Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 ตอนที่ 6 สงบความสับสนอลหม่านชั่วคราว
แม้คนมาก อาหารในร้านพักเท้านี่กลับเร็วอย่างที่สุด
จานใหญ่ ชามใหญ่ เย็นร้อน เนื้อผัก หวานเค็ม เปรี้ยวเผ็ดผลัดเปลี่ยนยกมาแล้วยกไปลื่นไหลประหนึ่งกระแสน้ำ ส่วนคุณหนูจวินก็กินอย่างสบายอารมณ์ยิ่งเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเหตุเพราะน้ำแกงเปรี้ยวเผ็ด หรือคนที่นั่งรอบด้านมากเกินไปเบียดเสียดเอะอะ คุณหนูจวินจึงกินจนเหงื่อโชกเต็มศีรษะ มันเยิ้มเต็มหน้า ดูไปแล้วน่าสนุกทั้งยังน่าขัน
เสียงเคร้งเบาๆ ทีหนึ่งดังขึ้น คุณหนูจวินวางช้อนในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้น
“ท่านมองข้าทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้นอย่างโมโหอยู่บ้าง ปลายจมูกเหงื่อเม็ดน้อยหยดร่วง
จูจั้นขานอ้อทีหนึ่ง
“ข้าทำหรือ?” เขาเอ่ยถาม คล้ายเพิ่งมองมาทางนาง ยกตะเกียบในมือขึ้น “ไม่กระมัง”
คุณหนูจวินก้มศีรษะคีบอาหารต่อ เพิ่งก้มศีรษะฉับพลันก็เงยขึ้นมาอีกหน สบสายตาจูจั้น
เขากำลังกัดตะเกียบ เห็นนางมองมาก็ยิ้ม
“เจ้านี่ เจ้านี่ไม่อร่อย เจ้าลองชิมอันนั้น” เขาใช้ตะเกียบชี้ลูกชิ้นทอดชามหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินขมวดคิ้วมองเขาไม่สนใจ
“ท่านกินเอง อย่ามองข้า” นางเอ่ย
“ข้าไม่ได้มองเจ้า” จูจั้นเอ่ยอีกครั้ง จนปัญญาอยู่บ้าง
“ข้าเห็นท่านมอง หลังท่านนั่งลงตรงนี้ก็เป็นเช่นนี้ตอลด” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงเบา สีหน้าโมโห “ท่านทำเช่นนี้กระทบข้าทานอาหาร”
จูจั้นหัวเราะแล้ว
“ที่ไหนเล่า ก่อนหน้านี้ข้าก็เป็นเช่นนี้นะ เจ้าไม่เห็นพูดแบบนี้” เขาก้มศีรษะ ลดเสียงเบาลงแล้วพึมพำประโยคหนึ่ง “เจ้าก็ไม่ได้กินน้อย”
ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นเช่นนี้รึ?
นางทำไมไม่เคยสังเกต? คุณหนูจวินถือช้อนเหม่อลอยเล็กน้อย
แปลกจริงๆ วันนี้นางมักรู้สึกว่าสายตาของเขาเกาะหนึบอยู่บนร่างนางตลอด ไม่ว่าอยู่ด้านหน้าหรืออยู่ด้านหลัง ไม่ว่าทำอะไร ขอเพียงเงยสายตาไปก็เห็นสายตาของเขาได้ทันที ชวนให้คนโมโห
ฉับพลันนางก็รู้สึกว่าอยู่ตามลำพังสองคนเช่นนี้ขัดเขินนัก ดังนั้นหลังเอ่ยไปว่าพักแรมนอกเมือง ก็คิดขึ้นมาได้ว่านั่นต้องอยู่กันตามลำพังแน่นอน จึงกลับคำจะเข้าเมืองทันที
เดินอยู่ในเมืองคนมากครึกครื้น สายตาสับสน ยอมไม่ต้องถูกสายตาของเขากักไว้
ดังนั้นจึงเลือกโรงเตี๊ยมที่คนมาก แล้วก็นั่งล้อมวงทานอาหารในห้องโถงใหญ่ที่เบียดเสียดคึกคักครึกครื้น
แต่ทำไมเงยหน้าขึ้นมาก็ยังเจอสายตาของเขาอีก นั่งอยู่ในฝูงชนวุ่นวายอลหม่านก็คล้ายมีเพียงพวกเขาสองคนประจันหน้ากัน ประหนึ่งนอกกายไม่มีสิ่งใด สายตาของเขายังคงอยู่ทุกหนทุกแห่ง
โมโหจนทนไม่ไหวจริงๆ จึงต่อว่าเขา เขากลับทำหน้าเหมือนนางจงใจหาเรื่อง
ข้าก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้รึ
เขาก่อนหน้านี้เป็นเช่นนี้ ตนเองไม่ได้สังเกต เพราะไม่ใส่ใจ? ตอนนี้เพราะรู้ความในใจของเขาดังนั้นจึงไม่เหมือนแล้ว
ที่แท้ไม่ใช่เขาเปลี่ยน เป็นนางเปลี่ยน
คุณหนูจวินคีบเกี๊ยวนึ่งตัวหนึ่งขึ้นมาช้าๆ กัดทีละนิดๆ
ก็เหมือนหลังเขาได้รู้ว่าตนเองคือองค์หญิงจิ่วหลิงแล้วลนลานทำอันใดไม่ถูกยามเผชิญหน้าตนเอง ตอนนั้นตนก็กล่อมเขาว่าให้เหมือนก่อนหน้านี้ อย่างไรนางก็ไม่ได้เปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนมีเพียงความรู้สึกของเขา
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็กลับกันแล้ว
เพราะแอบสอดส่องเห็นความรู้สึกบางอย่างของจูจั้น นางจึงลนลานทำอันใดไม่ถูก ดังนั้นสิ่งเหล่านั้นที่ก่อนหน้านี้ไม่สนใจจึงเปลี่ยนมาสนใจเป็นพิเศษ หากบอกว่าเขามองนางตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นไยนางไม่ใช่ก็มองเขาตลอดเวลาด้วย
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม อับอายหงุดหงิดอยู่บ้างแล้วก็น่าขันอยู่บ้าง
นี่นับว่านางตื่นตระหนกไปเองแล้ว ท่าทีของเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่นางเปลี่ยน
ที่จริงนี่มีอะไรเล่า มองก็มองสิ…
ความคิดแล่นผ่าน นางก็เงยสายตาโดยไม่รู้ตัว สบกับสายตาของจูจั้นอีกหน
เขาคล้ายตกใจสะดุ้ง
“เฮ้อ ข้าเห็นเจ้ากัดตะเกียบเลยคิดจะเตือนสักหน่อย” เขารีบเอ่ย “ไม่ได้จงใจมองเจ้านะ”
จงใจ แล้วอย่างไร? หรือนางกลัวเขามองรึ? คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง ยิ้มแล้ว
“ส่งหมี่น้ำแกงถั่วชามนั้นมาให้ข้า” นางเอ่ย
จูจั้นขานรับ ยื่นมือหยิบมาให้นาง แล้วมองนางอีก
คุณหนูจวินไม่โมโหอีกต่อไป แล้วก็ไม่สนใจเขา นางเติมข้าวและกับข้าวจดจ่อตั้งใจกินอย่างจริงจัง
แม้ไม่ทราบว่าทำไมนางเปลี่ยนมาอารมณ์ดีแล้ว แต่เขาก็รู้ว่าเวลาเช่นนี้ต้องสงบใจดื่มด่ำถึงจะได้ ไปสอบถามไปคาดคั้นจี้ถามนั่นเป็นการรนหาความลำบากให้ตนเองอย่างโง่เขลา
จูจั้นเลิกคิ้ว กินอย่างคึกคักเบิกบานใจเช่นกัน
……………………………………….
……………………………………….
“พวกเขาผ่านซินอันแล้วขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย ติดตามลู่อวิ๋นฉีที่เดินเข้าไปในพระราชวัง
ในทางเดินของพระราชวังด้านนี้องครักษ์เสื้อแพรยืนตรงอยู่ เห็นลู่อวิ๋นฉีผ่านมาก็พากันคำนับ
ลู่อวิ๋นฉีเดินผ่านไปตรงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้จะกลับมาแล้ว” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ
“ใต้เท้า ตอนเข้าเมืองหลวงจะ…” เขาคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ หัวหหน้ากองพันเจียงพลันขานรับไม่พูดต่อ ทั้งสองคนเดินผ่านทางเดินมาถึงตำหนักฉินเจิ้งที่ฮ่องเต้ประทับอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ใต้เท้าลู่มาแล้ว”
เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
เสียงนี้ไม่รื่นหู โทนเสียงยิ่งไม่รื่นหูติดจะหยอกเย้าอยู่บ้าง
ในวังแห่งนี้ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับลู่อวิ๋นฉีหรอก หัวหน้ากองพันเจียงขมวดคิ้วมองไป เห็นขันทีกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางองครักษ์เสื้อแพรบนทางเดินตำหนักด้านหน้า
ขันทีกลุ่มนี้ไม่เหมือนขันทีอื่น อาภรณ์ที่สวมแปลกอยู่บ้าง จะเป็นบ่าวก็ไม่เหมือนบ่าว จะเป็นขุนนางก็ไม่เหมือนขุนนาง
แต่ตอนนี้พวกหัวหน้ากองพันเจียงก็ไม่ใช่ไม่คุ้น นี่ก็คือเหล่าขันทีใหญ่ของกรมขันทีจับกุมที่ให้กรมขันทีพิธีการตั้งขึ้นใหม่ หรือก็คือสถานที่ที่หยวนเป่าเป็นขุนนางขันทีอยู่
คล้ายกับองครักษ์เสื้อแพร รับบัญชาสืบสวนสอดส่อง ช่วยเหลือการทำงานของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือในนาม แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้
“ใต้เท้าลู่ ฝ่าบาทกำลังสนทนากับหยวนกงกงอยู่ ท่านโปรดรอสักครู่” ขันทีผู้เป็นหัวหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย
ฮ่องเต้สั่งให้หลิ่วเทียนมาแล้วให้เขารอ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
สีหน้าหัวหน้ากองพันเจียงขุ่นเคืองเล็กน้อย
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งเรียบไร้คลื่น ไม่พูดสักคำ หมุนตัวก็ไปยืนอยู่ตรงทางเดินเหมือนเช่นองครักษ์เสื้อแพรคนอื่น
หัวหน้ากองพันเจียงมองขันทีคนนั้นอย่างเย็นชาทีหนึ่งแล้วตามไปยืนด้วย
เห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ ขันทีคนนั้นกลับเบื่ออยู่บ้าง เบ้ปากไม่เอ่ยวาจาต่อแล้ว
หยวนเป่าด้านในเปิดจดหมายลับให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างระมัดระวัง
“แบ่งเป็นสามส่วน” เขากราบทูล “นายน้อยตระกูลฟางคนนั้นได้ส่วนใหญ่ ร้านแลกเงินเจ็ดสิบสองร้อนได้ห้าสิบ นอกจากนี้ร้านที่เลือกก็ล้วนเป็นที่เจริญรุ่งเรือง คุณหนูสามคน คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองร่วมหุ้นกันได้สิบหกร้าน ฟางจิ่นซิ่วคุณหนูสามน้อยที่สุด มีแค่หกร้าน แต่ร้านที่เลือกอยู่ใกล้เมืองหลวง”
ฮ่องเต้มองกระดาษจดหมาย สีพระพักตร์คิดไม่ถึงแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง
“นี่ล้วนเป็นของข้า” พระองค์ตรัส “หากไม่มีข้า ไหนเลยจะมีสิ่งเหล่านี้วันนี้ของพวกเขา”
หยวนเป่ายิ้มประจบขานรับ
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย ยื่นมือชี้บนจดหมาย “แบ่งเต๋อเซิ่งชางจริงๆ แล้ว ร้านแลกเงินของคุณหนูใหญ่คุณหนูรองเปลี่ยนชื่อเป็นตงเฟิงหยวน คุณหนูสามอันนี้ก็เปลี่ยนเป็นต้าเหิงชาง นี่เปลี่ยนชื่อแล้ว สำหรับร้านแลกเงินก็คือน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองจริงๆ เต๋อเซิ่งชางอยู่ดีๆ ก็ถูกฉีกกระจัดกระจาย”
“เป็นพวกผลาญทรัพย์จริงๆ” ฮ่องเต้ตรัส ตบกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะ “หลานอกตัญญูที่ได้แต่ร่วมทุกข์ไม่อาจร่วมสุข”
หยวนเป่าหัวเราะคิกๆ ขานรับ
“ถ้าเช่นนั้นที่ยังไม่ถูกพวกเขาผลาญไป บ่าวเอากลับมาให้ฝ่าบาทไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอ่ยถาม
ฮ่องเต้ตริตรองครู่หนึ่ง
“ทำให้ปลอดภัยหน่อย” พระองค์ตรัสแล้วคิดอีกนิดหนึ่ง “เก็บเจ้าใหญ่มาก่อน ของสตรีไม่กี่คนที่เหมือนเล่นขายของไม่ต้องไปสนใจ รอเจ้าใหญ่ล้มแล้ว ร้านพวกนั้นของพวกนางลมหอบเดียวก็พัดครืนได้”
หยวนเป่าขานรับอย่างยินดี เงยศีรษะขึ้นท่าทางละอายอีหหน
“ฝ่าบาท บ่าวไม่ทำงานให้เรียบร้อย ฝ่าบาทยังให้อภัยเชื่อใจบ่าวเช่นนี้…” เขาสะอื้นเอ่ย ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา “ไม่เช่นนั้น เรื่องนี้ให้ใต้เท้าลู่กับบ่าวทำด้วยกันเถอะ ไม่ให้บ่าวไร้ความสามารถ…”
“พอแล้ว” ฮ่องเต้ขัดเขาอย่างรำคาญ “เจ้ามีงานของเจ้า เขามีงานของเขา อยู่ด้วยกันจะทำอย่างไร? เจ้าทำไม่ดี ข้าก็ลงโทษเจ้าเอง ไม่ต้องกังวล”
หยวนเป่าหัวเราะฮ่ะฮ่ะคุกเข่าดังตึกโขกศีรษะ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาเอ่ย
หยวนเป่าเดินออกมานอกตำหนักก็เหยียดหลังตรง ขันทีทั้งหลายแห่เข้ามาล้อมเอ่ยวาจาเยินยอเขาทันที
“อ้าว ใต้เท้าลู่มาแล้ว” หยวนเป่าคล้ายเพิ่งมองเห็นลู่อวิ๋นฉี รีบยกมือคำนับ ยิ้มแก้มตุ่ย “ท่านรีบเข้าไป ฝ่าบาทกำลังถามหาท่าน”
พูดเหมือนฝ่าบาทจะให้ลู่อวิ๋นฉีเข้าไปยังต้องผ่านเขา หัวหน้ากองพันเจียงสีหน้ายิ่งเย็นชาขึ้นหลายส่วน ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่ได้ยินแล้วก็มองไม่เห็นเขา เดินผ่านเขาตรงเข้าไป
หยวนเป่าหมดอารมณ์อยู่บ้าง หัวเราะแห้งๆ หลายที พาขันทีทั้งหลายเดินเชิดจากไป
ในตำหนักฮ่องเต้วางฎีกาในพระหัตถ์ลง มองลู่อวิ๋นฉี
“จูซานส่งจดหมายลับอันใดไปแดนเหนือ?” พระองค์ตรัสถาม
…………………………