนรวมถึงอีกฝ่ายยามนี้เวลานี้ล้วนผ่อนคลายและมีความสุข แต่ม้าสองตัวด้านข้างหายใจพรืด ส่ายหางมองมา คล้ายสงสัยอยู่บ้างว่าเจ้านายทั้งหลายของตนเองทำไมต้องมองกันหัวเราะโง่ๆ
และเวลานี้เรื่องเล็กน้อยที่แพะสองตัวจุดขึ้นมาที่เมืองอันกั๋วก็ลุกลามออกไปแล้ว ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งจี๋ออกจากเมือง แต่เดินทางไปได้ไม่ไกลเท่าไรก็ถูกขวางไว้
“ใต้เท้า ข้าเป็นม้าเร็ว” นายทหารที่ถูกจับลงจากม้าสีหน้าไม่เข้าใจเอ่ยขึ้น พลางเอาม้วนสารในอกเสื้อออกมา “ล้วนเป็นข่าวด่วน”
ขบวนคนม้ากลุ่มหนึ่งตรงหน้าเขายืนขรึม ชุดเกราะครบครัน ในมือยิ่งเป็นคันศรเตรียมยิง
แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเย็นชามองเขา ไม่ได้รับม้วนสารที่เขาหยิบออกมา
“เบื้องบนมีคำสั่ง ศาลาพักม้าและม้าเร็วต้องตรวจสอบให้กระจ่าง หยุดการส่งข่าวด้วยม้าเร็วชั่วคราว” เขาเอ่ย แล้วโบกมือทีหนึ่ง “เชิญกลับไปเถอะ”
ม้าเร็วสีหน้าตะลึง
“ข้าไม่ได้รับแจ้งข่าวนี้” เขาเอ่ย แล้วท่าทางลำบากใจอยู่บ้าง “ใต้เท้า ท่านดูจดหมายนี่สำคัญอย่างที่สุด หากล่าช้า…”
“หากล่าช้าย่อมมีเบื้องบนรับผิดชอบ เจ้าไม่ต้องกังวล” แม่ทัพขัดเขาอย่างเย็นชา
ม้าเร็วยังอยากพูดอะไรอีก นายทหารทั้งหลายด้านนั้นก็ด่าทอพร้อมเพรียง เล็งศรในมือใส่เขา
“ไม่ถอยไปอีกจะถือว่าขัดขืนคำสั่งกองทัพลงโทษสังหารทันที” พวกเขาตวาด
ม้าเร็วได้แต่ลุกขึ้นรีบจูงม้าหันหัวกลับ นายทหารกลุ่มนี้ใช้คันศรเล็งเขาตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งเขาเข้าเมืองไป
“ไป ป้องกันตรวจตราเข้มงวด” แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าเอ่ย หันศีรษะมาก็เห็นชาวบ้านทั้งหลายที่หลบชมเรื่องสนุกอยู่บนถนนใหญ่
เห็นเขามองมา ชาวบ้านทั้งหลายพลันตกใจรีบหลบไปข้างหลังหลบสายตาไป
“ยังมีพวกเจ้าอีก วันนี้สองแคว้นติดกัน มีเป็นสายลับหรือไม่?” แม่ทัพเอ่ยเสียงเย็นชา
ชาวบ้านทั้งหลายกลัวรีบโบกมือ ยิ่งมีคนคุกเข่ากับพื้น
“ไม่กล้า ไม่กล้า”
“ท่านขุนนางโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง”
คนเหล่านี้ไหล่หาบมือหิ้ว มองปราดเดียวก็คือชาวบ้านในท้องถิ่น แม่ทัพกวาดมองทีหนึ่งก็ไม่สนใจอีกต่อไป พาคนขี่ม้าเร็วรี่จากไป
จนกระทั่งทหารทั้งหลายจากไปไกลแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายถึงเงยศีรษะขึ้น ทั้งแปลกใจทั้งวิตก แต่ก็ไม่กล้าถกเถียงมาก รีบแยกย้ายไป บุรุษคนหนึ่งในนั้นที่แบกไก่ป่าสองตัวกับฟืนกองหนึ่งสีหน้าเคร่งขรึมนิดหน่อย มองนายทหารที่ยืนตรงอยู่ที่ประตูเมืองซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้วก้มศีรษะก้าวยาววิ่งไปด้านหน้า
……………………………………….
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เห็นจูจั้นที่เดินออกมาจากศาลาพักม้า สีหน้าเห็นชัดว่าไม่เหมือนหลายครั้งก่อน คุณหนูจวินรีบเอ่ยถาม
“มีข่าวแล้ว?”
จูจั้นสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าพูดถูกแล้ว ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี” เขาเอ่ย
ถ้าเช่นนั้นก็มีข่าวแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางสีหน้าเช่นนี้
คงเพราะได้ฟังข่าวร้ายมาตลอด ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอย่างไร ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกว่ารองเท้าในที่สุดก็ตกถึงพื้น
“คืออะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างนิ่งสงบ
……………………………………….
“จูซาน”
ในท้องพระโรงผู้ตรวจการคนหนึ่งหมุนตัวชี้เฉิงกั๋วกงที่อยู่ในขบวนแถว ตวาดเสียงเข้ม
“เจ้ารู้ความผิดไหม!”
เฉิงกั๋วกงเงยศีรษะขึ้น เดินออกมาจากในขบวนแถว
“ไม่ทราบ” เขาสีหน้านิ่งสงบเอ่ย
ผู้ตรวจการคนนั้นก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ป้ายเตือนความจำในมือชูขึ้น
“เจ้าลอบสั่งให้ทหารแดนเหนือไม่ปรองดองกับชาวจินใช่ไหม?” เขาคิ้วตั้งตวาดเอ่ย “เจ้าจงใจให้ทหารทะเลาะกับชาวจินหรือไม่?”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์คล้ายประหลาดใจ ทั้งยังวิตกอยู่บ้าง
“เฉิงกั๋วกง มีเรื่องนี้ไหม?” เขาเอ่ยถาม
นี่ไม่ใช่การประชุมใหญ่ ในตำหนักฉินเจิ้งมีเพียงขุนนางพลเรือนและทหารคนสำคัญอยู่ที่นั่น จำนวนคนไม่มาก แต่ล้วนตำแหน่งสูงไม่มีทางพูดพล่อยๆ พูดคำหนึ่งก็บงการงานราชการได้ แน่นอกนอกจากคนผู้หนึ่งเป็นข้อยกเว้น
สายตาของหวงเฉิงจับอยู่บนร่างขุนนางอายุน้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท้ายแถว นั่นคือหนิงอวิ๋นเขา เจ้าคนที่เดิมไม่ควรมีคุณสมบัติปรากฏตัวที่นี่ด้วยตำแหน่งขุนนางไม่พอ
ทว่าฮ่องเต้กลับเอาเหตุว่าขุนนางจดบันทึกพระดำรัสล้มป่วยให้หนิงอวิ๋นเจามารับใช้ข้างกาย
ไม่ต้องพูดถึงหนิงอวิ๋นเจามีคุณสมบัติพอมาแทนตำแหน่งนี้หรือไม่ ขุนนางคนนั้นไม่ได้ล้มป่วยสักนิด
ฮ่องเต้อยากฟังคำพูดน่าฟังสักหลายประโยค อยากถูกคนสนับสนุนจนถึงกับทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้ออกมา ไม่เข้าท่าเกินไปแล้วจริงๆ!
หวงเฉิงปวดใจยิ่งนักกับเรื่องนี้
แต่ดีที่สุด วันนี้ขอให้เจ้ายังเยินยอฮ่องเต้ เคารพบัญชาฮ่องเต้เพียงอย่างเดียวเถอะ หลังจากนี้ค่อยจัดการเจ้า
หวงเฉิงรั้งสายตากลับมาจากบนร่างหนิงอวิ๋นเจา มองเฉิงกั๋วกงใหม่อีกหน ไม่ปิดบังแววตาเย็นเยียบสักนิด
หลักฐานปฏิเสธไม่ได้ ดูสิเจ้าจะปฏิเสธอย่างไร
“กระหม่อม” เฉิงกั๋วกงค้อมกาย “มีเรื่องนี้จริงๆ”
ถึงกับยอมรับแล้ว?
ผู้ตรวจการกับหวงเฉิงล้วนสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยวูบหนึ่ง ส่วนหนิงอวิ๋นเจาที่ท้ายแถวก้มศีรษะถอนหายใจแผ่วเบาทีหนึ่ง
ดูท่าเฉิงกั๋วกงจะเอาจริงแล้ว
…………………